เปิดบันทึก ‘น้ำ’ วารุณี: “การที่เราอยู่ในที่แย่ที่สุด ไม่ได้แปลว่าเราต้องทุกข์ที่สุด”

‘น้ำ’ วารุณี ผู้ต้องขังคดีมาตรา 112 ที่ถูกศาลอาญาพิพากษาจำคุก 1 ปี 6 เดือน และไม่ได้รับการประกันตัวระหว่างอุทธรณ์คำพิพากษามาตั้งแต่วันที่ 28 มิ.ย. 2566 ได้เขียนบันทึกบอกเล่าการเดินทางที่เริ่มตกผลึกของความคิด ความฝัน และความรัก ตลอดเวลาเกือบ 5 เดือนที่ถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำ โดยเธออยากให้เรื่องราวของเธอเป็นกำลังใจให้กับคนข้างนอกและเพื่อนผู้ต้องขังคนอื่น ๆ  

——————–

บันทึก 9 พ.ย. 2566 

พรุ่งนี้ผลประกันตัวชั้นฎีกาคงจะออกตอนเย็น ๆ ตัวเรามีหน้าที่ไม่มากมาย แค่รอและรอ ถามว่าตั้งความหวังไว้ไหม ตอบตอนนี้คือไม่หวังเลย ถึงแม้มันจะเป็นการประกันตัวครั้งสุดท้ายก่อนเซ็นใบเด็ดขาด ความตื่นเต้น ความกดดัน หรือความกลัว มันไม่มีเลยสักนิด

ไม่เหมือนครั้งแรก ๆ ครั้งก่อน ๆ คงเป็นเพราะนี่เป็นการยื่นประกันครั้งที่ 9 ความกลัวที่จะผิดหวังมันหายไปหมด ตอนนี้เราเปลี่ยนความคิดไปค่อนข้างเยอะ อะไรที่เคยเป็นห่วง ตอนนี้เริ่มห่วงน้อยลง พยายามรักษาใจตัวเองให้มากขึ้น ก่อนเราเข้ามาติดเมื่อวันที่ 21 มิ.ย. 2566 เป็นวันครบ รอบ 1 ปีของเรากับแฟน จากนั้น 7 วันเราก็ติดคุก

ความรัก ความฝัน ความอบอุ่น ความใกล้ชิด ได้ถูกความอยุติธรรมกีดกันเราออกจากกัน ต้องบอกก่อนว่า ช่วงที่เราอยู่ข้างนอก เราตัวติดกับแฟนมาก ๆ อยู่ด้วยกันทุกวัน ตื่นก็เจอเขา ก่อนนอนก็เห็นเค้าเป็นคนสุดท้าย แต่มาตอนนี้แค่กอดเขาในฝันก็ทำเราร้องไห้หลังตื่นทุกครั้ง เราเหนื่อยกับความหวังลม ๆ แล้ง ๆ ของการประกันตัว แต่ที่ยังทำต่อจนถึงวันนี้ เพราะอยากไปเจอ ไปอยู่กับแฟนเรา เราพูดตรงนี้เลยว่าเราไม่ใช่คู่ที่เพอร์เฟค ทะเลาะกันอยู่บ่อยครั้ง การรักเขามันเหมือนเสพยา ยิ่งเสพยิ่งเมา เมามากก็ยิ่งเป็นอันตราย แต่ก็ขาดเขาไม่ได้ ความรักเราเป็นแบบนั้น 

4 เดือนผ่านไปอย่างเชื่องช้า ความเหงา ความว่างเปล่า ความเสียใจ ผ่านมาทักทายในทุก ๆ วัน เราคำนวณโอกาสที่จะเป็นไปได้มากที่สุดที่เราจะได้ออกเร็วที่สุด วันที่จะได้กลับไปสู่อ้อมกอดเขาอีกครั้ง ยังคงหวังว่าต้นกล้าของความรักที่กำลังเบ่งบานมันจะแข็งแรงพอ และสามารถรอถึงวันที่เราจะรดน้ำพรวนดินมันได้อีกครั้ง และมันจะกลายเป็นต้นรักที่เติบโตแข็งแรงออกดอกสวยงาม 

เพียงแต่ตอนนี้คำถามคือในเมื่อเราดูแลต้นรักเราไม่ได้ จะต้องทำยังไง นี่ไม่ใช่จดหมายรักหรือบทความโรแมนติก แต่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริง ไม่ใช่แค่กับเรา แต่กับผู้ต้องขังอีกหลายคนที่คงเจอปัญหาเดียวกันกับเรา นั่นคือกำแพงสูงนั้นกั้นเรากับคนรัก อย่างที่บอก เราพยายามประกันตัวอยู่หลายครั้ง จนลืมที่จะปรับตัวให้อยู่ให้ได้ในคุก เราเอาแต่กลัวว่าแฟนเราจะเปลี่ยนใจ เปลี่ยนไป หรือมีคนเข้ามาแย่งเขาไป ถึงแม้ตอนนี้ทุกอย่างจะเหมือนเดิม แต่ก็อดคิดไม่ได้ว่าเค้าจะหล่นหายไปในวันที่เราเป็นอิสระ

เรานอนคิดกี่คืนต่อกี่คืนก็หาทางออกให้ตัวเองไม่ได้ มีแต่ทุกข์ มีแต่น้ำตา ใจมีแต่ความทรมาน จนวันหนึ่งเราก็คิดได้ ไม่ใช่จู่ ๆ เราคิดได้เอง แต่เพราะเราทะเลาะกับแฟนและเขาหายไปกว่าสามสัปดาห์ มันทำให้ได้เรารู้ว่า เราอยู่ข้างใน เราทำอะไรไม่ได้เลยต่างหาก

3 สัปดาห์ที่มอบเวลาให้ทบทวนใหม่ เรากลับมาอยู่กับตัวเอง ตั้งสติอีกครั้ง เริ่มเรียนรู้ที่จะรักตัวเอง ใช่ มันไม่ง่าย ยิ่งอยู่ในคุกยิ่งไม่ง่าย เพียงแต่เราเองต้องเข้มแข็งอยู่เพื่อตัวเอง เพื่อถนอมใจตัวเองมองหาสิ่งเล็ก ๆ รอบตัวที่พอจะเป็นความสุขให้เราได้ เรียนรู้และปรับตัวอยู่ในคุกอย่างมีความสุข เริ่มรู้จักปล่อยวางมากขึ้นบอกตัวเองเสมอว่ามีวันติด ก็ต้องมีวันออก ให้อุปสรรคนี้ทดสอบความแข็งแรงของความรัก 

เราไม่รู้หรอกว่าในตอนสุดท้ายมันจะจบสวยงามเหมือนละครหลังข่าว หรือจะเสียใจจนน้ำตาท่วม แต่ไม่ว่ายังไง เรารักตัวเองมากพอและเราจะสมดุลชีวิตตัวเองได้ด้วยตัวเอง เราคิดว่านี่คือการมาทำอะไรใหม่ ๆ ที่ไม่เคยทำ

ตัดขาดจากโซเชียล เราอ่านหนังสือมากขึ้นด้วยซ้ำเมื่อปราศจากอินเทอร์เน็ต เราได้รับความรักมากขึ้นจากคนรอบข้างและคนอื่น ๆ ที่ติดตามข่าว เราอยากให้กำลังใจทุกคน การที่เราอยู่ในที่แย่ที่สุดไม่ได้แปลว่าเราต้องทุกข์ที่สุด ทุกอย่างอยู่ที่มุมมอง เราคิดว่าเราคงอยู่ไม่ได้ถ้าขาดแฟนเรา แต่ตอนนี้เรารู้แล้วเราเองคงอยู่ไม่ได้ถ้าเราไม่รักตัวเองให้มากพอต่างหาก

ขอให้ทุกคนที่ได้อ่านบทความของเรานี้เรียนรู้ที่จะรักตัวเองให้มาก แล้วเราจะรับมือกับทุกเรื่องที่เข้ามาได้อย่างกล้าหาญและไม่ขาดสติ เรารู้ว่าพูดง่ายแต่ทำยาก แต่เราเชื่อนะว่าทุกคนทำได้ 

เราไม่ได้เขียนบทความนี้จากหอคอยงาช้าง แต่เขียนมันจากในคุก พร้อมอาการป่วยไบโพลาร์ Type ll  ที่กัดกินเรามาร่วม 5 ปี ไม่ว่าตอนนี้พวกเธอจะเจอความทุกข์อะไรอยู่ ขอให้เธอบอกตัวเองเสมอว่าไม่นานจะผ่านไปได้ ให้รู้จักความทุกข์ซะบ้าง จะได้เห็นว่าความสุขหน้าตาเป็นยังไง

วารุณี

X