27 ธ.ค. 2566 ศาลอาญาธนบุรีนัดฟังคำพิพากษาในคดีของ “เก็ท” โสภณ สุรฤทธิ์ธำรง และ “โจเซฟ” (นามสมมติ) ซึ่งถูกฟ้องในข้อหา “หมิ่นประมาทกษัตริย์ฯ” ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และร่วมกันใช้เครื่องขยายเสียงโดยไม่ได้รับอนุญาต จากกรณีร่วมปราศรัยในกิจกรรม “ฟื้นฝอยหาตะเข็บ 240 ปี ใครฆ่าพระเจ้าตาก” เมื่อวันที่ 6 เม.ย. 2565 บริเวณอนุสาวรีย์พระเจ้าตากสิน วงเวียนใหญ่
ศาลอาญาธนบุรี พิพากษาจำคุก 3 ปี “เก็ท” โดยเห็นว่าคำปราศรัยทำให้กษัตริย์ถูกดูหมิ่นเกลียดชัง แต่ให้ยกฟ้อง “โจเซฟ” ในข้อหานี้ พร้อมกับให้ลงโทษปรับทั้งสองคนในข้อหาใช้เครื่องขยายเสียงโดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าหน้าที่ คนละ 200 บาท
.
เดิมคดีนี้มีจำเลย 3 คน ได้แก่ โสภณ สุรฤทธิ์ธำรง หรือ เก็ท จำเลยที่ 1, โจเซฟ (นามสมมติ) จำเลยที่ 2 และมิ้นท์ (นามสมมติ) นักกิจกรรมกลุ่มนาดสินปฏิวัติ จำเลยที่ 3 ปัจจุบันเหลือจำเลยเพียง 2 ราย คือ โสภณและโจเซฟ เนื่องจากมิ้นท์ได้ตัดสินใจลี้ภัยทางการเมือง
ในการสืบพยานคดีนี้ เก็ทได้แถลงไม่ยอมรับอำนาจศาลในการพิจารณาพิพากษาคดี โดยขอ ‘ถอนทนายความ’ ของตนเอง และไม่ประสงค์จะมีส่วนร่วมใด ๆ ในการดำเนินกระบวนพิจารณาของศาล
รวมถึงไม่ขอลงลายมือชื่อในเอกสารทุกรายการ
ตลอดการพิจารณา มีเพียงทนายของโจเซฟทำหน้าที่ในคดี ทำให้เนื้อหาการถามค้านหลักเป็นประเด็นคำปราศรัยของจำเลยที่ 2 ซึ่งฝ่ายจำเลยพยายามชี้ให้เห็นว่ามีเนื้อหาเป็นข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์เกี่ยวกับการประหารพระเจ้าตากสิน มีการอ้างอิงไว้ในงานวิชาการทางประวัติศาสตร์ ไม่ใช่การใส่ความหรือไม่ได้พาดพิงกษัตริย์องค์ปัจจุบัน รวมทั้งฝ่ายโจทก์เองก็ไม่ได้มีการนำสืบให้เห็นว่าข้อความเป็นเท็จอย่างไร
วันนี้ที่บริเวณศาลอาญาธนบุรี มีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยอย่างแน่นหนา มีการสนธิกำลังระหว่างเจ้าหน้าที่ตำรวจจาก สน.บางขุนเทียน เจ้าหน้าที่ตำรวจศาล เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย เจ้าหน้าที่สำนักอำนวยการประจำศาลอาญาธนบุรี รวมถึงเจ้าหน้าที่กรมราชทัณฑ์จากเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ และเรือนจำพิเศษธนบุรี โดยตลอดห้องโถงก่อนเข้าห้องพิจารณาที่ 11 บนชั้น 3 ของอาคารศาล มีเจ้าหน้าที่หลายหน่วยงานดังกล่าวยืนเรียงตลอดสองข้างก่อนถึงห้องพิจารณา
ทั้งนี้ มีผู้มาให้กำลังใจเก็ทและโจเซฟจำนวนมาก ทั้งครอบครัว คนใกล้ชิด อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และเพื่อนนักกิจกรรม ภายใต้บรรยากาศหยุดยาวก่อนนับถอยหลังเข้าสู่ปี 2567
ก่อนเริ่มอ่านคำพิพากษา เจ้าหน้าที่ศาลได้แจ้งให้ผู้มาให้กำลังใจและสังเกตการณ์คดีแยกเข้าไปนั่งฟังการถ่ายทอดวิดีโอที่ห้องข้าง ๆ และไม่อนุญาตให้ใช้อุปกรณ์สื่อสาร โดยจะต้องฝากโทรศัพท์ไว้กับเจ้าหน้าที่เท่านั้น ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้จัดให้ฝากไว้ที่ตะกร้าหน้าห้อง
เวลา 09.20 น. เก็ทถูกเบิกตัวจากห้องขังใต้ถุนศาลขึ้นมายังห้องพิจารณา โดยเขาถูกใส่กุญแจเท้าล่ามข้อเท้าทั้งสองข้างเข้าด้วยกัน และในห้องพิจารณามีเจ้าหน้าที่ตำรวจศาล 2 นาย นั่งประกบตลอดเวลา ส่วนเจ้าหน้าที่อื่นอีก 4 นาย กระจายตัวกันอยู่
ในห้องพิจารณาเจ้าหน้าที่อนุญาตให้เพียงผู้ที่เกี่ยวข้องในคดี ครอบครัว และคนใกล้ชิดอีก 3 คนเข้ามาในห้องพิจารณา
.
เวลา 09.25 น. ศาลจึงเริ่มอ่านคำพิพากษา มีรายละเอียดโดยสรุปใน 2 ประเด็น ดังนี้
ข้อหาตาม พ.ร.บ.ควบคุมการโฆษณาโดยใช้เครื่องขยายเสียง พ.ศ. 2493
ศาลรับฟังข้อเท็จจริงว่า ก่อนวันเกิดเหตุมีการนัดหมายชุมนุมจริงตามสื่อออนไลน์ โดยไม่มีข้อเท็จจริงว่ามีบุคคลมาขอใช้เครื่องขยายเสียงก่อนจากเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง และในวันเกิดเหตุพยานโจทก์เบิกความสอดคล้องกันว่า จำเลยทั้งสองได้ขึ้นปราศรัยตามบันทึกถอดเทปในสำนวนคดีโดยใช้ไมค์ขยายเสียง ทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจที่อยู่ห่างไปถึง 20 เมตรได้ยินเสียง จึงฟังได้ว่าจำเลยทั้งสองร่วมกันใช้เครื่องขยายเสียงโดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าหน้าที่
จำเลยทั้งสองจึงร่วมกันมีความผิดตาม พ.ร.บ.ควบคุมการโฆษณาโดยใช้เครื่องขยายเสียง พ.ศ. 2493 มาตรา 4 วรรคแรก, มาตรา 9 วรรคแรก ประกอบมาตรา 83 ปรับคนละ 200 บาท
ข้อหาตามมาตรา 112 ประมวลกฎหมายอาญา คำปราศรัยของจำเลยทั้งสองเป็นการหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ หรือไม่
ศาลเห็นว่า คำปราศรัยของจำเลยที่ 1 ที่กล่าวถึงรัชกาลที่ 10 ต้องพิจารณาโดยคำนึงถึงสถานะของสถาบันกษัตริย์และความรู้สึกของบุคคลประกอบด้วย พยานโจทก์เบิกความไปในทางสอดคล้องกันว่า จำเลยที่ 1 ปราศรัยโดยมีการกล่าวถึงพระนามของรัชกาลที่ 10 ยืนยันข้อเท็จจริงว่าไม่ทรงงาน และยังลุ่มหลงในไสยศาสตร์ เห็นว่าคำปราศรัยดังกล่าวทำให้พระมหากษัตริย์ถูกดูหมิ่นเกลียดชัง จำเลยที่ 1 จึงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112
ส่วนจำเลยที่ 2 คำปราศรัยไม่ได้มีการกล่าวถึงรัชกาลที่ 10 แต่กล่าวถึงรัชกาลที่ 1 ศาลเห็นว่า แม้การกระทำความผิดจะกระทบต่อกษัตริย์เพียงพระองค์เดียว ย่อมส่งผลต่อความมั่นคงของประเทศ ซึ่งประเทศไทยปกครองโดยพระมหากษัตริย์มาตั้งแต่ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ จนกระทั่งถึงระบอบประชาธิปไตย พระมหกษัตริย์ยังคงได้รับการเคารพสักการะให้ทรงเป็นประมุขของประเทศ ทรงงานโดยใช้อํานาจนิติบัญญัติผ่านทางรัฐสภา อํานาจบริหารผ่านทางคณะรัฐมนตรี และอํานาจตุลาการผ่านทางศาล มีการสืบราชสันตติวงศ์ตามรัฐธรรมนูญ โดยประชาชนทุกคนยังคงผูกพันกับสถาบันกษัตริย์ตลอดมา
ส่วนข้อความที่จำเลยที่ 2 ปราศรัยโดยสรุปว่า ชนชั้นนำ ชนชั้นปกครอง หมายถึงกษัตริย์เป็นเทวราชา เป็นเทพอวตารมาจุติ ประชาชนต้องหมอบกราบ และราชวงศ์เก่าในอดีตมีการฆ่าเพื่อแย่งชิงราชสมบัติ ทั้งหมดควรเป็นการกระทำของเทวราชา เทพอวตารหรือไม่ ให้พี่น้องไปไตร่ตรองเอาเอง
ศาลเห็นว่าคำกล่าวของจำเลยที่ 2 เป็นข้อมูลทางประวัติศาสตร์ ไม่ได้ยืนยันข้อเท็จจริง และข้อมูลทางประวัติศาสตร์ที่ว่าพระมหากษัตริย์มีเมียหลายคนหรือมีการแย่งชิงทรัพย์สมบัติกันก็เป็นเรื่องทั่วไป ส่วนที่จำเลยที่ 2 กล่าวถึงสาเหตุการตายของพระเจ้าตากสินก็เป็นข้อมูลที่ไม่มีข้อยุติทางประวัติศาสตร์ ทำให้จำเลยที่ 2 เชื่อแบบนั้นได้ การกล่าวถึงเทพอวตารไม่ได้เป็นการยืนยันข้อเท็จจริง โดยจำเลยที่ 2 ได้ให้ผู้ฟังที่เป็นประชาชนไปคิดเองต่อ ศาลเห็นว่าจำเลยที่ 2 ไม่ได้ยืนยันข้อเท็จจริงอะไร และเลือกหยิบบางประเด็นมาปราศรัยเท่านั้น
ทั้งนี้ในคำฟ้อง ได้แยกฟ้องจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 จากกัน พยานโจทก์ไม่มีน้ำหนักพอให้เห็นว่าจำเลยที่ 2 ได้กระทำให้พระมหากษัตริย์ถูกดูหมิ่นเกลียดชัง จำเลยที่ 2 จึงไม่มีความผิด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ให้ยกฟ้อง
ศาลพิพากษา การกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป ในข้อหามาตรา 112 ให้จำคุก 3 ปี และข้อหาใช้เครื่องขยายเสียงโดยไม่ได้รับอนุญาต ปรับ 200 บาท ให้นับโทษของจำเลยที่ 1 ต่อจากคดี ปราศรัยในกิจกรรม #ทัวร์มูล่าผัว ที่ศาลอาญามีคำพิพากษาก่อนหน้านี้
ส่วนจำเลยที่ 2 มีความผิดข้อหาใช้เครื่องขยายเสียงโดยไม่ได้รับอนุญาต ปรับ 200 บาท ข้อหาอื่นให้ยกฟ้อง
.
หลังจากฟังคำพิพากษา โจเซฟได้จ่ายค่าปรับต่อศาลเป็นที่เรียบร้อย ส่วนเก็ทปฎิเสธที่จะจ่ายค่าปรับและไม่ขอประกันตัวในคดีนี้ เจ้าหน้าที่ให้เวลาบางส่วนต่อเก็ทได้พูดคุยกับครอบครัวและผู้ที่ศาลอนุญาตให้เข้าห้องพิจารณาได้ จากนั้นเก็ทถูกนำตัวออกจากห้องพิจารณาเพื่อเดินทางกลับไปยังเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ด้วยกำลังรักษาความปลอดภัยอย่างแน่นหนา
ทั้งนี้ เก็ทถูกคุมขังในเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ มาตั้งแต่วันที่ 24 ส.ค. 2566 หลังถูกศาลอาญาพิพากษาลงโทษจำคุก ในคดีปราศรัยในกิจกรรม #ทัวร์มูล่าผัว โดยลงโทษในข้อหามาตรา 112 จำคุก 3 ปี และลงโทษในข้อหาใช้เครื่องขยายเสียงโดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุก 6 เดือน ซึ่งเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด โดยเขาไม่ได้รับการประกันตัวมานับแต่นั้น หากรวมโทษจำคุกในสองคดี เท่ากับ 6 ปี 6 เดือน
.
เรื่องที่เกี่ยวข้อง:
อ่านประมวลคดี – เมื่อการพูดถึงข้อเท็จจริงทางปวศ. อาจผิด ม.112: ประมวลการต่อสู้คดี ม.112 ของ “เก็ท-โจเซฟ” กรณีปราศรัย #ใครฆ่าพระเจ้าตากสิน
คำแถลงไม่ยอมรับอำนาจศาล – ‘เก็ท’ ถอนทนาย คดี 112 เหตุปราศรัย “ใครฆ่าพระเจ้าตาก” พร้อมปฏิเสธอำนาจศาล เรียกร้องสิทธิประกันตัวผู้ต้องขังทางการเมือง – ยุติคดี ม.112 ทั้งหมด
อ่านคำฟ้อง – ยื่นฟ้อง ม.112 คดี 3 นักกิจกรรมร่วมปราศรัย “ใครฆ่าพระเจ้าตาก” ก่อนศาลยกคำร้องขอถอนประกัน “มิ้นท์” นาดสินปฏิวัติ