ยื่นฟ้อง ม.112 คดี 3 นักกิจกรรมร่วมปราศรัย “ใครฆ่าพระเจ้าตาก” ก่อนศาลยกคำร้องขอถอนประกัน “มิ้นท์” นาดสินปฏิวัติ

เมื่อวันที่ 1 ส.ค. 2565 พนักงานอัยการธนบุรี 3 มีคำสั่งฟ้องคดีของ 3 นักกิจกรรม “เก็ท” โสภณ  สุรฤทธิ์ธำรง จากกลุ่มโมกหลวงริมน้ำ, “โจเซฟ” นักกิจกรรม และ “มิ้นท์” นักกิจกรรมจากกลุ่มนาดสินปฏิวัติ ต่อศาลอาญาธนบุรี ในข้อกล่าวหาตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และใช้เครื่องขยายเสียงไม่ได้รับอนุญาต กรณีเข้าร่วมปราศรัยในกิจกรรม  “ฟื้นฝอยหาตะเข็บ 240 ปี ใครฆ่าพระเจ้าตาก” เมื่อวันที่ 6 เม.ย. 2565 บริเวณอนุสาวรีย์พระเจ้าตากสิน วงเวียนใหญ่

ก่อนหน้านี้ พนักงานสอบสวน สน.บุปผาราม ได้ขอศาลอาญาธนบุรีออกหมายจับผู้ต้องหาทั้ง 3 ราย โดยไม่เคยมีการออกหมายเรียกมาก่อน ซึ่งในวันที่ 10 พ.ค. 2565 ตำรวจมีการนำตัว มิ้นท์และโจเซฟ ไปแจ้งข้อหาที่ บช.ปส. ก่อนจะส่งขอฝากขังที่ศาล ต่อมา ทั้งคู่ได้รับการประกันตัว ด้วยหลักทรัพย์รายละ 200,000 บาท จากกองทุนราษฎรประสงค์ ศาลยังกำหนดเงื่อนไข 3 ข้อ ได้แก่ ห้ามกระทำการในลักษณะที่ถูกกล่าวหาอีกหรือกระทำการอันเสื่อมเสียต่อสถาบันพระมหากษัตริย์, ห้ามเข้าร่วมกิจกรรมที่ก่อความวุ่นวายในบ้านเมือง และห้ามเดินทางออกนอกราชอาณาจักร 

ในส่วนของเก็ท โสภณ ถูกแจ้งข้อหาในระหว่างถูกคุมขังในเรือนจำในอีกคดีหนึ่ง 

อ่านข่าว ตร.แจ้งข้อกล่าวหา โจเซฟ – มิ้นท์ >>> จับ “โจเซฟ-มิ้นท์” ตามหมายจับ ม.112 เหตุปราศรัย “ใครฆ่าพระเจ้าตาก” ก่อนได้ประกัน มีเงื่อนไขห้ามชุมนุมที่กระทบสถาบันกษัตริย์ |

อ่านข่าว ตร.แจ้งข้อหาเก็ท ในเรือนจำ >>> ตร.เข้าแจ้งข้อหา ม.112 “เก็ท โสภณ” ในเรือนจำอีกคดี เหตุปราศรัยวันจักรี “ใครฆ่าพระเจ้าตาก”

.

อัยการสั่งฟ้อง 3 นักกิจกรรม ในข้อหามาตรา 112 กล่าวหาใส่ความ ร.1 และ ร.10

ในส่วนคำฟ้องของอัยการ มีคำสั่งฟ้องจำเลยทั้ง 3 คนในคดีนี้ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และ พ.ร.บ.ควบคุมการโฆษณาโดยใช้เครื่องขยายเสียง พ.ศ. 2493 มาตรา 4

ทั้งนี้ ในคำฟ้องมีใจความสำคัญระบุว่า การที่จำเลยทั้งสาม ได้กระทำการจัดกิจกรรมเนื่องในวันจักรี ในหัวข้อ “ฟื้นฝอยหาตะเข็บ 240 ปี ใครฆ่าพระเจ้าตาก” บริเวณอนุสาวรีย์สมเด็จพระเจ้าตากสิน และจำเลยทั้งสามได้กระทำความผิดต่อกฎหมายหลายกรรมต่างกัน 

จำเลยทั้งสาม ร่วมกันโฆษณาโดยปราศรัยแสดงความคิดเห็นต่อดาบตำรวจพรชัย วิชัยโย และประชาชนที่เข้าร่วมกิจกรรมเนื่องในวันจักรีดังกล่าว โดยใช้เครื่องขยายเสียงด้วยกำลังไฟฟ้า โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าหน้าที่ 

นอกจากนี้ในคำฟ้องยังได้ระบุถึงพฤติการณ์ และคำกล่าวปราศัยของจำเลยทั้งสาม ซึ่งอัยการได้ระบุว่าจำเลยที่ 1 – 3 ได้กระทำการกล่าวคำปราศรัยที่เป็นการใส่ความรัชกาลที่ 1 และรัชกาลที่ 10 ในราชวงศ์จักรี ต่อบุคคลที่สาม โดยประการที่น่าจะทำให้กษัตริย์ทั้งสองพระองค์เสื่อมเสียพระเกียรติ เสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น และถูกเกลียดชัง ทั้งเป็นการดูหมิ่นกษัตริย์ทั้งสองพระองค์ อันเป็นการฝ่าฝืนกฎหมาย 

ต่อมาในวันที่ 1 ส.ค. 2565 เวลา 16.50 น. ศาลอาญาธนบุรี อนุญาตให้ประกันตัวเก็ท ตีราคาหลักประกันเป็นจำนวนเงิน 200,000 บาท จากกองทุนราษฎรประสงค์ โดยมีเงื่อนไข 2 ข้อระบุ ดังนี้

1.ห้ามกระทำการใดๆ ในลักษณะเช่นเดียวกันกับที่ถูกกล่าวหา อันเป็นที่เสื่อมเสียแก่สถาบันพระมหากษัตริย์ หรือเข้าร่วมกิจกรรมใด ที่อาจก่อให้เกิดความวุ่นวายขึ้นในบ้านเมือง

2. ห้ามเดินทางออกนอกราชอาณาจักร เว้นแต่ได้รับอนุญาตเป็นหนังสือจากศาล และให้จำเลยมาศาลตามกำหนดนัดโดยเคร่งครัด แจ้งสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองทราบ

นอกจากนี้ ในวันที่ 2 ส.ค. 2565 ศาลมีคำสั่งอนุญาตให้ประกันตัวโจเซฟ โดยตีราคาวงเงินประกัน 200,000 บาท จากกองทุนราษฎรประสงค์ เช่นเดียวกับเก็ท โดยมีเงื่อนไขกำหนดให้ปฏิบัติตามเงื่อนไขเดิมที่เคยได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวในครั้งแรก

.

ศาลนัดไต่สวนถอนประกันครั้งที่ 2  “มิ้นท์” ก่อนยกคำร้องพนักงานสอบสวนและให้นายประกันยื่นคำร้องขอประกันต่อในชั้นพิจารณาคดี

วันที่ 3 ส.ค. 2565 เวลา 09.00 น. ศาลอาญาธนบุรีนัดไต่สวนถอนประกันครั้งที่ 2 “มิ้นท์” จากกลุ่มนาดสินปฏิวัติ หลังพนักงานสอบสวน สน.บุปผาราม ยื่นคำร้องขอถอนประกันในชั้นสอบสวน

เวลา 09.50 น. บรรยากาศก่อนการเริ่มพิจารณาคดี มีเจ้าหน้าที่จากสถานทูตสวีเดนเดินทางมาร่วมสังเกตการณ์คดีด้วย ก่อนที่ทนายความและนายประกัน พร้อมท้ังจำเลยจะเข้ามาในห้องพิจารณาคดี

ต่อมา 10.15 น. ศาลขึ้นพิจารณาคดี โดยถามจำเลยทันทีว่าได้เห็นเอกสารคำร้องที่ยื่นขอถอนประกันของพนักงานสอบสวนแล้วใช่หรือไม่ ซึ่งจำเลยก็ได้แถลงต่อศาลว่าตนได้เห็นเอกสารดังกล่าวแล้ว

ทั้งนี้ ศาลได้ขอให้จำเลยทบทวนเงื่อนไขการปล่อยตัวชั่วคราวที่ศาลได้กำหนดให้จำเลยปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด ซึ่งจำเลยได้แถลงต่อศาลว่าตนจำเงื่อนไขทุกประการได้ และยังคงปฏิบัติตามคำสั่งที่ศาลกำหนดอย่างเคร่งครัด

พนักงานสอบสวนจาก สน.บุปผาราม ได้แถลงต่อศาลว่าในการยื่นคำร้องขอถอนประกันในครั้งนี้เป็นเหตุมาจากที่จำเลยได้เข้าร่วมกิจกรรม “ทวงคืนพลังงาน ให้ประชาชน”  ซึ่งจัดโดยกลุ่มคณะหลอมรวมประชาชน เมื่อวันที่ 3 ก.ค. 2565 โดยได้ทำการจัดบูธทำกิจกรรมเชิญชวนรณรงค์ให้ประชาชนยกเลิกประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112  โดยจำเลยได้ชูป้ายพร้อมข้อความ ‘ยกเลิก 112’ และคำว่า ‘ปล่อยนักโทษการเมือง’ และทำการโพสต์ข้อความบรรยากาศของกิจกรรมดังกล่าวผ่านทางเฟซบุ๊ก และไลฟ์สดผ่านทางยูทูป อันเป็นการกระทำที่ฝ่าฝืนเงื่อนไขการปล่อยตัวชั่วคราวที่ศาลกำหนดไว้

อย่างไรก็ตาม ในวันนี้พนักงานสอบสวนผู้ร้องได้นำ ร.ต.อ.ชนายุส พุทธลา รองสารวัตรสืบสวนจาก สน. สำราญราษฎร์ มายืนยันข้อเท็จจริงดังกล่าว โดยแถลงว่าในวันดังกล่าวได้รับมอบหมายหน้าที่ให้ไปสังเกตการณ์กิจกรรม ซึ่งศาลได้ถามว่าในกิจกรรมที่จำเลยได้เข้าไปจัด หรือได้สร้างความวุ่นวายใดๆ หรือไม่ ซึ่งพนักงานสืบสวนตอบว่ากิจกรรมเป็นไปด้วยความสงบเรียบร้อย จำเลยไม่ได้ก่อความวุ่นวายแต่อย่างใด ซึ่งพนักงานสืบสวนเองก็ไม่ได้ดำเนินคดีใดๆ ต่อจำเลยอีกด้วย

ศาลได้ถามต่อจำเลยว่าเจตนารมณ์ในการเข้าไปทำกิจกรรมในงานดังกล่าวคืออะไร มิ้นท์ได้เบิกความว่าการชูป้ายเป็นเพียงการเรียกร้องให้ปล่อยตัวนักโทษทางการเมืองอย่าง บุ้ง – ใบปอ ที่ถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำและอดอาหารอยู่ในตอนนี้เท่านั้น ตลอดจนในการเข้าไปจัดกิจกรรมดังกล่าวก็ได้ทำการขออนุญาตจากคณะทำงานแล้วด้วย

จำเลยได้แถลงต่อศาลว่าในกรณีที่มีการโพสต์บนเฟซบุ๊คส่วนตัวของจำเลยเองนั้น มีเจตนาเพียงต้องการอธิบายบรรยากาศในงานที่เข้าไปจัดกิจกรรม รวมถึงบอกเล่าเหตุการณ์ที่ตำรวจเข้ามาทำลายทรัพย์สินและฉีกกระดาษแผ่นป้ายต่างๆ ของกิจกรรมที่ตนเองได้เข้าไปทำ 

ศาลได้ถามต่อจำเลยว่าในเอกสารคำร้องที่ส่งมาจากพนักงานสอบสวน กรณีของป้ายที่ชูในงานดังกล่าว มีป้ายที่เขียนคำว่า “ใครสั่งฆ่าประชาชนด้วย” จำเลยได้เห็นหรือไม่ ซึ่งมิ้นท์ได้ตอบว่าในส่วนของป้ายดังกล่าว ตนเองไม่ได้เป็นผู้จัดเตรียมมา แต่เป็นของมวลชนคนอื่นที่มาร่วมงานเดียวกัน และไม่ได้ส่วนเกี่ยวข้องกับป้ายดังกล่าวแต่อย่างใด

นอกจากนี้ ศาลได้ถามต่อนายประกันว่า ในการถูกยื่นคำร้องขอถอนประกันเป็นครั้งที่ 2 จำเลยต้องมาขึ้นศาลเพื่อไต่สวน จำเลยได้แจ้งต่อนายประกันบ้างหรือไม่ เวลาที่จะออกไปทำกิจกรรมทางการเมืองใดๆ ที่ผ่านมา นายประกันได้ตอบว่าจำเลยไม่ได้แจ้งข้อความใดๆ และขอให้ศาลมั่นใจว่าหากจำเลยได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวในชั้นพิจารณานี้ นายประกันจะคอยติดตามและควบคุมการกระทำของจำเลยให้มากขึ้น 

ทั้งนี้ ศาลได้แสดงความกังวลต่อพฤติกรรมการแสดงออกทางการเมืองของตัวจำเลย โดยได้บอกต่อจำเลยว่า “ศาลไม่ได้ห้ามให้จำเลยออกไปเข้าร่วมกิจกรรมทางการเมือง หรือแสดงความคิดเห็นใดๆ แต่ศาลมีความกังวลถึงพฤติกรรมที่แสดงออกว่าเข้าข่ายหมิ่นเหม่และสร้างความเสื่อมเสียต่อสถาบันฯ และขออย่าไปเป็นแกนนำในการชุมนุมใดๆ” ตลอดจนในคดีนี้อัยการได้มีคำสั่งฟ้องเมื่อวันที่ 1 ส.ค. ที่ผ่านมา และสัญญาประกันในชั้นสอบสวนได้สิ้นสุดลงแล้ว การไต่สวนถอนประกันในวันนี้ศาลจึงมีความกังวลใจว่าจะสามารถให้ปล่อยตัวชั่วคราวจำเลยได้หรือไม่

ก่อนศาลได้ถามทนายจำเลยว่ามีสิ่งใดที่จะแถลงหรือไม่ ซึ่งทนายได้แถลงว่าการเคลื่อนไหวของจำเลยยังคงเป็นไปตามเงื่อนไขเดิม ไม่ได้มีการทำอะไรออกนอกข้อกำหนดต่างๆ และทนายได้แถลงต่อว่า ไม่อยากให้ศาลมีการเติมนักโทษทางการเมืองเข้าไปอีกหนึ่งคน ถ้าหากศาลจะสามารถผ่อนปรนเงื่อนไขได้บ้าง ก็สมควรต่อการพิจารณา

หลังจากทนายความแถลง ศาลขอให้จำเลยสร้างความเชื่อมั่นว่าหากศาลมีคำสั่งปล่อยตัวชั่วคราวในชั้นพิจารณาแล้ว จำเลยจะสามารถปฏิบัติตามเงื่อนไขที่ศาลกำหนดได้อย่างเคร่งครัดหรือไม่ และได้แสดงความกังวลถึงวงเงินประกันตัวของจำเลย โดยกล่าวว่า “เงินที่ต้องนำมาประกันตัวจำเลยนั้น ศาลเข้าใจว่าเป็นเงินที่ได้รับบริจาคจากประชาชน เรื่องนี้ไม่น่าเป็นเรื่องของแค่จำเลยนะ” 

มิ้นท์ก็ได้ตอบว่าหากศาลมีคำสั่งให้ประกันตัว ก็ขอยืนยันว่าจะสามารถปฏิบัติตามเงื่อนไขที่ศาลได้กำหนด

เมื่อเสร็นสิ้นการพิจารณา ศาลได้มีคำสั่งว่าขอให้ทนายความและจำเลยรออยู่ฟังคำสั่งต่อไป เนื่องจากศาลจะนำคำเบิกความในวันนี้ เข้าปรึกษากับอธิบดีผู้พิพากษาของศาลก่อน และจะมาอ่านคำสั่งให้ฟังในเวลา 12.00 น.

ต่อมา เวลา 12.15 น. ศาลกลับเข้าห้องพิจารณาคดี มีคำสั่งระบุว่า “พิเคราะห์แล้ว เมื่อความปรากฏว่าคดีนี้พนักงานอัยการเป็นโจทก์ยื่นฟ้องผู้ต้องหาเป็นจำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นความผิดตามที่ผู้ร้องได้แจ้งข้อกล่าวหา และนายประกันได้ส่งตัวผู้ต้องหาตามกำหนดนัดต่อศาลแล้ว ถือว่าสัญญาประกันในระหว่างสอบสวนสิ้นสุดลง กรณีจึงไม่จำเป็นต้องสั่งคำร้องขอให้ศาลไต่สวนเพิกถอนการปล่อยตัวชั่วคราวในระหว่างการสอบสวนอีก

“อนึ่ง ศาลได้แจ้งต่อผู้ต้องหาทราบว่าพฤติการณ์ต่างๆ แห่งคดี ตามปรากฎในระหว่างปล่อยตัวชั่วคราวในชั้นสอบสวนจักเป็นข้อพิจารณาในคำร้องของปล่อยตัวชั่วคราวของจำเลยในระหว่างการพิจารณาต่อไป”

ในเวลา 17.45 น. ศาลมีคำสั่งอนุญาตให้ประกันตัว “มิ้นท์” ในชั้นพิจารณา โดยเรียกหลักประกันเพิ่มจากเดิม เป็นจำนวนเงิน 100,000 บาท รวมเป็นหลักทรัพย์ 300,000 บาท จากกองทุนราษฎรประสงค์ โดยมีการกำหนดเงื่อนไขเดิมเช่นเดียวกับที่เคยได้รับการประกันตัวในชั้นสอบสวน 

ศาลนัดสอบคำให้การ พร้อมตรวจพยานหลักฐานในคดีนี้ ในวันที่ 2 ก.ย. 2565 เวลา 09.00 น.

X