ที่ปรึกษากฏหมายยื่นคำร้องขอศาลเยาวชนฯ เปลี่ยนมาตรการ เหตุ “ภูมิ” ประสบอุบัติเหตุไหล่ขวาหลุด-จำเป็นต้องผ่าตัดโดยเร็ว

4 มี.ค. 2567 ที่ศาลเยาวชนและครอบครัวกลาง ที่ปรึกษากฎหมายของ “ภูมิ หัวลำโพง” นักกิจกรรมเยาวชนและอาสากู้ภัยวัย 20 ปี ผู้ถูกควบคุมตัวที่สถานพินิจฯ บ้านเมตตา จากคดีข้อหาหลักตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ได้เข้ายื่นคำร้องขอแก้ไขเปลี่ยนแปลงคำสั่งให้ใช้วิธีการสำหรับเด็กและเยาวชน เนื่องจากข้อเท็จจริงและพฤติการณ์ของจำเลยเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม โดยเมื่อวันที่ 18 ก.พ. 2567 ภูมิประสบอุบัติเหตุตกเก้าอี้ในระหว่างการฝึกอบรมของบ้านเมตตา ทำให้ได้รับบาดเจ็บหัวไหล่ขวาหลุด จนไม่สามารถทำกิจวัตรประจำวันได้ จำเป็นต้องได้รับการผ่าตัดโดยเร็ว 

ก่อนหน้านี้ ภูมิกลับคำให้การเป็นรับสารภาพ ในคดีที่เข้าถูกกล่าวหาจากการร่วมกิจกรรมเรียกร้องให้ปล่อยตัว “นิว” สิริชัย นาถึง ซึ่งถูกจับกุมไปยัง สภ.คลองหลวง เมื่อวันที่ 14 ม.ค. 2564 และวันที่ 18 ต.ค. 2566 ศาลเยาวชนฯ ได้วินิจฉัยให้ใช้มาตรการพิเศษแทนคำพิพากษาคดีกับจำเลย ตาม พ.ร.บ.ศาลเยาวชนและครอบครัวกลาง มาตรา 132 วรรค 2 ให้ส่งตัวจำเลยไปสถานพินิจฯ เป็นเวลา 1 ปี กำหนดเงื่อนไขให้อบรมหลักสูตรวิชาชีพอย่างน้อย 2 หลักสูตร

แม้ที่ปรึกษากฎหมายได้ยื่นขอให้ศาลเปลี่ยนแปลงคำสั่งดังกล่าวมาแล้ว 3 ครั้ง เนื่องจากมีข้อเท็จจริงที่เปลี่ยนแปลงไป ประการสำคัญคือมารดาของภูมิ ที่เดิมไปทำงานต่างประเทศ ได้เดินทางกลับมา และแสดงตัวว่าพร้อมจะดูแลภูมิในฐานะผู้ปกครองอยู่ในประเทศไทย แต่ศาลเยาวชนฯ ยังเห็นว่าไม่มีเหตุให้เปลี่ยนแปลงคำสั่งเดิม รวมทั้งได้ยื่นอุทธรณ์ขอให้มีการแก้ไขคำสั่ง ซึ่งอธิบดีศาลเยาวชนฯ อนุญาตให้รับอุทธรณ์ไว้ แต่ศาลอุทธรณ์ยังไม่ได้มีคำสั่งออกมา

คำร้องระบุ ภูมิประสบอุบัติเหตุไหล่ขวาหลุด-ทำกิจวัตรประจำวันไม่ได้-ต้องได้รับการผ่าตัดโดยเร็ว ขอศาลเปลี่ยนไปใช้ ม.132 วรรคหนึ่งแทน

วันนี้ (4 มี.ค.) ที่ปรึกษากฎหมายได้ยื่นคำร้องขอแก้ไขเปลี่ยนแปลงคำสั่งตามมาตรา 137 แห่ง พ.ร.บ.ศาลเยาวชนและครอบครัวกลาง ให้ยกเลิกการใช้มาตรการแทนการพิพากษาคดี มาตรา 132 วรรคสอง แก่จำเลย โดยให้เปลี่ยนเป็นให้ใช้มาตราการแทนการพิพากษาคดี ตามมาตรา 132 วรรคหนึ่ง แทน เนื่องจากข้อเท็จจริงและพฤติการณ์เกี่ยวกับสภาพร่างกายและสภาพจิตใจของจำเลยตามมาตรา 115 และ 119 เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม

สำหรับคำร้องดังกล่าว มีเนื้อหาโดยสรุปว่า เมื่อวันที่ 18 ก.พ. 2567 ขณะอยู่ในระหว่างการฝึกอบรมของบ้านเมตตา จำเลยประสบอุบัติเหตุตกเก้าอี้ สะโพกกระแทกพื้น และได้ใช้มือยันพื้นจนเป็นเหตุให้หัวไหล่ขวาหลุด 

เจ้าหน้าที่บ้านเมตตานำตัวจำเลยส่งโรงพยาบาล แพทย์ได้รักษาด้วยการดึงหัวไหล่ แต่หัวไหล่ของจำเลยไม่กลับเข้าที่และยังหลุดออกมา สร้างความเจ็บปวดให้กับจำเลย  แพทย์จึงรักษาเบื้องต้นด้วยการใส่เฝือกดามไหล่ให้ และมีความเห็นจำเป็นต้องได้รับการผ่าตัด

ระหว่างการพักรักษาตัวเพื่อรอการผ่าตัด จำเลยประสบกับความยากลำบากในการใช้ชีวิตประจำวันเป็นอย่างมาก เนื่องจากไม่สามารถใช้มือข้างขวาซึ่งเป็นด้านที่ตนถนัดทำกิจวัตรประจำวันได้ 

จนกระทั่งวันที่ 27 ก.พ. 2567 เจ้าหน้าที่บ้านเมตตาพาจำเลยไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาลตามนัด แพทย์รักษาด้วยการดึงหัวไหล่อีกครั้งแต่หัวไหล่ไม่กลับเข้าที่ แพทย์วินิจฉัยว่าไหล่ขวาหลุด ให้งดใช้งานไหล่ขวา และนัดผ่าตัด ซึ่งตามปกติจะนัดไปอีกประมาณ 5-6 เดือน แต่เนื่องจากกรณีของจำเลยหากปล่อยไว้ไม่ดำเนินการรักษาโดยเร็ว หัวไหล่ขวาของจำเลยจะมีปัญหาในอนาคต แพทย์จึงนัดผ่าตัดเร็วขึ้น โดยจะนัดผ่าตัดใน 2-3 สัปดาห์ถัดไป และนัดตรวจร่างกายเพื่อเตรียมการผ่าตัดในวันที่ 1 มี.ค. 2567 และให้ส่งตัวจำเลยกลับมารักษาที่โรงพยาบาลต้นทาง แต่ด้วยโรงพยาบาลดังกล่าวไม่มีเตียงรองรับการรักษาเป็นผู้ป่วยในระหว่างรอคิวการผ่าตัด จึงให้จำเลยกลับมาพักรักษาตัวที่บ้านเมตตาก่อน

มารดาของจำเลยซึ่งได้ทราบความเห็นของแพทย์และไม่สามารถผ่าตัดได้ทันทีได้รับความทุกข์ทรมานใจเป็นอย่างมาก จึงร้องขอความช่วยเหลือให้บ้านเมตตาส่งตัวจำเลยไปเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลอื่น ๆ เพื่อเป็นช่องทางโอกาสที่จะเข้าถึงการรักษาเร็วขึ้น แต่มารดาของจำเลยได้รับแจ้งจากบ้านเมตตาว่า อาการบาดเจ็บของจำเลยไม่วิกฤตถึงขนาดต้องรีบส่งโรงพยาบาลเอกชน ซึ่งสร้างความความทุกข์ใจแก่มารดาของจำเลยเป็นอย่างมาก ที่จำเลยไม่อาจเข้าถึงการรักษาพยาบาลที่มีประสิทธิภาพได้อย่างเร็วที่สุด

นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่บ้านเมมตาได้ให้จำเลยพบกับจิตแพทย์ของบ้านเมตตา ก่อนพบว่าจำเลยมีภาวะเครียดในระหว่างการฝึกอบรม ซึ่งเป็นผลมาจากอาการเจ็บปวดที่ทำให้ไม่สามารถทำกิจวัตรประจำวันได้ จนส่งผลกระทบต่อสภาพจิตใจ โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการประสานให้ส่งตัวเข้ารับการรักษาทางจิตเวชที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง

ประการสำคัญที่สุด อาการบาดเจ็บของจำเลย ขณะนี้อยู่ระหว่างการรักษาด้วยการใส่เฝือกดามไหล่ ทำให้จำเลยไม่สามารถใช้ไหล่ขวาและมือข้างขวาซึ่งเป็นข้างที่ถนัดในการทำกิจวัตรประจำวันพื้นฐานและต้องหยุดการฝึกอบรมหลักสูตรวิชาชีพมาตั้งแต่วันที่ 18 ก.พ. 2567 เนื่องจากหลักสูตรของจำเลยที่ฝึกที่บ้านเมตตาเป็นหลักสูตรที่มีการเรียนการสอนทั้งทฤษฎีและปฏิบัติ ซึ่งจำเป็นต้องจดบันทึกและฝึกภาคปฏิบัติ ด้วยเหตุดังกล่าว จำเลยจึงไม่สามารถเข้าฝึกอบรมและเรียนจนจบหลักสูตรวิชาชีพได้อีก อีกทั้งครอบครัวประสงค์ให้จำเลยได้รับการรักษาโดยเร็วที่สุด และเมื่อจำเลยต้องเข้ารับการผ่าตัด จำเป็นต้องใช้ระยะเวลาในการรักษาและฟื้นฟูร่างกาย ย่อมไม่อาจเข้ารับการฝึกอบรมตามคำสั่งศาลได้

ด้วยข้อเท็จจริงและพฤติการณ์ข้างต้น จึงถือว่าเป็นกรณีที่ข้อเท็จจริงและพฤติการณ์เกี่ยวกับสภาพร่างกายและสภาพจิตใจของจำเลยตามมาตรา 115 และ 119 แห่งพ.ร.บ.ศาลเยาวชนและครอบครัวกลาง เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ตามมาตรา 137 แห่งพ.ร.บ. ดังกล่าว อีกทั้งเพื่อเป็นการให้โอกาสจำเลยได้เข้าถึงการรักษาพยาบาลอย่างเร็วที่สุด ตลอดจนได้รับการดูแลจากมารดาและครอบครัวในระหว่างที่เข้ารับการรักษา จึงขอศาลยกเลิกการใช้มาตราการแทนการพิพากษาคดี ตามมาตรา 132 วรรคสองแก่จำเลย โดยให้เปลี่ยนเป็นให้ใช้มาตรการแทนการพิพากษาคดี ตามมาตรา 132 วรรคหนึ่งแทน

ทั้งนี้ ยังต้องรอติดตามฟังคำสั่งศาลเยาวชนฯ ต่อไป

X