ศาลให้ประกัน “มิ้นท์ นาดสินปฏิวัติ” ภายใต้เงื่อนไข หลังถูกจับกุม ม.112 กรณีโพสต์ภาพชูป้ายหน้าศาล

4 ส.ค. 2565 เวลาประมาณ 17.10 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจได้นำหมายจับ เข้าจับกุมตัว “มิ้นท์” นักกิจกรรมจากกลุ่มนาดสินปฏิวัติ (สงวนชื่อสกุล) ที่บ้านพัก ในคดีข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14 (3) โดยมีการนำตัวไปสอบสวนที่ บช.ปส. ซึ่งไม่ใช่สถานีตำรวจเจ้าของคดี ก่อนพบว่าถูกดำเนินคดีจากการโพสต์ภาพที่ตนเองชูป้ายข้อความวิพากษ์วิจารณ์กระบวนการพิจารณาในคดีมาตรา 112 ที่หน้าศาลอาญากรุงเทพใต้ จำนวน 3 โพสต์ ต่อมาหลังการไต่สวนขอฝากขัง ศาลอนุญาตให้ฝากขัง แต่อนุญาตให้ประกันตัวภายใต้เงื่อนไข

.

เข้าจับกุม หลังศาลยกคำร้องตำรวจขอถอนประกันตัวในคดี 112 อีกคดีหนึ่ง

หมายจับดังกล่าว ลงวันที่ 25 ก.ค. 2565 โดยมี พ.ต.ต.เกียรติศักดิ์ พิมมานนท์ สารวัตรสอบสวน สน.ยานนาวา เป็นผู้ร้องขอศาลอาญากรุงเทพใต้ออกหมาย ด้วยเหตุว่าน่าเชื่อว่าได้กระทำความผิดอาญาซึ่งมีอัตราโทษจำคุกอย่างสูงเกินสามปี โดยผู้พิพากษาที่อนุมัติออกหมายจับเพียงแต่เซ็นชื่อ แต่ไม่ได้ระบุชื่อสกุลไว้แต่อย่างใด โดยที่คดีนี้ ตำรวจไม่เคยออกหมายเรียกผู้ต้องหามาก่อน

บันทึกจับกุมระบุว่าการจับกุมเกิดขึ้นภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ต.สรเสริญ ใช้สถิตย์ ผู้บังกับการกองบัญชาการตำรวจนครบาล 6 สั่งการให้ตำรวจรวม 8 นายจากนครบาล 6 เข้าจับกุม

ทั้งนี้ น่าสังเกตว่าการจับกุมนี้เกิดขึ้นหนึ่งวันภายหลัง เมื่อวันที่ 3 ส.ค. 2565 ศาลอาญาธนบุรีมีการยกคำร้องของตำรวจที่ขอให้ถอนการประกันตัวมิ้นท์ ในคดีมาตรา 112 กรณีปราศรัยที่วงเวียนใหญ่ โดยที่หมายจับในคดีใหม่นี้ออกตั้งแต่เมื่อวันที่ 25 ก.ค. 2565  เมื่อเทียบกับกรณีชินวัตร จันทร์กระจ่างที่ถูกจับกุมก่อนหน้านี้ เกิดขึ้นในวันเดียวกับที่ศาลออกหมายจับทันที โดยเป็นคดีของสถานีตำรวจเดียวกันและชุดจับกุมภายใต้การอำนวยการของกองบัญชาการเดียวกัน

.

คุมตัวไป บช.ปส. ไม่ใช่สถานีตำรวจเจ้าของคดี แจ้งข้อหาโพสต์ภาพถือป้ายวิจารณ์กระบวนการในคดี 112

หลังการจับกุม ในตอนแรกทางตำรวจระบุว่าจะนำตัวไปที่ สน.ยานนาวา ซึ่งเป็นเจ้าของคดี แต่ต่อมามีการเปลี่ยนสถานที่ โดยนำตัวไปที่ บช.ปส. (กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด) ภายในสโมสรตำรวจ แทน

หลังทนายความติดตามไปที่ บช.ปส. พบว่าในตอนแรก ทางตำรวจไม่ยินยอมให้ผู้ไว้วางใจของมิ้นท์ ซึ่งติดตามไป เข้าพบกับผู้ต้องหา จนมีการพูดคุยให้เข้าไปพร้อมกับทนายความ

ต่อมา พนักงานสอบสวน สน.ยานนาวา ได้เดินทางมาแจ้งข้อกล่าวหาต่อมิ้นท์ โดยทราบเหตุที่ถูกกล่าวหามาจากการโพสต์ภาพและข้อความในเฟซบุ๊ก จำนวน 3 โพสต์ ได้แก่

เมื่อวันที่ 7 ก.ค. 2565 ได้โพสต์และข้อความเป็นภาพตนเองถือป้ายข้อความ “ปลดรูปคู่กรณีก่อนพิพากษาคดี 112 ตำรวจของคู่กรณี อัยการของคู่กรณี ศาลของคู่กรณี อะไรคือความยุติธรรม” หน้าพระบรมฉายาลักษณ์ ที่หน้าศาลอาญากรุงเทพใต้

เมื่อวันที่ 10 ก.ค. 2565 ได้โพสต์และข้อความเป็นภาพตนเองถือป้ายข้อความ “ยุติการพิพากษาคดี 112 ในนามพระปรมาภิไธย” หน้าพระบรมฉายาลักษณ์ ที่หน้าศาลอาญากรุงเทพใต้

เมื่อวันที่ 1 ส.ค. 2565 ได้โพสต์และข้อความเป็นภาพตนเองถือป้ายข้อความ “การปฏิเสธอำนาจศาล ซึ่งเป็นองค์กรของคู่กรณี มาตรา 112 ย่อมกระทำได้ ดังนั้นศาลไม่มีศักดิ์และสิทธิ์ใดมาขังผู้ต้องหาคดี 112” หน้าพระบรมฉายาลักษณ์ ที่หน้าศาลอาญากรุงเทพใต้

มิ้นท์ได้ให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา และจะให้การเพิ่มเติมเป็นหนังสือภายใน 30 วัน ก่อนตำรวจจะควบคุมตัวมิ้นท์ไว้ภายใน บช.ปส. ในช่วงคืนที่ผ่านมา

ทั้งนี้น่าสังเกตว่าในโพสต์ข้อความสุดท้ายที่นำมากล่าวหาผู้ต้องหา ถูกระบุว่าโพสต์ในวันที่ 1 ส.ค. 2565 เกิดขึ้นภายหลังวันที่ศาลออกหมายจับคือวันที่ 25 ก.ค. 2565

.

ตำรวจยื่นขอฝากขังและค้านการประกันตัว อ้างอาจไป “หมิ่นสถาบันฯ” อีก ศาลนัดไต่สวน

5 ส.ค. 2565 เวลา 11.10 น. พ.ต.ท.อินศร อุดติ๊บ พนักงานสอบสวน สน.ยานนาวา ได้นำตัวมิ้นท์ไปขออำนาจฝากขังที่ศาลอาญากรุงเทพใต้ คำร้องขอฝากขังระบุพฤติการณ์ของผู้ต้องหาว่า ได้โพสต์ภาพถ่ายของตนเองในขณะที่ชูป้ายข้อความหน้าพระบรมฉายาลักษณ์ บริเวณหน้าศาลอาญากรุงเทพใต้ จำนวน 3 ครั้ง โดยป้ายข้อความในภาพถ่าย รวมทั้งข้อความที่ผู้ต้องหาโพสต์ลงบนเฟซบุ๊กมีเนื้อหาเรียกร้องให้ปล่อยตัวสองนักกิจกรรมอย่าง บุ้ง – ใบปอ มีข้อความที่เป็นการหมิ่นประมาท ดูหมิ่น แสดงความอาฆาต มาดร้ายต่อพระมหากษัตริย์ 

อีกทั้งในคำร้องฝากขัง ได้ระบุว่า ข้อความที่กล่าวหาพระมหากษัตริย์ คือคู่กรณี โดยเจาะจงพูดถึงรูปของในหลวงรัชกาลที่ 10 ซึ่งอยู่หน้าบัลลังก์พิพากษาของศาล และในทางกฎหมายพระมหากษัตริย์ทรงอยู่เหนือการเมือง ผู้ใดจะละเมิดมิได้ การกล่าวเช่นนี้ จึงเป็นการดึงสถาบันฯ ลงมาไม่อยู่ที่เคารพสักการะสูงสุด และมาเป็นคู่กรณีโดยตรงกับจำเลย

พนักงานสอบสวนยังคัดค้านการประกันตัว โดยระบุเหตุว่าผู้ต้องหาเคยมีกรณีถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดและถูกดำเนินคดีในความผิดเดียวกันนี้มาก่อน และเนื่องจากพฤติการณ์ของผู้ต้องหาที่กระทำหน้าพระบรมฉายาลักษณ์ หากให้ประกันตัวแล้ว ผู้ต้องหาอาจจะกระทำการอันเป็นการหมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์ในลักษณะเดิมอีก หรือผู้ต้องหาอาจจะไปก่อเหตุอันตรายประการอื่นที่เกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักรได้ 

ส่วนทนายความได้ยื่นคัดค้านการฝากขัง ระบุใจความสำคัญว่า พฤติการณ์ต่างๆของผู้ต้องหาในคดีนี้ ที่พนักงานสอบสวนกล่าวหา ตามบันทึกจับกุม คำร้องฝากขังครั้งที่ 1 และพยานหลักฐานในสำนวนคดี ของพนักงานสอบสวนระบุเหตุการณ์โดยเลื่อนลอย เคลือบคลุมเท่านั้น ไม่มีพยานหลักฐานตามสมควร อันควรเชื่อได้ว่า ผู้ต้องหาได้กระทำความผิดอย่างไรบ้าง แต่เป็นเพียงการกล่าวหาผู้ต้องหาโดยฝ่ายเดียว

เวลา 13.50 น. ศาลได้มีการนัดไต่สวนคำร้องคัดค้านฝากขังผู้ต้องหา โดยแจ้งข้อกล่าวหาที่พนักงานสอบสวนผู้ร้องแจ้งต่อผู้ต้องหา และได้บอกกับทนายว่าการไต่สวนในวันนี้จะเป็นการพิจารณาในประเด็นของผู้ร้องที่อ้างว่าการสอบสวนยังไม่แล้วเสร็จ จึงขอให้ฝากขังผู้ต้องหาในคดีนี้ 

ทนายความแถลงต่อศาลว่า ในคดีนี้มีอีกประเด็นที่อยากให้ศาลบันทึกลงในรายงานด้วย กล่าวคือการที่พนักงานสอบสวนไม่เคยออกหมายเรียกผู้ต้องหาในคดีนี้แต่อย่างใด อีกทั้งผู้ต้องหายังมีที่อยู่อาศัยเป็นหลักแหล่ง ไม่ได้มีพฤติการณ์ที่จะหลบหนี ซึ่งศาลได้ยอมรับคำแถลงของทนาย 

14.25 น. ศาลให้พนักงานสอบสวนผู้ร้องขึ้นเบิกความ พ.ต.ท.อินศร อุดติ๊บ อายุ 52 ปี รับราชการอยู่ที่ สน.ยานนาวา พยานเบิกความว่า ในคดีนี้เป็นหมายจับที่ได้รับจากศาลอาญากรุงเทพใต้ เมื่อวันที่ 25 ก.ค. 2565 ในชั้นสอบสวนผู้ต้องหาให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา

พยานเบิกความต่อว่า เหตุที่ให้นำมาฝากขังในวันนี้ เนื่องจากการสอบสวนยังไม่แล้วเสร็จ และต้องสอบปากคำพยานเพิ่มเติมเป็นจำนวน 10 ปาก

ทนายได้ถามค้านพยานว่า ในคดีนี้พนักงานชุดจับกุมได้แจ้งต่อพยานหรือไม่ว่า ได้ทำการจับกุมผู้ต้องหาในบริเวณแถวที่พักอาศัยของผู้ต้องหา และในขณะที่จับกุมเจ้าหน้าที่ชุดจับกุมได้แจ้งต่อพยานหรือไม่ว่าผู้ต้องหามีพฤติการณ์หลบหนีในระหว่างจับกุม พยานตอบว่า ไม่แน่ใจเนื่องจากพยานไม่ใช่ชุดจับกุม ซึ่งศาลได้ถามความแน่ใจจากพยานอีกครั้งว่าเข้าใจที่ทนายความถามหรือไม่ ซึ่งพยานได้ตอบว่าตนไม่ทราบเรื่องการจับกุม และไม่ได้นำเอกสารมาพร้อม จึงไม่รู้ว่าจับกุมที่บริเวณใด และไม่ทราบว่าผู้ต้องหามีพฤติการณ์หลบหนีหรือไม่

ทนายจึงถามต่อพยานว่า พยานทราบหรือไม่ว่าในคดีอื่นของผู้ต้องหา ก็ยังไม่มีคดีใดถึงที่สุดเลยสักคดีเดียว พยานได้ตอบว่าจากการตรวจสอบประวัติของผู้ต้องหาในคดีนี้ พยานทราบว่ายังไม่มีคดีใดที่ถูกตัดสินจากศาล

นอกจากนี้ ทนายยังได้ถามต่อพยานว่า ในคดีนี้พฤติกรรมของผู้ต้องหามีเพียงการยืนชูป้ายเท่านั้น ตลอดจนไม่ได้ทำลายรูปพระบรมฉายาลักษณ์ ไม่ได้กระทำการอันก่อให้เกิดความวุ่นวายใดๆ ในบริเวณที่เกิดเหตุ พยานตอบว่า ป้ายที่ชูมีข้อความที่ปรากฎความหมายหมิ่นกษัตริย์ แต่ก็ไม่ได้สร้างความวุ่นวาย หรือทำลายรูปภาพแต่อย่างใด

เมื่อถามถึงพยานที่พนักงานสอบสวนอ้างว่าจำเป็นต้องสอบปากคำเพิ่มเติม ทั้ง 10 คน นั้นเป็นใครบ้าง พยานได้ตอบว่ายังไม่ทราบว่าจะเป็นใครบ้าง ต้องไปประเมินกันดูก่อน ทนายได้ถามต่อในทันทีว่า เมื่อพยานไม่สามารถระบุกลุ่มคนที่จะสอบปากคำได้ ดังนั้นผู้ต้องหาก็ไม่สามารถที่จะไปยุ่งเกี่ยวกับพยานหลักฐานอื่นได้ใช่หรือไม่ พยานก็ได้ยืนยันข้อเท็จจริงดังกล่าว

อย่างไรก็ตาม ทนายได้ถามพยานถึงความหมายของ “คู่กรณี” ที่พยานได้ใส่ลงไปในคำร้องขอฝากขังนั้น หมายถึงพระมหากษัตริย์ใช่หรือไม่ และในเมื่อพยานได้กล่าวอ้างถึงพระมหากษัตริย์ พยานได้มีการทำหนังสือคำร้องสอบถามต่อสำนักงานพระราชวังว่ามีความเห็นอย่างไรในเรื่องคดีนี้ พยานตอบทนายว่าในส่วนนี้ขอไม่ตอบคำถาม

ศาลจึงถามต่อพยานว่า ในส่วนของผู้กล่าวหาในคดีนี้คือใคร พยานแถลงต่อศาลว่าเป็นเพียงชาวบ้านธรรมดา ทราบชื่อ นายปิยกุล แต่ไม่ทราบนามสกุล

พยานผู้ร้อง แถลงเพิ่มเติมในส่วนของการยึดโทรศัพท์ของมิ้นท์ เนื่องจากพนักงานสอบสวนเชื่อว่าเป็นอุปกรณ์ที่มีความเชื่อมโยงกับการกระทำผิดในข้อหา พรบ.คอมพิวเตอร์ฯ จึงต้องยึดไว้ 

ทั้งนี้ ทนายความได้พยานว่าถึงคดีอื่นของมิ้นท์ว่า พยานทราบหรือไม่ว่าผู้ต้องหาได้รับการประกันตัวในชั้นพิจารณาคดีจากศาลอาญาธนบุรี พยานผู้ร้องตอบว่าไม่ทราบรายละเอียดในคดี รู้เพียงแต่ว่าเป็นคดีของ สน.บุปผาราม และโดนดำเนินในข้อหามาตรา112 เท่านั้น

นอกจากนี้ ทนายความถามต่อพยานในประเด็นเรื่องของการสอบปากคำบุคคลอื่นเพิ่มเติมว่า หากผู้ต้องหาได้รับการประกันตัวในคดี ก็ไม่ได้เป็นเหตุให้พนักงานสอบสวนไม่สามารถสอบปากคำกลุ่มบุคคลดังกล่าวได้ใช่หรือไม่ พยานตอบทนายว่า “ใช่ แต่ว่าการฝากขังกับประกันเป็นคนละอย่างกัน” อย่างไรก็ตามศาลไม่ได้บันทึกคำเบิกความของพยานผู้ร้องในส่วนนี้ บันทึกเพียงข้อเท็จจริงว่า หากผู้ต้องหาได้รับการปล่อยชั่วคราว พนักงานสอบสวนก็ยังสามารถสอบปากคำบุคคลอื่นเพิ่มเติมได้

ต่อมา 15.24 น. ศาลออกจากห้องพิจารณาคดีเพื่อเข้าปรึกษากับรองอธิบดีผู้พิพากษา และให้ทนายความและผู้ต้องหารอฟังคำสั่งต่อไป

เวลา 16.00 น. ศาลกลับเข้ามาอ่านรายงานกระบวนพิจารณาคดี มีคำสั่งระบุว่า อนุญาตให้ฝากขังผู้ต้องหาเป็นระยะเวลา 12 วัน เนื่องจากข้อกล่าวหาเป็นความผิดอาญาที่มีอัตราโทษจำคุกสูง และกำชับให้ผู้ร้องเร่งรัดการสอบสวนพยานบุคคลให้แล้วเสร็จโดยเร็ว

.

ศาลอนุญาตให้ฝากขัง แต่อนุญาตให้ประกันตัว เห็นว่าไม่มีพฤติการณ์หลบหนี โดยกำหนดเงื่อนไข

ต่อมาเวลา 16.48 น. ศาลมีคำสั่งอนุญาตให้ประกันตัวผู้ต้องหา โดยระบุว่าพิเคราห์คำร้องฝากขังและคำร้องประกอบขอปล่อยตัวชั่วคราวแล้ว ผู้ต้องหาอ้างว่าให้ความร่วมมือกับเจ้าพนักงานตำรวจในการจับกุม มิได้ต่อสู้ขัดขวางหรือมีพฤติการณ์หลบหนี ไม่มีพฤติการณ์จะไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน และการปล่อยตัวชั่วคราวไม่เป็นอุปสรรคหรือก่อให้เกิดความเสียหายต่อการสอบสวนของเจ้าพนักงาน หรือการดำเนินคดีในศาล และผู้ต้องหาจะไม่กระทำการใดๆ อันทำให้เกิดความเสื่อมเสียต่อสถาบันพระมหากษัตริย์โดยผิดกฎหมาย และยินยอมที่จะไม่เข้าร่วมกิจกรรมหรือการชุมนุมที่ก่อให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง

เห็นว่าภายหลังผู้ต้องหาได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวจากศาลอาญาธนบุรี เมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 2565 ผู้ต้องหายังคงมาศาลนี้โดยไม่ปรากฏพฤติการณ์หลบหนี จึงอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราว ตีราคาประกัน 200,000 บาท 

กำหนดเงื่อนไขห้ามผู้ต้องหากระทำการในลักษณะทำนองเดียวกับที่ถูกกล่าวหาตามคำร้องขอฝากขัง ห้ามผู้ต้องหากระทำการใดๆ อันเป็นการขัดขวางการสอบสวนของพนักงานสอบสวนหรือการพิจารณาของศาล ห้ามผู้ต้องหาออกนอกเคหสถานในช่วงเวลา 19.00 น. ถึง 6.00 น. เว้นแต่มีเหตุจำเป็นเพื่อการรักษาพยาบาลหรือได้รับอนุญาตจากศาล ห้ามผู้ต้องเดินทางออกนอกราชอาณาจักรเว้นแต่ได้รับอนุญาตจากศาล หากผู้ต้องหาละเมิดเงื่อนไขดังกล่าว ศาลอาจมีคำสั่งเปลี่ยนแปลงหรือเพิกถอนคำสั่งให้ปล่อยตัวชั่วคราว ให้มีหนังสือแจ้งสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองทราบ

ลงนามโดย นายสันติ ชูกิจทรัพย์ไพศาล รองอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญากรุงเทพใต้

ทั้งนี้ มิ้นท์ ถูกดำเนินคดีมาตรา 112 คดีนี้เป็นคดีที่ 2 หลังก่อนหน้านี้ถูกกล่าวหาในกรณีการปราศรัย ในกิจกรรม “ฟื้นฝอยหาตะเข็บ 240 ปี ใครฆ่าพระเจ้าตาก” ที่วงเวียนใหญ่ เมื่อวันที่ 6 เม.ย. 2565

.

อ่านเรื่องราวของมิ้นท์

ชวนรู้จัก มิ้นท์ #นาดสินปฏิวัติ: นางรำฟรีแลนซ์ผู้ถูกคดี ม.112 กับการขับเคลื่อนความเท่าเทียมในวงการนาฏศิลป์ไทย

X