ศาลอุทธรณ์ภาค 6 ให้ศาลชั้นต้นพิพากษาคดี “คาร์ม็อบกำแพงเพชร” ใหม่เป็นรอบที่ 2 หลังมีผู้พิพากษาลงชื่อเพียงคนเดียว ไม่ชอบด้วยกฎหมาย

27 พ.ย. 2566 ศาลจังหวัดกำแพงเพชรนัดฟังคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค 6 ในคดีของอภิสิทธิ์ พรมฤทธิ์ อดีตผู้สมัคร นายก อบจ. กำแพงเพชร ของคณะก้าวหน้า และปัจจุบันเป็นกรรมการบริหารพรรคก้าวไกล กรณีร่วมกิจกรรมคาร์ม็อบ #กำแพงเพชรจะไม่ทน เพื่อเรียกร้องให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันที่ 1 ส.ค. 2564  โดยถูกฟ้องในข้อหาฝ่าฝืนข้อกำหนดตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ, ฝ่าฝืนคำสั่งจังหวัดกำแพงเพชร และข้อหาไม่แจ้งการชุมนุมสาธารณะ ตาม พ.ร.บ.การชุมนุมฯ

แต่ศาลอุทธรณ์ภาค 6 ได้มีคำพิพากษาให้ศาลชั้นต้นจัดทำคำพิพากษาใหม่อีกครั้ง เนื่องจากมีผู้พิพากษาลงชื่อในคำพิพากษาเพียงคนเดียว ในคดีที่ลงโทษปรับเกิน 10,000 บาท คำพิพากษาจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย โดยเป็นครั้งที่สองแล้ว ที่ศาลอุทธรณ์ให้ศาลชั้นต้นพิพากษาใหม่

.

ศาลชั้นต้นพิพากษาคดีมาแล้วสองครั้ง ครั้งแรกยกฟ้อง ครั้งหลังเห็นว่าผิด

ในคดีนี้เดิมศาลจังหวัดกำแพงเพชรมีคำพิพากษายกฟ้องจำเลย โดยเห็นว่าการชุมนุมคาร์ม็อบตามฟ้อง ไม่ปรากฏเหตุรุนแรงหรือกระทบต่อความมั่นคงของรัฐ ความปลอดภัยในชีวิตหรือทรัพย์สินของรัฐหรือบุคคล และคำสั่งจังหวัดกำแพงเพชรที่ 1810/2564 ข้อที่ 20 ไม่มีสภาพบังคับเด็ดขาดว่าผู้ฝ่าฝืนจะมีความผิดตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ 

แต่หลังอัยการโจทก์ยื่นอุทธรณ์ เมื่อวันที่ 14 ก.พ. 2566  ศาลอุทธรณ์ภาค 6 เห็นว่าควรย้อนสำนวนให้ศาลชั้นต้นพิจารณาใหม่ เนื่องจากเห็นว่าข้อกำหนดตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ นั้นมีสภาพบังคับ แต่ศาลชั้นต้นไม่ได้วินิจฉัยว่าจำเลยมีความผิดฐานเป็นผู้จัดกิจกรรมที่มีการรวมกลุ่มกันเกินกว่า 100 คนหรือไม่ 

เดือนถัดมา 20 มี.ค. 2566 ศาลจังหวัดกำแพงเพชรอ่านคำพิพากษาเป็นครั้งที่ 2 วินิจฉัยว่าจำเลยมีความผิดในข้อหาฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ โดยเห็นว่าจำเลยใช้เฟซบุ๊กส่วนตัวในการประชาสัมพันธ์เชิญชวนประชาชนให้เข้าร่วมกิจกรรมนี้ และภายในกิจกรรมดังกล่าวไม่มีการจัดมาตรการตรวจวัดไข้ ไม่มีการเว้นระยะห่าง จึงทำให้เกิดความเสี่ยงต่อการแพร่เชื้อไวรัสโควิด-19 จึงเข้าข่ายเป็นผู้จัดกิจกรรมที่มีการรวมกลุ่มเกินกว่า 100 คน ขึ้นไป 

ศาลลงโทษจำคุก 3 เดือน ปรับ 30,000 บาท คำให้การของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุให้บรรเทาโทษ 1 ใน 3 คงเหลือโทษจำคุก 2 เดือน และปรับ 20,000 บาท ไม่ปรากฏว่าจำเลยเคยมีประวัติได้รับโทษจำคุกมาก่อน โทษจำคุกจึงให้รอลงอาญาไว้ 1 ปี

.

จำเลยอุทธรณ์คำพิพากษา โต้ไม่ใช่ผู้จัดการชุมนุม-ศาลชั้นต้นไม่พิจารณาลักษณะการชุมนุม 

ฝ่ายจำเลยได้ยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาเมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา โดยโต้แย้งในสามประเด็นว่า 

1. ตามข้อกำหนดต่าง ๆ ที่ออกตามความใน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ในช่วงดังกล่าว มิได้ให้นำ พ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะฯ มาบังคับโดยอนุโลมแต่อย่างใด จึงนำบทนิยาม บทความผิด หรือบทกำหนดโทษของผู้จัดการชุมนุมมาเทียบเคียงหรือปรับใช้ไม่ได้แต่อย่างใด ทั้งตาม พ.ร.บ.ชุมนุมสาธารณะ มาตรา 4 (6) ยังมิให้ใช้บังคับพระราชบัญญัตินี้ในระหว่างการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินแต่อย่างใด

2. การที่จะเป็นผู้จัดชุมนุมนั้น ต้องริเริ่มทำให้มีการชุมนุมเกิดขึ้น วางแผนกำหนดการ ขอใช้สถานที่ รวมถึงดูแลจัดการต่าง ๆ แต่ทางนำสืบของโจทก์ระบุได้เพียงว่า จำเลยได้โพสต์ข้อความเชิญชวนให้เข้าร่วมการชุมนุม เป็นผู้ขับรถออกไปเป็นคันแรก และกล่าวปราศรัยขอบคุณตอนท้าย มิได้มีพฤติการณ์อื่นที่เป็นการดูแลการชุมนุม และไม่แน่ชัดว่าการเข้าร่วมกิจกรรมของผู้ชุมนุมเกิดจากการโพสต์ของจำเลยหรือไม่ เนื่องจากผู้ประชาสัมพันธ์หลักคือเพจ “แนวร่วมคณะราษฎรกำแพงเพชร” ซึ่งไม่มีพยานหลักฐานว่าผู้ใดเป็นแอดมิน ตามบรรยายฟ้องของโจทก์ก็ไม่ได้ระบุว่าจำเลยเป็นผู้จัดการชุมนุมอย่างไร ซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งคดี

3. การเข้าร่วมชุมนุมของจำเลยจะพิจารณาว่าเป็นความผิดตามฟ้องได้หรือไม่ มีข้อสำคัญที่ต้องพิจารณาว่าการชุมนุมมีลักษณะเช่นใด และเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 หรือไม่ 

โดยปรากฏจากคำเบิกความของพยานโจทก์ว่าการชุมนุมคาร์ม็อบครั้งนี้ เป็นไปด้วยความสงบเรียบร้อย ผู้ชุมนุมส่วนมากสวมหน้ากากอนามัย และอยู่ในรถยนต์ กิจกรรมเกิดขึ้นในที่โล่งแจ้ง ไม่มีรายงานผู้ติดเชื้อโรคหลังการชุมนุม จึงมิใช่การชุมนุมหรือมั่วสุมอันเป็นการยุยงให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อย และยังไม่ถึงขนาดทำให้เกิดความเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของโควิด-2019 ตามความมุ่งหมายของการบังคับใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ

.

ศาลอุทธรณ์ภาค 6 ให้ศาลชั้นต้นพิพากษาใหม่อีก หลังมีผู้พิพากษาลงชื่อคำพิพากษาเพียงคนเดียว ขัดต่อกฎหมาย

วันนี้ เวลา 9.00 น. อภิสิทธิ์ พร้อมประชาชนที่เดินทางมาให้กำลังใจอีก 2 คน เดินทางมาศาล

เวลาประมาณ 9.23 น. ศาลจังหวัดกำแพงเพชรอ่านคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค 6 เห็นว่าคำพิพากษาของศาลชั้นต้นมีผู้พิพากษาลงชื่อเพียงคนเดียว ซึ่งผู้พิพากษาคนเดียวจะลงชื่อในคำพิพากษาที่ลงโทษปรับเกิน 10,000 บาทไม่ได้ ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 17 ประกอบมาตรา 25 (5) คำพิพากษาจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย 

แม้ไม่มีคู่ความยกอุทธรณ์ขึ้นมา แต่ศาลอุทธรณ์ภาค 6 สามารถยกประเด็นมาวินิจฉัยเองได้ จึงให้ศาลชั้นต้นจัดทำคำพิพากษาใหม่อีกครั้ง

จากนั้น ศาลจังหวัดกำแพงเพชรจึงกำหนดนัดฟังคำพิพากษาใหม่เป็นวันที่ 31 ม.ค. 2567 เวลา 9.30 น. โดยจะเป็นการอ่านคำพิพากษาของศาลชั้นต้นเป็นครั้งที่ 3 แล้ว

อภิสิทธิ์ เปิดเผยหลังฟังคำพิพากษาวันนี้ว่า เขายังงง ๆ ว่าเหตุใดผู้พิพากษาจึงลงชื่อไม่ครบในคำพิพากษา และคดีของเขาน่าจะเป็นคดีคาร์ม็อบคดีเดียวในประเทศ ที่ให้ศาลชั้นต้นพิพากษาถึง 3 ครั้ง ตอนนี้ก็ใช้ระยะเวลาต่อสู้ไปถึง 2 ปีกว่าแล้ว มีภาระในการเดินทางมาศาล และเหมือนต้องไปเริ่มกันใหม่อีก ทำให้อาจจะใช้เวลาไป 3-4 ปี หากศาลชั้นต้นยังเห็นว่าเขาผิดอีก ก็ต้องไปยื่นอุทธรณ์กันใหม่ แต่เขาก็พร้อมจะต่อสู้ไปให้ถึงที่สุด เพื่อยืนยันว่าเขาไม่ใช่ผู้จัดกิจกรรมดังกล่าวและไม่ได้มีความผิดแต่อย่างใด

.

ย้อนอ่านเรื่องราวของอภิสิทธิ์ และบันทึกการสืบพยานคดีนี้

“ถ้าไม่ทำวันนี้ ก็จะไม่มีวันข้างหน้า” คุยกับจำเลยคดีคาร์ม็อบกำแพงเพชร จากนักพัฒนาชุมชน ถึงคนทำงานการเมือง

ก่อนพิพากษาคดี “คาร์ม็อบกำแพงเพชร” : ไม่ใช่ผู้จัด-กิจกรรมไม่เสี่ยงแพร่โรค-การใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ สะท้อนปัญหาการใช่ กม. ของรัฐ

X