วันที่ 14 ธ.ค. 2566 เวลา 09.00 น. ศาลแขวงนนทบุรีนัดฟังคำพิพากษาในคดี “พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ – ม.215 – ม.216” ของประชาชน 19 คน เหตุชุมนุมขับไล่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น บริเวณหอนาฬิกาท่าน้ำนนทบุรี จังหวัดนนทบุรี เมื่อวันที่ 30 ก.ย. 2564
เหตุในคดีนี้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 30 ก.ย. 2564 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มีกำหนดการลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์น้ำท่วมในพื้นที่จังหวัดนนทบุรี และได้มีกลุ่มประชาชนรวมตัวกันเพื่อขับไล่ในจุดต่าง ๆ โดยเฉพาะที่บริเวณหอนาฬิกาท่าน้ำนนทบุรี ที่มีประชาชนมารวมตัวกันแสดงออกทางการเมือง ทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ ต้องเปลี่ยนกำหนดการลงพื้นที่
ในวันดังกล่าวมีประชาชนถูกจับกุมดำเนินคดี 2 ราย จากบริเวณท่าน้ำนนทบุรี และท่าน้ำปากเกร็ด และภายหลัง พนักงานสอบสวน สภ.เมืองนนทบุรี ยังได้ออกหมายเรียกประชาชนที่เข้าร่วมการชุมนุมในวันดังกล่าวรวมทั้งหมด 21 คน (เป็นเยาวชน 1 ราย จากกลุ่มปฏิวัติการศึกษาไทย) ผู้ถูกออกหมายเรียกได้ทยอยเข้ารับทราบข้อกล่าวหาช่วงวันที่ 8, 12 และ 15 ต.ค. จนชุดสุดท้ายในวันที่ 19 ต.ค. 2564
ต่อมาในวันที่ 5 พ.ย. 2564 อุทัยวรรณ ศรีสกุล พนักงานอัยการ ได้สั่งฟ้องคดีนี้ต่อศาลแขวงนนทบุรีกับจำเลยทั้ง 20 คน ใน 3 ข้อหา ดังนี้
- ฝ่าฝืนคำสั่งจังหวัดนนทบุรี ที่ 2415/2564 เรื่องสั่งปิดสถานที่เป็นการชั่วคราว (ฉบับที่ 62) ลงวันที่ 31 สิงหาคม 2564 ข้อ 4 ห้ามจัดกิจกรรมที่มีการรวมกลุ่มกันในพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวดรวมกันมากกว่า 25 คน เพื่อลดความเสี่ยงในการแพร่โรค ออกตามความในมาตรา 9 แห่ง พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ
- ร่วมกันมั่วสุมกันตั้งแต่สิบคนขึ้นไป ใช้กำลังประทุษร้าย ขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย หรือก่อให้เกิดความวุ่นวายขึ้นในบ้านเมือง ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 215 วรรคแรก
- ไม่ยอมเลิกการมั่วสุมเมื่อเจ้าพนักงานสั่งให้เลิก ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 216
จำเลยทั้ง 20 คนในคดีรวมถึง “เจมส์” เจษฎา ศรีปลั่ง, “ป้าเป้า” วรวรรณ แซ่อั้ง, “ตะวัน” ทานตะวัน ตัวตุลานนท์, “แฟรงค์” ณัฐนนท์ ไชยมหาบุตร, “มานี” เงินตา คำแสน และ “บอมเบย์” เจษฎาพร โพธิ์เพชร
คดีนี้มีการสืบพยานไปในวันที่ 14 – 15 ก.ย., 19 – 20 ต.ค., 9 – 10, 16 – 17 พ.ย. 2566 อย่างไรก็ตามจำเลยที่ 11 ขอกลับคำให้การเป็นรับสารภาพ ศาลจึงสั่งจำหน่ายคดีและแยกฟ้องจำเลยคนดังกล่าวเป็นอีกคดี
วันนี้ (14 ธ.ค. 2566) ที่ห้องพิจารณาคดีที่ 4 เวลา 9.00 – 10.30 น. จำเลยทั้ง 19 คนทยอยเดินทางมาฟังคำพิพากษา ต่อมาเวลา 10.57 น. ศาลออกนั่งพิจารณาคดีและอ่านคำพิพากษาในคดีนี้ มีรายละเอียดแบ่งได้เป็น 3 ประเด็น ดังนี้
ประเด็นที่ 1 ข้อหาฝ่าฝืนข้อกำหนดตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ห้ามจัดกิจกรรมที่มีการรวมกลุ่มกันในพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวดรวมกันมากกว่า 25 คน เพื่อลดความเสี่ยงในการแพร่โรค
เห็นว่า พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ มาตรา 10 กำหนดให้นายกรัฐมนตรีอาจมอบอำนาจให้พนักงานเจ้าหน้าที่ซึ่งได้รับการแต่งตั้งเป็นหัวหน้าผู้รับผิดชอบในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินเป็นผู้ใช้อำนาจออกข้อกำหนดตาม มาตรา 9 แทนได้ แต่ข้อกำหนดออกตามความในมาตรา 9 แห่ง พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ มอบอำนาจให้หัวหน้าผู้รับผิดชอบฯ ในส่วนที่เกี่ยวกับความมั่นคงเพียงประกาศกำหนดเขตพื้นที่ซึ่งห้ามการชุมนุมเท่านั้น ไม่ได้ให้อำนาจออกข้อกำหนดลักษณะการชุมนุมแพร่โรคเพิ่มเติม ประกอบกับโจทก์ไม่ได้นำสืบว่าการชุมนุมดังกล่าวมีลักษณะเสี่ยงต่อการแพร่โรคอย่างไร และไม่มีหลักฐานการแพร่โรคที่เกิดขึ้นภายหลังจากการชุมนุม
ฟังไม่ได้ว่าการชุมนุมดังกล่าวเสี่ยงต่อการแพร่โรค จำเลยทั้ง 19 คนจึงไม่มีความผิดในข้อหาฝ่าฝืนข้อกำหนดตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ พิพากษายกฟ้อง
ประเด็นที่ 2 ข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 215 วรรคแรก ร่วมกันมั่วสุมกันตั้งแต่สิบคนขึ้นไป ใช้กำลังประทุษร้าย ขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย หรือก่อให้เกิดความวุ่นวายขึ้นในบ้านเมือง
พยานโจทก์ปากเจ้าหน้าที่ตำรวจซึ่งเข้าไปตรวจพื้นที่เบิกความว่า ผู้ชุมนุมมีการใช้เครื่องขยายเสียงในลักษณะปลุกระดม พยายามเข้าใกล้นายกรัฐมนตรีโดยใช้กำลัง มีการใช้น้ำสาดไปที่เจ้าหน้าที่ตำรวจ ในขณะที่พยานจำเลยเบิกความว่า การชุมนุมดังกล่าวเป็นการแสดงออกถึงความไม่พอใจต่อการปฏิบัติหน้าที่ของนายกรัฐมนตรี และไม่ได้มีการทำร้ายร่างกายเจ้าหน้าที่ตำรวจ
เห็นว่า บุคคลมีสิทธิและเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญที่จะแสดงความไม่พอใจการปฏิบัติหน้าที่ของนายกรัฐมนตรี ประกอบกับพยานหลักฐานของโจทก์ไม่ชัดแจ้งว่าจำเลยทั้ง 19 คนสร้างความวุ่นวายในบ้านเมือง จำเลยทั้ง 19 คนจึงไม่มีความผิดในข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 215 พิพากษายกฟ้อง
ประเด็นที่ 3 ข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 216 ไม่ยอมเลิกการมั่วสุมเมื่อเจ้าพนักงานสั่งให้เลิก
เห็นว่า การที่จำเลยทั้ง 19 คนจะมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 216 ได้ จะต้องกระทำความผิดตาม มาตรา 215 สำเร็จเสียก่อน ประกอบกับเจ้าหน้าที่ตำรวจในพื้นที่เกิดเหตุได้ประกาศให้เลิกแล้วจำเลยทั้ง 19 คนไม่เลิก ภายหลังที่เหตุการณ์เกิดขึ้นแล้ว จำเลยทั้ง 19 คนจึงไม่มีความผิดในข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 216 พิพากษายกฟ้อง
ผู้พิพากษาเจ้าของสำนวน ได้แก่ กรพล สุรินทร์ศักดิ์