บันทึกเยี่ยม “น้ำ” วารุณี: การเปิดไฟในเรือนจำตลอดเวลา กระตุ้นให้เกิดความเครียด

วันที่ 5 เม.ย. 2567 ทนายความได้เข้าเยี่ยม ‘น้ำ’ วารุณี ผู้ต้องขังคดีมาตรา 112 ที่ถูกศาลอาญาพิพากษาจำคุก 1 ปี 6 เดือน และไม่ได้รับการประกันตัวระหว่างอุทธรณ์คำพิพากษามาตั้งแต่วันที่ 28 มิ.ย. 2566 ปัจจุบัน (10 เม.ย. 2567) ‘น้ำ’ ถูกคุมขังมาแล้ว 288 วัน หรือเกือบ 10 เดือนแล้ว  

ที่โรงพยาบาลราชทัณฑ์  ‘น้ำ’ เล่าเรื่องการรักษาอาการป่วยไบโพลาร์ในเรือนจำ แม้ตอนนี้ได้รับยาที่ถูกกับโรค แต่การต้องนอนอยู่ในที่ที่สว่างตลอดเวลา กระตุ้นอาการเครียดและความเจ็บป่วยของเธอ นอกจากนี้ยังพูดถึงมิตรภาพในเรือนจำที่เธอได้รับ

ทนายความเยี่ยมน้ำผ่านการพูดคุยโทรศัพท์ตรงจุดญาติเยี่ยม เนื่องจากห้องเยี่ยมเต็ม น้ำยิ้มทักทาย เธอแต่งหน้าโทนสีชมพูอ่อน ๆ ตัวน้ำยังเล็กเหมือนเดิม เธอยังดูสดใส แม้แววตาจะดูเหนื่อยล้าบ้าง ก่อนกล่าวทักทายกันเล็กน้อย  

ทนายสังเกตว่าน้ำดูตัวซูบลง เธอบอกว่าเพราะเป็นคนตัวเล็กอยู่แล้ว น้ำหนักตอนนี้ 38.6 กิโลกรัม และตอนอดอาหารน้ำหนักลงไปเหลือ 31 กิโลกรัม คือตอนนี้กินอาหารได้ปกติ แต่อาจจะเบื่อบ้าง เพราะเป็นอาหารเดิม ๆ เมนูซ้ำกัน น้ำบอกว่าเพราะครอบครัวเธอตัวเล็กด้วย ทำให้เธอเป็นคนตัวเล็ก แม่ของเธอมีลูก 3 คน น้ำหนักแม่ยังอยู่ที่เลข 4 

.

น้ำเล่าว่าตอนนี้เธอทำงานเป็นผู้ช่วยในโรงพยาบาลราชทัณฑ์ ช่วยเปลี่ยนแพมเพิส ช่วยป้อนข้าวผู้ป่วย และตอนนี้เธอเริ่มออกกำลังกายด้วยการ “แพลงก์” (plank) ในห้องมา 2 สัปดาห์แล้ว  

“จะมีร่อง 11 ตอนออกไป ตอนนี้ก็เริ่มมีแล้วนะ” น้ำพูดแววตามุ่งมั่น 

น้ำยังเล่าถึงอาการป่วยของเธอและขั้นตอนการรักษาในปัจจุบัน “เรื่องอาการไบโพลาร์ ตอนนี้อาการคงที่ดีขึ้น คงเพราะได้กินยาถูกโรค และหมอก็ติดตามอาการตลอด ถ้ามีอาการ หมอจะประเมินและให้ยาตามอาการเพื่อปรับให้สารในสมองสมดุล แต่ยาที่กินเป็นยาที่นอกบัญชีหลัก ทางครอบครัวเป็นคนรับผิดชอบค่ายา ซึ่งจะไปรับที่โรงบาลที่เคยรักษาอยู่ 

“ยาที่ต้องกินประมาณ 3-4 ตัว มียานอนหลับ ยาต้านเศร้า ยาต้านดีด (mania aripriprazole) จะกินช่วง 2 ทุ่ม ก่อนนอน หมอจะสั่งให้ทียาว ๆ ราว 120 เม็ด เพื่อให้กินได้ 3-4 เดือน ยาเม็ดหนึ่งก็ราคาเกือบร้อย น้องก็มีบ่นบ้างว่าจะไม่ไหวกับค่ายาแล้วนะ”

น้ำบอกว่าตอนนี้น้องต้องรับผิดชอบภาระทุกอย่างของครอบครัว แต่ก่อนถ้าอยู่ข้างนอกจะเป็นน้ำที่รับผิดชอบค่าใช้จ่ายของครอบครัวทั้งหมด แต่ตอนนี้ตกอยู่ที่น้อง 2 คน เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ทำให้เธอเครียดอยู่ตลอดเมื่อนึกถึง 

“น้ำมีน้อง 2 คน คนหนึ่งเป็นพยาบาล อีกคนทำงานธนาคาร” เมื่อพูดถึงน้อง 2 คน แววตาน้ำดูสดชื่นขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

น้ำเล่าเพิ่มว่า แม้ช่วงนี้จะได้ยาที่ถูกกับโรค แต่การอยู่ที่นี่ก็เป็นอุปสรรคต่อโรคที่เธอเป็นอยู่ เพราะที่นี่จะเปิดไฟสว่างตลอดเวลาเพื่อป้องกันการหลบหนีของผู้ต้องขัง นั่นแสดงว่าผู้ต้องขังต้องนอนท่ามกลางแสงสว่างตลอดเวลา ซึ่งมันมีผลต่อสารที่เกี่ยวข้องกับการนอนหลับ ทำให้น้ำมีอาการหลับยาก ความเครียดเพิ่มขึ้นและเครียดได้ง่าย มีภาวะที่ทำให้เกิดการสวิงทางอารมณ์มากขึ้น โดยปกติการอยู่ในคุกมันเครียดอยู่แล้ว แต่สภาพแวดล้อมการนอนก็เป็นตัวกระตุ้นที่ทำให้อาการหนักหรือสวิงได้

น้ำพูดถึงมุมมองที่คนอื่นมีต่อคุกว่า ปกติคนจะมองว่าคนข้างในมีแต่ความรุนแรงและหยาบคาย แต่เธอมองว่ามันเป็นเรื่องปกติของทุก ๆ ที่ ที่มีคนร้อยพ่อพันแม่ 

“เรานึกถึงหนัง ‘The Shawshank Redemption’ (ชอว์แชงค์ มิตรภาพ ความหวัง ความรุนแรง) คือระหว่างนั้นมันก็มีมิตรภาพของคนที่อยู่ข้างในด้วย ไม่ใช่มีแต่เรื่องความหยาบคาย หยาบโลนเท่านั้น

“พี่เชื่อไหมว่าเวลามีคนได้รับการปล่อยตัว ไม่มีใครอิจฉากันเลยมีแต่คนดีใจ มายืนปรบมือ มายืนถ่ายรูปร่วมกัน วันก่อนมีคนได้ออก ทุกคนก็มาร่วมยินดีที่ได้ออกไป มีคนร้องไห้ที่จะไม่ได้เจอกัน แต่ก็ดีใจกับเพื่อน เราอยู่กันแบบนี้ การอยู่ที่นี่ ถ้าเรามีญาติมาเยี่ยม มีทนายมาเยี่ยม จะกลายเป็นว่าเราโชคดีกว่าคนที่ไม่มีใครมาเยี่ยมเลย

“ของเรายังดีที่มีน้องส่งเงินเข้ามาให้ มีแฟนที่คอยซื้อของให้ คนที่ไม่มีใครมาเยี่ยมเลย เขาก็มาคอยช่วยเหลือเรา เราก็แบ่งขนมแบ่งอะไรให้ คือเรามองว่ามันเป็นเรื่องความมีน้ำใจต่อกัน ในนี้เป็นแบบนั้น ไม่ใช่จะมีแต่ความรุนแรง”

น้ำยังเล่าว่าเธอได้จดหมายจาก “เอกชัย” ซึ่งเขียนเล่าถึงนักโทษทางการเมืองเป็นคนเสื้อแดงที่ติดอยู่ในเรือนจำ และอัปเดตเรื่องอาการเจ็บป่วยเรื่องฝีที่ตับของเขาว่าดีขึ้นแล้ว

ทนายยังได้แจ้งข้อความที่แม็กกี้ฝากมาให้น้ำ ที่บอกว่าแม็กกี้จะมาเป็นดาวที่คลองเปรม น้ำหัวเราะและฝากเป็นกำลังใจให้แม็กกี้เช่นกัน


น้ำยังบอกอีกว่าช่วงนี้กังวลเรื่องการอายัดตัว ทนายถามว่ามีเรื่องอะไรทำให้คิดอย่างนั้น เธอเล่าว่าการอยู่ในนี้มันยิ่งทำให้เธอเห็นว่าแค่การกระทำเท่านี้ก็ผิดได้ 

“ตลอดระยะเวลาที่ใช้ชีวิตมา เราไม่แน่ใจว่าเราไปทำอะไรผิดไว้บ้าง การอยู่ในนี้มันทำให้คิดว่าคดีนี้ก็ติดได้หรอ ทำแบบนี้ก็ติดคุกเหรอ เราเลยกลัวว่าจะมีคดีที่เราไม่รู้ กลัวว่าจะถูกนำมาอายัดตอนที่จะออกไป มันคงเป็นอะไรที่รู้สึกแย่มาก” 

น้ำพูดด้วยความกังวล และเล่าเพิ่มว่าเป็นความกังวลที่แวปเข้ามาตอนที่เธอวางแผนเรื่องการจะได้กลับบ้านของเธอ น้ำเล่าว่าหากได้ลดหย่อนโทษลง อาจจะได้ออกตอนเดือนสิงหาคม แต่ถ้าไม่ได้ก็จะได้ออกเดือนธันวาคม 

“ตอนนี้ที่คิดคือรอแค่ 4 เดือนกับ 4 เดือน คือถ้ารอถึง 4 เดือน ยังไม่ได้ ก็รอแค่อีก 4 เดือน จริง ๆ มันรอทั้งหมด 8 เดือนนั่นแหละ แต่อยากคิดให้มันสั้นเข้าไว้ เลยบอกตัวเองว่ารอแค่ 4 เดือน กับ 4 เดือน” เธอบอกว่าต้องคิดแบบนี้เพื่อให้กำลังใจตัวเองเข้าไว้

ก่อนจากกัน ได้สอบถามน้ำว่าเมื่อวันที่ 1 เม.ย. น้ำได้ยินเสียงพลุหรือไม่ น้ำบอกว่าได้ยิน “ตอนนั้นตกใจมากคิดว่ามีใครเป็นอะไร” 

เมื่อบอกว่ามีกลุ่มนักกิจกรรมได้จัดกิจกรรมส่งกำลังใจให้กับผู้ต้องขังทางการเมือง อยู่ที่หน้าเรือนจำ น้ำได้ฟังแล้วก็ยิ้มบอกว่า “ขอบคุณมากที่ยังไม่ลืมกัน”

X