ศาลอาญาให้รอลงอาญา คดี ม.112 ของ “เวฟ” แชร์โพสต์วิจารณ์การผลิตวัคซีนของสยามไบโอไซน์ หลังให้การรับสารภาพ-ผลสืบเสาะพบความประพฤติดี

วันที่ 11 ต.ค. 2566 เวลา 09.00 น. ศาลอาญา รัชดาฯ นัดฟังคำพิพากษาคดีของ “เวฟ” (นามสมมติ) ประชาชนจากนนทบุรีวัย 30 ปี ที่ถูกฟ้องในข้อหา “หมิ่นประมาทกษัตริย์ฯ” ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14 (3) จากการแชร์และโพสต์ข้อความประกอบในเฟซบุ๊กเกี่ยวกับเรื่องการผลิตวัคซีนจากภาษีประชาชน ตั้งแต่ช่วงเดือนพ.ค. 2564

ศาลพิพากษาลงโทษจำคุกเวฟ 3 ปี ให้การรับสารภาพ จึงลดโทษเหลือจำคุก 1 ปี 6 เดือน และเมื่อพิจารณาพฤติการณ์จำเลยประกอบ จึงให้รอลงอาญาไว้ 2 ปี

เกี่ยวกับคดีนี้ นพดล พรหมภาสิต เลขาศูนย์ช่วยเหลือด้านกฎหมายผู้ถูกล่วงละเมิด bully ทางสังคมออนไลน์ (ศชอ.) เป็นผู้กล่าวหา โดยเดิมสำนวนคดีเป็นของ สน.บางพลัด แต่ถูกโอนย้ายมาที่ บก.ปอท. และเมื่อวันที่ 23 พ.ค. 2565 “เวฟ” ได้เดินทางเข้ารับทราบข้อกล่าวหาที่ บก.ปอท. พร้อมกับภรรยา แต่ไม่ได้มีทนายความไปด้วย เขาให้การปฏิเสธในชั้นสอบสวน และไม่ได้ถูกควบคุมตัวไว้

ต่อมาในวันที่ 13 มิ.ย. 2566 พนักงานอัยการสูงสุด สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญา 3 ได้มีคำสั่งฟ้องคดีโดยสรุป เมื่อวันที่ 12 พ.ค. 2564 จําเลยได้เผยแพร่ข้อมูลคอมพิวเตอร์ทางเว็บไซต์เฟซบุ๊ก โดยแชร์ภาพและช้อความเป็นสาธารณะ ปรากฏภาพของรัชกาลที่ 10 และมีข้อความในภาพระบุตั้งคำถามถึงการผลิตวัคซีนป้องกันโควิดของบริษัทสยามไบโอไซน์ ซึ่งข้อความดังกล่าวมีเจตนาทำลายสถาบันกษัตริย์ ไม่เคารพต่อพระมหากษัตริย์ ซึ่งอยู่ในฐานะที่ผู้ใดจะละเมิดไม่ได้  

หลังศาลอาญารับฟ้อง และอนุญาตให้ประกันโดยวางหลักทรัพย์เป็นจำนวนเงิน 90,000 บาท ในนัดถามคำให้การและตรวจพยานหลักฐานเมื่อเดือนสิงหาคม 2566 เวฟได้ตัดสินใจให้การรับสารภาพตามข้อกล่าวหา และศาลมีคำสั่งให้เจ้าหน้าที่คุมประพฤติสืบเสาะพฤติการณ์จำเลยเพิ่มเติม ประกอบการพิพากษา

วันนี้ (11 ต.ค. 2566) เวลา 10.00 น.  ที่ห้องพิจารณาคดี 704 ศาลนั่งพิจารณาคดี โดยเรียกให้จำเลยลุกขึ้นยืนรายงานตัวเอง ก่อนจะเริ่มอ่านรายงานการสืบเสาะจากพนักงานคุมประพฤติ โดยบรรยายพฤติการณ์ของจำเลยมีใจความสำคัญว่า จำเลยเป็นคนอารมณ์เย็น ปัจจุบันมีครอบครัวและอาศัยอยู่กับภรรยาในหมู่บ้านที่มีสภาพแวดล้อมไม่เอื้อต่อการประกอบอาชญากรรม จำเลยไม่ได้เป็นคนที่มีนิสัยลักขโมย หรือติดยาเสพติดใด ๆ อีกทั้งจำเลยยังแสดงความสำนึกผิดต่อการกระทำของตัวเอง ตลอดจนไม่เคยมีประวัติการก่ออาชญากรรมมาก่อน

เมื่ออ่านรายงานการสืบเสาะเสร็จ ศาลได้คำพิพากษาโดยสรุปว่า พิเคราะห์จากพยานหลักฐานของโจทก์ การกระทำของจำเลยเป็นการหมิ่นประมาทตามฟ้อง ทำให้กษัตริย์เสื่อมเสียพระเกียรติ ถูกดูหมิ่นเกลียดชัง และการกระทำของจำเลยเป็นการกระทำผิดกรรมเดียว แต่ผิดกฎหมายหลายบท พิพากษาให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 จำคุก 3 ปี ให้การรับสารภาพ มีเหตุบรรเทาโทษ จึงลดโทษกึ่งหนึ่ง เหลือจำคุก 1 ปี 6 เดือน 

เมื่อพิเคราะห์จากรายงานการสืบเสาะของพนักงานคุมประพฤติแล้ว พบว่าจำเลยเป็นบุคคลที่มีความสำนึกผิด เห็นว่าอยู่ในพิสัยที่จะสามารถปรับปรุงตัวเองให้กลับเป็นคนดีได้ สมควรให้โอกาสกลับตัวเป็นพลเมืองดีของสังคม โทษจำคุกจึงให้รอการลงโทษไว้ 2 ปี และให้จำเลยมารายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติ 4 ครั้ง ภายใน 1 ปี 6 เดือน ให้งานบริการสังคมเป็นเวลา 24 ชั่วโมง ภายใน 2 ปี

X