16 ม.ค. 2567 ทนายความเดินทางไปเยี่ยม “เก็ท” โสภณ สุรฤทธิ์ธำรง นักกิจกรรมกลุ่มโมกหลวงริมน้ำ ที่ไม่ได้รับการประกันตัวหลังถูกศาลอาญาพิพากษาลงโทษในคดีมาตรา 112 จำคุก 3 ปี และลงโทษในข้อหาใช้เครื่องขยายเสียงโดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุก 6 เดือน ซึ่งเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด จากกรณีปราศรัยในกิจกรรม #ทัวร์มูล่าผัว ที่บริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เมื่อวันที่ 22 เม.ย. 2565
เหตุทำร้ายร่างกายในศาล: ถูกห้ามไม่ให้ชู 3 นิ้ว
ทนายได้สอบถามถึงเหตุการณ์ในวันที่ 27 ธ.ค. 2566 ซึ่งเก็ทถูกนำตัวจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ไปยังศาลอาญาธนบุรี เพื่อฟังคำพิพากษาในคดีปราศรัยในกิจกรรม “ฟื้นฝอยหาตะเข็บ 240 ปี ใครฆ่าพระเจ้าตาก” เมื่อวันที่ 6 เม.ย. 2565 บริเวณวงเวียนใหญ่ ซึ่งศาลได้พิพากษาจำคุกเก็ทเพิ่มอีก 3 ปี ในความผิดตามมาตรา 112
ทั้งนี้ในวันดังกล่าว เฟซบุ๊กของเก็ทได้โพสต์เกี่ยวกับเหตุการณ์การทำร้ายร่างกาย ภายหลังศาลมีคำพิพากษา
เก็ทบอกว่า ตอนฟังคำพิพากษา เขาแค่ไม่ได้ยืนเคารพศาล แต่ก็ไม่ได้เอะอะโวยวายใด ๆ
“คนทั่วไปก็เห็น เจ้าหน้าที่จากเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ก็เห็น ระหว่างเดินเข้าบัลลังก์ก็มีการกอด จับมือกับมวลชนบ้าง พอเดินออกจากบัลลังก์ก็มีการยื้อกันนิดหน่อยหน้าห้อง เจ้าหน้าที่จากเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ พยายามเร่งให้กลับ โดยบอกเหตุผลว่าเขามีงานต้องทำต่อ”
จากนั้นเก็ทได้พูดคุยกับทานตะวัน แล้วเจ้าหน้าที่ก็เบียดและดันจนหลุดมือจากกัน ตอนเดินลงบันไดศาล เก็ทบอกว่าเขายกมือซ้ายขึ้นมาชูสามนิ้ว จังหวะนี้เองที่โดนเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานอื่นที่ไม่ใช่จากเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ มากดมือลง พอกดมือซ้าย เก็ทจึงชูสามนิ้วด้วยมือขวาแทน แต่ก็โดนกดมือขวาลง แล้วรวบแบบหักข้อมือมาไพล่หลังทั้งสองข้าง
“แผลถลอกที่มือ มาจากตอนโดนหักข้อมือไปไพล่หลังนี้แหละ มันขูดกับกุญแจมือ จากนั้นเจ้าหน้าที่ก็เดินเตะด้านหลังของขา บริเวณน่องกับข้อเท้า เพื่อให้เดินเร็วขึ้น มีการเหยียบเท้าด้วย”
เก็ทบอกว่าด้วยความที่ไม่มีกางเกงใน แล้วกางเกงมันก็หลวมหลวม พอถูกเอามือไพล่หลังทั้งสองข้าง ช่วงที่กางเกงจะหลุด จึงสะบัดข้อมือจากที่ถูกเจ้าหน้าที่จับ มาดึงกางเกงไม่ให้หลุด จังหวะนั้นก็ถูกผลักเข้าไปในห้องเวรชี้ศาลพอดี
เก็ทบอกว่าเขาอยากให้มีการตรวจสอบการกระทำของเจ้าหน้าที่ และอยากให้มีการเปิดเผยภาพกล้องวงจรปิดถึงเหตุการณ์ดังกล่าว เพื่อจะได้เห็นว่าพวกเขาไม่ได้สร้างความวุ่นวายใด
สถานการณ์ชีวิตในเรือนจำ: ถูกโวยวายเพราะไม่ยืนเพลงสรรเสริญ
เก็ทบอกเล่าถึงสถานการณ์ในเรือนจำว่า ช่วงนี้มีคนโวยวายเรื่องที่มีคนไม่ยืนเคารพเพลงสรรเสริญกับไม่สวดมนต์ เพราะเมื่อเก็ทไม่ยืน ก็มีคนไม่ยืนเยอะขึ้น จนมีคนไปโวยคนอื่นว่าทำไมไม่ทำทั้งสองอย่างนี้ โดยไปโวยวายกับคนอื่นแทน
“วันนี้ก็เลยพูดใส่ไปในห้องว่าระเบียบเรือนจำมันไม่ได้บังคับให้ทำ ก็มีบางคนมาเถียงว่าเราเป็นนักโทษต้องทำตามกฎสิ ที่นี่ไม่ใช่บ้านนะ เราก็บอกไปว่าคุณอย่าลืมว่าสุดท้ายเราก็ยังเป็นคนนะ เราจะทำอะไรก็ได้ที่มันไม่เดือดร้อนคนอื่น อย่ามากดกันเองแทนผู้คุม”
เก็ทยังเล่าว่าช่วงนี้ในเรือนจำแออัด เพียงแค่มีคนนอนทับที่กันก็สามารถทะเลาะวิวาทกันได้แล้ว รวมไปถึงอากาศที่แย่ลงเพราะมีฝุ่น PM 2.5
“ช่วงนี้ฝุ่นเยอะเหมือนกัน บ้วนเสลดตอนเช้าออกมามีเลือดปนนิด ๆ ตลอดเลย” เขาทิ้งท้าย
.
เนื่องจากมีจดหมายของเก็ทที่ส่ง แต่ทางเจ้าหน้าที่เรือนจำไม่อนุญาตให้ส่งออกมา เขาจึงได้ฝากจดหมายฉบับย้อนหลังที่ไม่ได้เผยแพร่จำนวน 2 ฉบับ
จดหมายฉบับ 26 ธันวาคม 2566
“พลวัตจะไหลไปข้างหน้าหรือถอยหลังก็ล้วนเกิดจากมือคนทำเท่านั้น”
ช่วงนี้อากาศหนาว พยากรณ์อากาศบอกว่าคงมีอากาศแบบนี้ไปสักพัก รักษาสุขภาพกันด้วยนะ พอเราเล่าเรื่องกฎหมายสมรสเท่าเทียม ผู้ต้องขังไม่ใช่แค่กลุ่ม LGBT แต่กลุ่มชายแท้ทั้งหลายก็ตื่นเต้นนะ หลายคนก็รู้สึกว่าสังคมเราเข้าใกล้ความเท่าเทียมไปอีกขั้น
วันไหนออกไปได้จะไปดูการปราศรัยของไฮยีนและเพื่อน ๆ ที่หน้า bacc นะ เมื่อวันอาทิตย์เรือนจำเปิดรายการแฟนพันธุ์แท้ มิสยูนิเวอร์สไทยแลนด์ เราได้เห็นปาหนันแข่งด้วย เก่งมาก ๆ เลย ผู้ต้องขังหลายคนที่ดูรายการด้วยกัน ก็ชมว่าข้อมูลละเอียดขนาดนี้จำได้ไง เราเองก็รู้สึกภูมิใจและชื่นชมในตัวเขาด้วย ที่ไม่ว่าจะด้านการเคลื่อนไหวหรือด้านที่ตนชอบ ปาหนันก็ทำได้ดี
เชื่อว่าเวลาไม่เคยอยู่ข้างใคร พลวัตจะไหลไปข้างหน้าหรือถอยหลังก็ล้วนเกิดจากมือคนทำเท่านั้นทำดีก็ไปข้างหน้า ทำพลาดก็ถอย ทั้งฝั่งประชาชนและอภิสิทธิ์ชน และเราเชื่อว่าการเคลื่อนไหวเพื่อความเสมอภาคก็มีหลายด้าน ถ้าต่างคนต่างเคลื่อนไหวกันไปคนละด้านสองด้านวันหนึ่งทางก็มาบรรจบกันเพราะทางเราเดียวกัน
พรุ่งนี้ (27 ธันวาคม) เป็นวันพิพากษาคดีใครฆ่าพระเจ้าตาก ไม่ว่าศาลจะตัดสินแบบไหนความจริงก็ย่อมเป็นความจริง ถ้าการนำเสนอและวิพากษ์ประวัติศาสตร์ไม่สามารถทำได้ กระทรวงศึกษาธิการก็ถอดวิชาประวัติศาสตร์ทิ้งเถอะ ฉีกตำราทิ้งเสีย เรียนไปก็ไร้ค่า ถ้าเอามาพูดคุยหรือใช้ในที่สาธารณะอย่างบริสุทธิ์ใจไม่ได้
ก็หวังว่าความยุติธรรมจะอยู่ข้างประชาชน
คิดถึงทุกคนเสมอ 26 ธันวาคม 2566
จดหมายวันที่ 28 ธันวาคม 2566
ขอบคุณที่อยู่ด้วยกันและสู้มาด้วยกัน
เมื่อวานตอนไปศาล เราเห็นมวลชนถือป้าย Free Get, ปล่อยเพื่อนเรา มีมวลชนมานั่งฟังคำพิพากษาเต็มห้องพิจารณาคดี เห็นแล้วเราก็มีกำลังใจนะ ขอบคุณที่อยู่ด้วยกันและสู้มาด้วยกัน ระหว่างพิจารณาคดีเราสังเกตเห็นถุงผ้าที่ไฮยีนถือมา มีป้ายรณรงค์ปล่อยตัวผู้ต้องขังทางการเมืองด้วย ขอบคุณมาก ๆ และมีเรื่องที่น่าเสียดายและน่าเสียใจอยู่ คือเราไม่ได้พูดคุยกับพ่อแม่ กิ๊ฟ ไฮยีน เพื่อน ๆ มวลชนที่มาหา ถ้ามีเวลามากกว่านี้คงดี
คำพิพากษาเมื่อวานทำให้เราเห็นอะไรหลายอย่าง ได้เห็นทัศนคติของผู้มีอำนาจ เห็นความคิดในการใช้กฎหมาย ก็กลับมาคิดว่าถ้าคำพิพากษาถูกนำมาใช้ใหม่แล้วเปลี่ยนบุคคลที่พูดถึง เป็นพูดถึงตาสีตาสา ผลลัพธ์ของการพูดนั้นจะลงเอยเหมือนกันไหม เอาเถอะหากตราชั่งตราชูยังเอนเอียง รูปบางรูปยังถูกโหนห้อยไปมาสักวันนึง ตราชูและรูปนั้นคงถล่มร่วงล้มลงมา
ปีใหม่นี้เราขอส่งความสุขและกำลังใจให้คนข้างนอก ขอให้สุขภาพกายและใจทุกคนแข็งแรงและเข้มแข็ง คนข้างนอกมักห่วงคนข้างในเสมอ แต่รู้ไหมว่าคนข้างในก็ห่วงคนข้างนอกไม่แพ้กัน
ระหว่างที่เราถูกกักกันอิสรภาพ คนข้างนอกต้องเจออะไรบ้างต้องต่อสู้กับอะไรอยู่ ตลอดใช้ชีวิตในคุกเรายังระลึกไว้เสมอมา คนข้างนอกและข้างในยังสู้ไปด้วยกัน
เวลาไม่เคยอยู่ข้างใคร ถ้าจะชนะไม่ใช่เพราะการปล่อยให้เข็มนาฬิกาขยับไปเรื่อย ๆ แต่เกิดจากน้ำมือของประชาชนร่วมกันทำ ปีนี้มีทั้งผิดหวัง สมหวัง สุข ทุกข์ แต่ถ้าเรายังเดินต่อไปเราจะไปถึงเส้นชัยแน่ ปีหน้าคงจะเป็นเพียงการจุดไฟและโหมไฟขอให้ทุกคนสู้ไปด้วยกันนะ
“ตราบใดที่ดวงอาทิตย์ขึ้นตามทิศตะวันออก ตราบนั้นยังมีฉันคอยประคอง ตราบใดที่ความฝันเจอทางตันไร้ทางออก ตราบนั้นเราจะร้องเพลงด้วยกัน ตราบใดสายลมยังมีจะส่งความคิดถึงไป ตราบใดสายตายังดีจะส่องทางให้เธอ” เพลง “ตราบ” ของไททศมิตร
สวัสดีปีใหม่
โสภณ สุรฤทธิ์ธำรง
28 ธ.ค. 2566