ยกฟ้อง! คดี พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ประชาชน 5 ราย เข้าร่วมให้กำลังใจ ‘เดฟ ชยพล’ หน้า สภ.คลองหลวง ศาลชี้ทั้ง 5 ไม่ใช่กลุ่มสร้างความวุ่นวาย – ไม่เสี่ยงแพร่โรค

วันที่ 5 ต.ค. 2566 เวลา 09.00 น. ศาลจังหวัดธัญบุรีมีคำพิพากษายกฟ้องในคดีของประชาชน 5 ราย ได้แก่ สุวรรณา ตาลเหล็ก, ณัฐพงศ์ คำจันทร์, ไพศาล จันปาน, อัรฟาน ดอเลาะ และ กิตติศักดิ์ กองเงินงาม ในข้อหาฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ หลังร่วมกิจกรรมชุมนุมให้กำลังใจ ‘เดฟ’ ชยพล ดโนทัย ที่เข้ารับทราบข้อกล่าวหาตาม ม.112 ที่หน้า สภ.คลองหลวง เมื่อวันที่ 15 ม.ค. 2564

ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 5 ก.พ. 2564  พนักงานสอบสวน สภ.คลองหลวง ออกหมายเรียกนักกิจกรรม และประชาชน รวม 22 คน เข้าไปรับทราบข้อกล่าวหาใน 2 เหตุการณ์ที่หน้า สภ.คลองหลวง  ได้แก่ กรณีจากการเรียกร้องให้ปล่อยตัว “นิว” สิริชัย นาถึง และกรณีให้กำลังใจ ‘เดฟ’ ชยพล ที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 14-15 ม.ค. 2564  

กรณีหลังนี้ ระหว่างกิจกรรม ยังมีกลุ่มผู้ชุมนุมได้นำผ้าสีแดงมีข้อความ “112” ชักขึ้นสู่ยอดเสาธงหน้าสถานี โดยในการแจ้งข้อหาของตำรวจได้แยกเป็น 3 คดี ได้แก่ คดีของแกนนำและนักศึกษารวม 9 คน ซึ่งถูกกล่าวหาหลายข้อหามากกว่า, คดีของประชาชนรวม 6 คน และคดีของเยาวชนอีก 1 คน 

ในส่วนคดีของประชาชน 6 คน  ในวันที่ 3 ก.พ. 2565 เจษฏา ทองแย้ม พนักงานอัยการจังหวัดธัญบุรี เป็นผู้ฟ้องว่าจำเลยได้ฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ  โดยเข้าร่วมกิจกรรมชุมนุม เมื่อวันที่ 15 ม.ค. 2564 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่อยู่ในระหว่างการประกาศถานการณ์ฉุกเฉินทั่วราชอาณาจักร จำเลยทั้งหมดได้ร่วมกันทำกิจกรรมชุมนุม มีการรวมคนเป็นจำนวนมากในสถานที่ที่มีความแออัด และเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของโรคโควิด – 19 บริเวณหน้า สภ.คลองหลวง 

หลังสั่งฟ้อง จำเลย 1 ราย ได้ให้การรับสารภาพตามฟ้อง ศาลพิพากษาให้ลงโทษปรับ 10,000 บาท ส่วนจำเลยอีก 5 ราย ให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา และยืนยันสู้คดีถึงที่สุด ทำให้อัยการต้องฟ้องเข้ามาเป็นคดีใหม่ และศาลได้นัดสืบพยานทั้งหมด 4 นัด เมื่อช่วงเดือนกรกฎาคม 2566 

.

วันนี้ (5 ต.ค. 2566) ที่ห้องพิจารณาคดีที่ 8 เวลา 09.10 น. จำเลยทั้ง 5 คน ได้ทยอยเดินทางมาพร้อมกัน โดยเจ้าหน้าที่หน้าบัลลังก์ได้ขอให้จำเลยทั้งหมดเข้าไปนั่งรอที่ภายในคอกพยาน โดยมีเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์เดินมาพร้อมกับกุญแจมือจำนวน 5 อันรออยู่แล้ว

เวลา 09.15 น. ศาลเรียกให้จำเลยทั้ง 5 คน ลุกขึ้นรายงานตัว และเริ่มอ่านคำพิพากษา โดยสรุปความได้ว่าพิเคราะห์จากข้อเท็จจริงทั้งหมด รับฟังได้ว่าในขณะเกิดเหตุของคดีนี้ได้มีการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในทุกเขตท้องที่ทั่วราชอาณาจักร และอยู่ในระหว่างที่หัวหน้าผู้รับผิดชอบในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินในส่วนที่เกี่ยวกับความมั่นคง ซึ่งได้มีคำสั่งห้ามการชุมนุม ทำกิจกรรม และมั่วสุมกันในพื้นที่แออัด ตามข้อกำหนดออกตามความในมาตรา 9 แห่ง พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ข้อ 5 ซึ่งห้ามมิให้มีการชุมนุม ทำกิจกรรม หรือมั่วสุมกัน ณ ที่ใด ๆ ในสถานที่แออัดหรือกระทำการดังกล่าว อันเป็นการยุยงให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อย 

พิเคราะห์จากพยานหลักฐานทั้งหมดแล้ว เห็นว่าเมื่อวันที่ 15 ม.ค. 2564 พยานโจทก์เบิกความไปในทำนองเดียวกันว่าจำเลยทั้ง 5 ราย อยู่ในพื้นที่ชุมนุมจริง และตามพยานหลักฐานภาพถ่ายก็ได้ทำให้เห็นว่าจำเลยทั้ง 5 ราย ได้เข้าร่วมกิจกรรมที่บริเวณหน้า สภ.คลองหลวง จริง 

ทั้งนี้ มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยว่าจำเลยทั้งหมดได้กระทำผิดตามฟ้องหรือไม่ โดยจำเลยที่ 1 เมื่อพิจารณาจากพยานหลักฐานแล้ว แม้จำเลยจะทำกิจกรรมนำผ้าที่มีข้อความว่า 112 ไปผูกไว้บริเวณเสาธง แต่ก็ปรากฏว่าในบริเวณที่จำเลยที่ 1 (ณัฐพงษ์) ยืนอยู่ ไม่ได้มีความใกล้ชิดหรืออยู่ในพื้นที่ที่แออัดแต่อย่างใด 

และแม้พยานหลักฐานจะชี้ให้เห็นว่าจำเลยที่ 2 (อัรฟาน) ปะปนอยู่กับฝูงชน ทำหน้าที่เป็นการ์ดปกป้องผู้เข้าร่วมกิจกรรม แต่ก็พบว่าจำเลยได้สวมหน้ากากอนามัยป้องกันตนเอง ส่วนจำเลยที่ 3 (กิตติศักดิ์) พบว่านั่งอยู่ในบริเวณหน้าสถานีตำรวจ แต่ไม่ได้มีการเข้าใกล้ชิด หรืออยู่ในพื้นที่แออัดเสี่ยงต่อโรค 

ทั้งพยานหลักฐานก็ได้แสดงให้เห็นว่าจำเลยที่ 4 (ไพศาล) ก็ยืนเพียงคนเดียวที่บริเวณหน้า สภ.คลองหลวง ไม่ได้มีพฤติการณ์ที่จะแพร่เชื้อโรค และใส่หน้ากากอนามัยมิดชิด ส่วนจำเลยที่ 5 (สุวรรณา) ได้ความว่าเข้าไปถ่ายคลิปถ่ายทอดสดบริเวณพื้นที่การชุมนุม โดยมีการใส่หน้ากากอนามัย และยืนอยู่ห่างจากวงของผู้ชุมนุม ไม่ได้มีการใกล้ชิดกับผู้ใด 

แม้พยานโจทก์จะพยายามนำสืบให้เห็นว่า การชุมนุมในวันดังกล่าวมีการปะทะกับกลุ่มเจ้าหน้าที่ตำรวจที่อยู่ล้อมอยู่รอบบริเวณ สภ.คลองหลวง และพยายามนำสืบให้เห็นว่ากลุ่มผู้ชุมนุมตั้งใจยุยงปลุกปั่น สร้างความวุ่นวายในบริเวณสถานีตำรวจ แต่โจทก์ไม่ได้มีพยานหลักฐานที่มีน้ำหนักเพียงพอจะบอกได้ว่าจำเลยทั้ง 5 ราย เกี่ยวข้องกับกลุ่มผู้ชุมนุมที่สร้างความวุ่นวายอย่างไร ยกผลประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลย พิพากษายกฟ้อง

อย่างไรก็ตาม ภายหลังการอ่านคำพิพากษา ศาลได้กล่าวกับจำเลยทั้ง 5 คน ว่าคดีนี้ยังเป็นเพียงการพิพากษาในศาลชั้นต้นเท่านั้น โดยยังไม่ทราบว่าอัยการจะอุทธรณ์ต่อหรือไม่ หากมีอุทธรณ์จำเลยก็ต้องไปสู้กันต่อ ทั้งนี้จำเลยทั้งหมดได้ยืนยันต่อสู้จนถึงที่สุด

X