เมื่อวันที่ 7 ธ.ค. 2566 ทนายความได้เข้าเยี่ยม เอกชัย หงส์กังวาน นักกิจกรรมทางการเมืองและผู้ต้องขังคดีการเมืองที่คดีสิ้นสุดแล้ว ในคดี พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14 (4) กรณีโพสต์ข้อความเล่าประสบการณ์เรื่องเพศสัมพันธ์ในเรือนจำ เมื่อปี 2560 โดยศาลฎีกาพิพากษายืนจำคุก 1 ปี ไม่รอลงอาญา ทำให้ถูกคุมขังมาตั้งแต่วันที่ 6 ก.ค. 2566
ภายหลังมีการตรวจพบ ‘ฝีที่ตับ’ และได้มีการส่งตัวเอกชัยไปโรงพยาบาลราชวิถีเพื่อรักษาด้วยการเจาะฝีออก เอกชัยได้ถูกส่งตัวกลับมารับยาฆ่าเชื้อต่อที่โรงพยาบาลราชทัณฑ์ และยังคงถูกคุมขังอยู่ที่โรงพยาบาลจนถึงปัจจุบัน
เอกชัยได้ฝากข้อเขียน 2 บท ของเขาผ่านทนายความมาเผยแพร่ โดยเขาได้เล่าถึงเส้นทางการต่อสู้ในคดีของเขาและอาการป่วยฝีในตับ นอกจากนี้ยังได้เรียกร้องให้มีการเปิดโอกาสให้คนในเรือนจำได้รับสิทธิ์ใช้เงินดิจิตอลเพื่อบรรเทาความยากลำบากในการใช้ชีวิต
.
เงินดิจิตอลในเรือนจำ
รัฐบาลเศรษฐาแถลงเดินหน้าโครงการเงินดิจิตอล 10,000 บาท ให้ชาวไทยอายุ 16 ปีขึ้นไป ยกเว้นบุคคลบางประเภท ขณะที่สังคมกำลังถกเถียงคุณสมบัติของประชาชนที่ถูกยกเว้นไม่ให้เข้าร่วมโครงการนี้ สังคมหลงลืมประชาชนกลุ่มหนึ่งที่เข้าข่ายตามเกณฑ์ในโครงการนี้ แต่ถูกกีดกันจากกฎหมาย
ปัจจุบันประเทศไทยมีเรือนจำ 111 แห่ง และมีผู้ต้องขังกว่า 300,000 คน พวกเขามีคุณสมบัติได้รับเงินดิจิตอล แต่พวกเขาไม่สามารถใช้สิทธิ์นี้ได้ด้วยระเบียบของกรมราชทัณฑ์ เป็นการห้ามใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ อินเทอร์เน็ต แม้เรือนจำหลายแห่งจะมีสวัสดิการบางอย่างให้กับผู้ต้องขังเป็นชุดเสื้อผ้าอาหารสามมื้อ แต่มันไม่เพียงพอสำหรับการดำรงชีพของพวกเขา
สิ่งของจำเป็นต้องใช้ในชีวิตประจำวันหลายอย่าง เช่น สบู่ ยาสีฟัน แชมพู ผู้ต้องขังได้รับเพียงครั้งเดียวในวันที่พวกเขาเข้าเรือนจำซึ่งใช้เพียงไม่กี่วันก็หมด สิ่งของหลายอย่าง เช่น ผงซักฟอก ที่โกนหนวด ไม่เคยมีสวัสดิการให้ผู้ต้องขัง หนึ่งในสามเป็นคนยากจน ไม่มีเงินหรือมีไม่เพียงพอต่อชีวิตในเรือนจำ อันส่งผลต่อสุขภาพอนามัยของผู้ต้องขังในระยะยาว
ด้วยเหตุนี้ ผมจึงขอเสนอให้กรมราชทัณฑ์อนุญาตให้ผู้ต้องขังทั่วประเทศสามารถใช้สิทธิ์ในโครงการนี้ด้วยการอนุญาตให้พวกเขาได้รับเงินดิจิตอลจากโครงการนี้ เข้าบัญชีผู้ต้องขังในเรือนจำ เพื่อให้พวกเขาได้ใช้จ่ายเงินนี้ในเรือนจำด้วย
.
บทท้าทายจากคำพิพากษา
หลายปีที่ผ่านมาผมเข้าออกเรือนจำจากคดีการเมืองหกครั้ง บางครั้งหลายวัน บางครั้งหลายเดือน บางครั้งเป็นปี แต่ละครั้งผมต้องเผชิญกับการท้าทาย โดยเฉพาะครั้งนี้กลางเมษายนปีที่ผ่านมา ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น จำคุกผม 1 ปี ข้อหา พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ จากโพสต์เฟซบุ๊ก เล่าเรื่องเพศสัมพันธ์ในเรือนจำจากประสบการณ์การเข้าเรือนจำครั้งแรกของผม (2554) โดยศาลฎีกาไม่อนุญาตให้ประกันในคดีนี้
หลายคนแนะนำให้ผมยอมแพ้ เพื่อรอการอภัยโทษ (12 ส.ค 2565) แต่ผมไม่เห็นด้วยจึงฎีกาจากในเรือนจำเพื่อสู้คดีนี้ต่อ คดีนี้ศาลชั้นต้นลงโทษจำคุกหนึ่งปี ลดโทษหนึ่งในสามจากการเบิกความเป็นประโยชน์ (4 เดือน) แต่เพิ่มโทษหนึ่งในสามจากการต้องคดีอาญาซ้ำ (4 เดือน) ทำให้โทษจำคุกในคดีนี้มีหนึ่งปีเท่าเดิม แต่ผมเห็นว่าการเพิ่มโทษ-ลดจำคุกแบบนี้เป็นไป ตามประมวลกฏหมายอาญา มาตรา 54
มาตรา 54 กำหนดวิธีคำนวณเพิ่ม-ลด โทษจำคุกด้วยการเพิ่มโทษก่อน (1 ปี + 4 เดือน =1 ปี 4 เดือน) จึงค่อยลดหนึ่งในสามจากผลลัพธ์นั้น (1 ปี 4 เดือน / 1 ใน 3 = 5 เดือน 10 วัน) ดังนั้นโทษจำคุกในคดีนี้ต้องเป็น 10 เดือน 20 วัน ผมจึงฎีกาในประเด็นนี้ (ดูรายละเอียดเรื่องนี้เพิ่มเติม)
6 กรกฎาคม 2566 ศาลฎีกาพิพากษายืน คำพิพากษานี้สร้างความไม่เป็นธรรมในการคำนวณวันพ้นโทษคดีผม ศาลฎีกาไม่คำนวณเพิ่ม-ลดโทษจำคุก ทำให้วันพ้นโทษของผมถูกขยายจาก 20 ธ.ค. 2566 (10 เดือน 20 วัน) ออกไปกว่าหนึ่งเดือน ผมจึงร้องเรียนต่อคณะกรรมการตุลาการ แต่พวกเขาอ้างว่าเป็นดุลพินิจ ไม่อาจก้าวล่วง
เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ แจ้งวันพ้นโทษในคดีนี้ คือ 4 ก.พ. ปีหน้า ไม่ใช่ 1 ก.พ. ปีหน้า ตามที่ผมคำนวณ จึงทักท้วงต่อเรือนจำ แต่เขายืนยันตามวันพ้นโทษเดิม อ้างมาตรา 21 ที่ให้คำนวณตามปีปฏิทินราชการ
เห็นได้ชัด คำพิพากษานี้เลือกใช้ท่อนที่ไม่เป็นประโยชน์กับผม นอกจากจะไม่พ้นโทษในปีนี้ ผมยังพ้นโทษจำคุกเป็นปีหน้า ซึ่งเป็นปีอธิกสุรทิน คือเดือน ก.พ. มี 29 วัน ที่ทำให้โทษของผมเป็น 366 วัน ไม่ใช่ 365 วัน แม้วันพ้นโทษจะยังไม่ถึง 29 ก.พ. ก็ตาม แต่ความท้าทายเหล่านี้ยังไม่ใช่สิ่งเลวร้ายที่สุดของการเข้าเรือนจำครั้งนี้
1 ก.ย. 2566 ผมมีอาการตัวเหลืองตาเหลืองมีไข้ติดต่อกันหลายวัน ก่อนแพทย์วินิจฉัยว่ามีฝีในตับจากการติดเชื้อในเรือนจำตั้งแต่ปลาย ส.ค. ตอนแรกโรงพยาบาลราชทัณฑ์ตรวจซีทีสแกนพบฝีในตับขนาดเท่ากำปั้น แต่โรงพยาบาลราชวิถีตรวจพบฝีสองก้อนไม่ใช่ก้อนเดียว จึงเจาะระบายหนองจากฝีก้อนที่ใหญ่กว่าออกก่อน และให้รับยาฆ่าเชื้อทำลายฝีก้อนที่เล็กกว่าเป็นเวลาหกสัปดาห์
31 ต.ค. โรงพยาบาลราชทัณฑ์ตรวจซีทีสแกนรอบสอง พบฝีในตับที่ยุบลงจนเห็นเป็นสองก้อนชัด
แม้ฝีในตับสองก้อนยุบลงแล้ว แต่ผมยังคงเจ็บแผลเป็นระยะ ๆ จึงยังไม่ปลอดภัย โชคดีไม่มีสัญญาณบ่งชี้ถึงมะเร็ง โรงพยาบาลราชวิถีจึงให้รับยาฆ่าเชื้อต่อเพื่อทำลายฝีจนถึงสิ้นปี
ปีนี้ผมอยู่เรือนจำ 5 เดือนนับเป็นการอยู่เรือนจำที่สิ่งเลวร้ายมากกว่าทุกครั้ง ผมไม่อาจยอมรับชะตากรรมนี้ จึงต่อสู้เพื่อปกป้องความเป็นธรรมของผม
.