เมื่อวันที่ 24 ต.ค. 2566 ที่ผ่านมา “เอกชัย หงส์กังวาน” ถูกเบิกตัวจากทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์มาที่ศาลอาญา ในนัดสืบพยานคดีคนอยากเลือกตั้ง เดินขบวนไปหน้าองค์การสหประชาชาติ หรือ UN 62 เมื่อปี 2561 เอกชัยได้บอกเล่าถึงสถานการณ์การรักษาตัวอยู่ที่ รพ.ราชทัณฑ์ หลังจากก่อนหน้านี้ได้ป่วยเป็นฝีในตับ และยังได้ฝากบทความเรื่อง นักโทษ VIP มาเผยแพร่ต่อสาธารณชนด้วย
เอกชัยชี้เรือนจำไม่เหมาะแก่การพักฟื้น ขอขยายเวลาอยู่ รพ.ราชทัณฑ์ต่อ หรือย้ายไป รพ.มธ.
หลายปีที่ผ่านมาเอกชัยเข้ารับการศัลยกรรมอาการผิดปกติเกี่ยวกับ ‘ตับ’ มาแล้ว 2 ครั้ง ทุกครั้งหลังการศัลยกรรม สุขภาพของเขาเปลี่ยนไปไม่เหมือนเดิม
เมื่อปี 2548 เอกชัยมีอาการตัวเหลือง ตาเหลือง และปวดท้องอย่างรุนแรง แพทย์โรงพยาบาลเวชธานีจึงให้ตรวจอัลตร้าซาวด์จนพบ ‘นิ่วในถุงน้ำดี’ เขาจึงต้องผ่าตัดถุงน้ำดีออก หลังจากนั้นจึงไม่สามารถทานอาหารที่มีไขมันสูงได้ เนื่องจากไม่มี ‘เอนไซม์’ จากถุงน้ำดีช่วยย่อยไขมันอีกต่อไป
ต่อมา ช่วงเดือน ก.ย. 2566 เอกชัยมีอาการตัวเหลือง ตาเหลือง และมีไข้ติดต่อกันหลายวัน ทาง รพ.ราชทัณฑ์จึงให้ตรวจ CT Scan จนพบฝีในตับ เขาจึงถูกส่งต่อที่โรงพยาบาลราชวิถีเพื่อเจาะระบายฝีจากตับออก แล้วรับยาฆ่าเชื้อผ่านสายยางอย่างต่อเนื่องอยู่หลายวัน
ปัจจุบัน (25 ต.ค. 2566) เอกชัยยังรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลราชทัณฑ์เพื่อรับยาฆ่าเชื้อให้ครบ 6 สัปดาห์ตามกำหนด (นับตั้งแต่วันที่ 25 ก.ย.) เขายังคงรู้สึกปวดแผลบริเวณตับเป็นระยะ ๆ โดยแพทย์นัดตรวจ CT Scan อีกครั้งในวันที่ 31 ต.ค. นี้ จากนั้นจะถูกก่อนส่งไปตรวจผลการรักษาอย่างละเอียดอีกครั้งที่ รพ.ราชวิถี ในวันที่ 8 พ.ย. นี้
ภายหลังจากนั้นเอกชัยจำเป็นจะต้อง ‘พักฟื้น’ อยู่ในสถานที่ที่เอื้อให้ร่างกายกลับมาแข็งแรงโดยเร็ว แต่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ นั้นกำลังมีการระบาดของโรคติดต่อหลายชนิด โดยเฉพาะไข้หวัดใหญ่ จึงไม่ใช่ทางเลือกที่ปลอดภัยสำหรับการพักฟื้นหลังเจ็บป่วย
เอกชัยจึงมีความประสงค์ต้องการให้ รพ.ราชทัณฑ์ ขยายระยะเวลาการรักษาให้เขาได้ฟื้นฟูร่างกายต่อไป หรือจะส่งเข้าไปที่โรงพยาบาลธรรมศาสตร์ก็ได้เช่นกัน แต่ รพ.ราชทัณฑ์ อ้างว่าจำเป็นจะต้องสำรองเตียงคนไข้ไว้ให้กับผู้ต้องขังรายใหม่ และก็ไม่สามารถย้ายไป รพ.ธรรมศาสตร์ ได้ โดยอ้างว่าไม่มีเจ้าหน้าที่เพียงพอที่จะเฝ้าเขาที่โรงพยาบาลนั้นได้
เอกชัยเห็นว่าการส่งเขากลับเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ก่อนที่จะครบกำหนดการรับยาฆ่าเชื้อนั้น จึงไม่ใช่สิ่งที่เหมาะสมและไม่เป็นประโยชน์ต่อการรักษา
กว่า 1 เดือนที่เอกชัยรักษาตัวอยู่ที่ รพ.ราชทัณฑ์ เขาพบเห็นผู้ต้องขังหลายคนต้องเข้า-ออก โรงพยาบาลนี้หลายครั้ง ผู้ต้องขังคนหนึ่งมีบาดแผลลึกที่หัวเข่า แต่ทางโรงพยาบาลก็ยังส่งตัวผู้ต้องขังกลับเรือนจำคลองเปรม จนอีก 5 วันต่อมา ผู้ต้องขังคนเดิมต้องกลับมาที่โรงพยาบาลอีก เนื่องจากบาดแผลฉีกขาด
สอดคล้องกับสิ่งที่แพทย์โรงพยาบาลราชทัณฑ์ที่ตรวจรักษาเอกชัย ให้ความเห็นกับเขา เชื่อว่าการติดเชื้อฝีในตับของเอกชัยมีสาเหตุมาจากสภาพความเป็นอยู่ที่ไม่ถูกสุขลักษณะของเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ
อีกทั้งเรือนจำยังมีการแพร่ระบาดของไข้หวัดใหญ่ และโรคติดต่อหลายอย่าง ดังนั้นเอกชัยจึงย้ำว่าเรือนจำไม่ใช่สถานที่ที่เหมาะสมสำหรับการพักฟื้นสำหรับผู้ป่วยอย่างเขา แต่ รพ.ราชทัณฑ์ยืนกรานจะส่งเขากลับเรือนจำให้ได้โดยเร็ว
เอกชัยเล่าอีกว่า เมื่อวันที่ 20 ต.ค. ที่ผ่านมา รพ.ราชทัณฑ์พยายามส่งตัวเขากลับเรือนจำกรุงเทพฯ ทั้งที่เอกชัยรับยาฆ่าเชื้อยังไม่ถึง 4 สัปดาห์ด้วยซ้ำไป เขาจึงโต้แย้งจนโรงพยาบาลนี้ยอมเลื่อนกำหนดการส่งกลับเป็นวันที่ 31 ต.ค. นี้
โรงพยาบาลตำรวจ จากวิกิพีเดีย
บันทึกของเอกชัย: ว่าด้วย “นักโทษ VIP”
15 ก.ย. ที่ผ่านมา ผมถูกส่งไป รพ.ราชวิถี เพื่อเจาะระบายหนองจากฝีในตับและได้นอนพักดูอาการอยู่ที่นั่นเป็นระยะเวลาหนึ่ง
วันหนึ่งมีคนมากระซิบให้ผมฟังถึงเรื่องของนักโทษ VIP ท่านหนึ่ง ที่ก่อนหน้านี้เขาถูกส่งเข้าเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ และเมื่อตรวจร่างกายที่สถานพยาบาลของแดน 7 โดยใช้เวลาเพียงไม่ถึงครึ่งชั่วโมง จากนั้นก็ถูกส่งไป รพ.ราชทัณฑ์ แล้ว
หลายคนอาจทราบข่าวจากสื่อมวลชนว่า ตอนนี้เขาพักในห้อง VIP ของ รพ.ตำรวจ ในห้องพักหรูคืนละประมาณ 5,000 บาท นอกจากห้องพักขนาดประมาณ 60 ตารางเมตร ที่มีเตียงคนไข้ ชุดโซฟารับแขก ชุดโต๊ะรับประทานอาหาร และโทรทัศน์แล้ว นักโทษ VIP คนนี้ไม่ได้ไว้ใจ รพ.ตำรวจ จนต้องให้คนรับใช้ของครอบครัวตัวเอง จำนวน 2 คน คอยอยู่รับใช้ในห้องพักตลอดเวลา ทั้งที่ร่างกายเขายังคงแข็งแรงดี
ส่วนอาหาร เขาก็ปฏิเสธที่จะไม่ทานอาหารของ รพ. โดยทุกวันจะมีอาหารจากที่บ้านมาเสิร์ฟถึงห้องพักทุกวัน เป็นจำนวน 3 มื้อด้วยกัน