บันทึกเยี่ยม “เก็ท” : ข้างในนี้เขาให้เราเบิกยาพารากันได้คนละ 1 เม็ด

เมื่อวันที่ 28 ก.ย. 2566 ทนายความได้เข้าเยี่ยม “เก็ท” โสภณ สุรฤทธิ์ธำรง สมาชิกกลุ่มโมกหลวงริมน้ำ ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ หลังศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาในคดีมาตรา 112 ลงโทษจำคุก 3 ปี และลงโทษในข้อหาใช้เครื่องขยายเสียงโดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุก 6 เดือน ซึ่งเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด จากกรณีการปราศรัยในกิจกรรม #ทัวร์มูล่าผัว ที่บริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เมื่อวันที่ 22 เม.ย. 2565  ปัจจุบันเก็ทถูกคุมขังมาแล้ว 37 วัน

 ทนายเปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 27 ก.ย. 2566 เก็ทถูกเบิกตัวไปศาล จึงทำให้วันนี้ต้องเยี่ยมผ่านกล้อง เนื่องจากเก็ทต้องกักตัว แต่กล้องที่เรือนจำก็มีปัญหาทำให้เก็ทไม่สามารถมองเห็นทนายผ่านการวีดิโอคอลได้ จึงทำได้เพียงพูดคุยกันผ่านโทรศัพท์

แต่ถึงอย่างนั้น เก็ทก็ยังคงทักทายกับทนายที่เข้าเยี่ยมเขาในวันนี้ด้วยเสียงสดใส ตลอดการสนทนามีเสียงหัวเราะออกมา ทำให้ทนายเห็นว่าเขายังคงผ่อนคลายได้อยู่บ้าง

ฝากถึงบิ๊กโจ๊ก

เก็ทเล่าว่าช่วงนี้ในห้องนอนของเขา ผู้คุมเปิดทีวีให้ดูรายการข่าว การเมืองและข่าววงการตำรวจ ทำให้เขาพอได้อัปเดตสถานการณ์ต่าง ๆ อยู่บ้าง โดยเฉพาะเรื่องของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล หรือบิ๊กโจ๊ก หนึ่งในแคนดิเดตผู้บังคับบัญชาการตำรวจคนใหม่ที่กำลังตกอยู่ในความสนใจของสังคมในช่วงนี้ ซึ่งภายหลังได้ถูกออกหมายค้นหลังถูกกล่าวหาว่ามีเอี่ยวกับเว็บพนัน 

เก็ทอยากให้ทนายฝากเผยแพร่ข้อความถึงเรื่องบิ๊กโจ๊ก โดยเขาได้พูดว่า “คุณเห็นได้ปัญหาใน สตช. แล้ว คุณไม่จำเป็นต้องออกมาขู่ว่าจะเปิดเผยหรือไม่ เมื่อคุณเห็นปัญหาก็ควรรีบแก้ไข เพราะนี่เป็นองค์กรที่คุณอยู่ เป็นเหมือนบ้านของคุณ ถ้าปัญหานั้นมันทำให้คุณเห็นว่าจะทำให้องค์กรเสื่อมเสียม คุณก็แก้ไขมันสิ ถึงจะเรียกได้ว่าเป็นผู้นำที่ดีได้”

“สิ่งที่คุณทำตอนนี้ มันบ่งบอกตัวตนคุณว่า คุณเป็นแค่บิ๊ก ที่ไม่ได้แปลว่าผู้นำ แต่เป็นเพียงผู้ที่มีอิทธิพล จะให้เรียกว่าข้าราชการที่ดีก็เรียกไม่ได้ เพราะบิ๊กที่คุณเป็นมันคือการมีอิทธิพล จนไม่รู้เลยว่านี่คือตำรวจหรือมาเฟีย”

ถูกพาออกไปศาลโดยที่ไม่รู้ว่าต้องไปทำอะไร

เก็ทได้เล่าถึงเหตุการณ์เมื่อวันที่ 27 ก.ย. 2566 เขามีปากเสียงกับผู้ช่วยผู้คุมแดน 7 “เพราะผมไปถามเขาว่าจะพาผมไปศาลไหน ไปทำอะไร เขาก็ตอบว่าไม่ทราบ” เก็ทบอกว่าเขาไม่รู้ว่าตัวเองต้องไปศาล กว่าจะรู้ก็เป็นเช้าวันนั้นแล้ว ยิ่งพอถามย้ำก็ไม่ได้รับคำตอบอย่างชัดเจนจากเจ้าหน้าที่ มีเพียงความว่างเปล่าที่ตอบกลับมา จนทำให้เก็ทต้องต่อรองด้วยเรื่องสิทธิที่พึงมีของผู้ต้องขังอย่างเขา

“ผมยืนยันว่าถ้าทนายไม่รู้ว่าผมจะไปศาล ผมก็จะไม่มีทนายซึ่งมันทำให้ผมเสียสิทธิ เขามาทำหน้าที่ดูแลการออกแดน เรื่องนี้เขาต้องรู้ ถ้าไม่บอก ผมก็จะไม่พิมพ์ลายนิ้วมือ ไม่ใส่ตรวน และจะไม่ยอมไปไหนด้วย” เก็ทบอกเพียงเท่านั้นก่อนจะได้รับคำตอบเพิ่มทีละนิดว่าเขาจะถูกนำตัวไปศาลอาญา แต่ก็ไม่ได้ให้รายละเอียดที่มากไปกว่านั้น

เก็ทบอกกับทนายว่าตอนนั้นเขาไม่รู้จะทำอย่างไร จึงไปถามกับผู้คุมแทน แต่เขาไม่ทราบชื่อผู้คุมคนดังกล่าวเนื่องจากเจ้าหน้าที่คนนั้นเอาป้ายชื่อและตำแหน่งตัวเองออกไป

“ผมมาถึงศาลอาญา เขาเอาตัวเข้าไปในห้องเวรชี้ แต่เขาไม่ได้บอกทนายในคดีนี้ของผมว่าจะพาผมไปที่ห้องพิจารณาไหน ทนายต้องเดินหาเอง จนกระทั่งศาลเข้ามาในห้องแล้ว ผมก็ยังไม่มีทนาย ศาลจึงถามว่าผมจะถอนประกันตัวเองใช่หรือไม่ ผมก็ตอบว่าใช่ ศาลไม่ซักถามเหตุผลอื่นกับเราเลย บอกเพียงแค่ว่าเขาอนุญาต แล้วก็เดินออกจากห้องพิจารณาไป” เก็ทบอกว่าเมื่อไม่มีทนาย ขั้นตอนทุกอย่างที่เกิดขึ้นจึงเสร็จสิ้นเร็วมากภายในไม่กี่วินาที

 แต่เขารู้สึกว่าการทำแบบนี้เป็นการเสียเวลา เพราะเรื่องแค่นี้ไม่เห็นจำเป็นจะต้องเบิกตัวเขามาศาล เพื่อจะถามอะไรสั้นๆ เก็ทบ่นให้ทนายที่เข้าเยี่ยมฟังว่าถ้าจะถามแค่นี้ศาลวีดิโอคอล หรือออนไลน์มาก็ได้ เพราะมันทำให้เขาลำบากมากในฐานะผู้ต้องขังที่ต้องมาใส่ตรวน กุญแจมือ และพอกลับเข้าไปในเรือนจำก็ต้องถูกกักตัวอีกตั้ง 5 วัน ทำให้ญาติและเพื่อน ๆ ไม่สามารถเข้าเยี่ยมเขาได้ระหว่างแต่ละรอบที่ถูกกักตัว

นอกจากนี้ เก็ทยังได้เล่าเรื่องของนารา เครปกะเทยให้ฟังอีกว่า “เรื่องนาราแย่มาก เขาต้องออกไปศาลเพราะศาลจำวันนัดสืบพยานผิด สรุปนาราออกไปโดยไม่ได้ไปทำอะไรเลย แล้วก็ต้องกลับมากักตัวใหม่เหมือนกัน วันนั้นมีเพียงเสมียนศาลที่ส่งข้าวมาแทนคำขอโทษ”

เมื่อทนายถามว่าการกักตัวของผู้ต้องขังมันเป็นอย่างไร ทำไมเก็ทถึงได้ดูวุ่นวายใจแบบนี้ เก็ทบอกว่าแดนในเรือนจำที่กักตัวได้มี แดน 2, 4, 5 และ 8 ซึ่งเขาโชคดีที่ตัวเองได้อยู่แดน 4 อยู่แล้ว มันคือการกักตัวในแดนนั้น ๆ แต่จะเยี่ยมญาติไม่ได้ 5 วัน แต่การใช้ชีวิตข้างในก็ปกติเหมือนเดิม นอนกับผู้ต้องขังคนอื่น ๆ และกินข้าวในโรงเลี้ยงเหมือนปกติ 

“แต่มันเป็นเรื่องน่าแปลกประหลาดที่การกักตัวไม่รู้จะต้องทำไปเพื่ออะไร สิ่งเดียวที่ชัดเจนเลยคือทำให้ผู้ต้องขังไม่สามารถเยี่ยมญาติได้ แค่นั้นเลย”

การถอนประกันตัวเอง เพื่อยืนยันเรียกร้องสิทธิการประกันตัวให้ผู้ต้องขังคดีการเมือง

เก็ทบอกว่าที่เขาไปขอให้ทนายยื่นคำร้องขอถอนประกันตัวเองไว้ เพราะมันคือการดันข้อเรียกร้องกับศาล เรียกร้องสิทธิการประกันตัว ถึงเขาได้ออกไป แต่มันก็จะมีคนอื่น ๆ ที่ต้องเข้ามาอีก “อย่างคดีทะลุแก๊ส แม้ว่าคดีมันจะหนัก แต่รูปคดีมันชี้ไม่ได้ว่าใครเป็นคนทำ คนที่อยู่ในนี้ก็แค่ไปอยู่ในพื้นที่ชุมนุม บางคนไม่ได้เผา บางคนก็แค่ถือธงในม็อบเท่านั้น แต่กลับถูกบอกว่าเป็นคนทำร้ายเจ้าหน้าที่ แต่จริง ๆ มันไม่ใช่แบบที่ถูกกล่าวหาเลย”

“ผมอยากให้คนอื่น ๆ ได้ประกันตัวก่อน เพราะสำหรับเราที่อยู่ข้างใน เรายังยืนยันเรื่องการนิรโทษกรรมคดีการเมือง ที่ไม่ใช่คดีละเมิดหรือสาหัสถึงชีวิต” เก็ททิ้งท้ายเรื่องการประกันตัวไว้เท่านี้ 

การรักษาพยาบาลด้วยยาพาราคนละ 1 เม็ด

นอกจากนี้เก็ทยังได้เล่าปัญหาสิทธิการรักษาพยาบาลของผู้ต้องขังในเรือนจำ โดยเขาบอกว่าในเรือนจำมีการติดเอกสารเกี่ยวกับสิทธิการรักษาพยาบาลไว้ก็จริง แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนที่จะได้รับการรักษาอย่างเท่าเทียมกัน “ดูอย่างทักษิณ กำนันนก มันไม่ได้กันทุกคน มันดีกับแค่บางคน คนที่เป็นที่สนใจในข่าว เขาก็เกรงใจ เพราะกลัวออกไปกันแล้วจะพูดไม่ดีถึงเรือนจำ” เก็ทสาธยายความไม่เท่าเทียมที่เขาได้เผชิญในคุกถึงสิทธิเข้าถึงการรักษาพยาบาลที่ติดอยู่บนฝาผนังพผังยาวเหยียด แต่สุดท้ายมีคนเพียงหยิบมือหนึ่งเท่านั้นที่ได้เข้าถึงสิทธิที่ว่าจริง ๆ 

“ช่วงนี้อากาศเปลี่ยน ผมก็ไอ ๆ นิดหน่อย ก็ได้ยาพารา ข้างในนี้เขาให้เราเบิกยาพารากันได้คนละ 1 เม็ด ไปหาหมอก็ไม่ได้อะไร เพื่อนผมเคยไปก็ได้มะแว้งมากินแก้เจ็บคอ ยาพาราวันละเม็ดแบบนี้มันไม่ครบโดส”

“เรื่องการตรวจโรค คนไข้บางคนเขาแยกอาการตรวจเองไม่ออก บางคนเป็นไข้ บางคนปวดหัว ปวดตัว กังวล เครียดน นอนไม่หลับ คนที่มาตรวจก็ไม่มีความรู้ เพราะเขาใช้ผู้ต้องขังมาตรวจกันเอง” เก็ทบอกว่าเขาไม่ได้ดูเบาผู้ต้องขังที่มาช่วยกันตรวจรักษา เพราะจริง ๆ ในเรือนจำก็มีการอบรมผู้ต้องขังให้ช่วยเหลือกันเองยามที่มีการเจ็บไข้ แต่เก็ทเห็นว่ามันไม่มีประสิทธิภาพ เพราะทุกวันนี้คนยังตรวจกันผิด ๆ ถูก ๆ อยู่เลย

“ถึงจะมีหมอกับพยาบาลมาตรวจสุขภาพ แต่เขาไม่ได้มากันทุกวัน มาแค่วันจันทร์ พุธ และศุกร์ และถ้าจะเข้าพบก็ต้องลงชื่อก่อนด้วย และไม่ใช่ลงชื่อแล้วจะได้ตรวจเลย ถ้าเราลงชื่อวันจันทร์สัปดาห์นี้ เราจะได้ตรวจอีกทีวันจันทร์ในสัปดาห์หน้า” เก็ทบอกว่าการตรวจพยาบาลของผู้ต้องขังเป็นการต่อคิวที่มีความยาวนานถึง 7 วัน เพราะมีหมอเพียงคนเดียว และเผลอ ๆ หมอคนนี้อาจจะต้องดูทั้งเรือนจำ แต่แค่แดน 4 ก็มีผู้ต้องขังเกือบ 600 คนแล้ว 

“พอมันมีหมอคนเดียว ก็ดูได้แค่อาการคร่าว ๆ แถมพอจะให้ยาก็ไม่มียาอีก ต้องไปรอเบิก ปัญหาพวกนี้มันว่าหมอหรือบุคลากรไม่ได้ มันเป็นปัญหาระดับการบริหารที่ทำให้บุคลากรเหล่านี้ทำงานกันไม่ได้ คนทำงานมันน้อยเกินไป ยาก็ไม่มี โรงพยาบาลราชทัณฑ์ก็อาจจะดีกว่าในเรือนจำ แต่มันก็ควรจะเพียงพอทั้งยา และทั้งเจ้าหน้าที่”

ทั้งนี้ ในคดีมาตรา 112 อีกคดีของศาลอาญาธนบุรีที่เก็ทเป็น 1 ในจำเลย เก็ทได้แถลงขอถอนทนายและปฏิเสธอำนาจศาล เพื่อเป็นการประท้วงและเรียกร้องให้มีการคืนสิทธิประกันแก่ผู้ต้องขังคดีทางการเมือง รวมถึงยุติการดำเนินคดีมาตรา 112 ทั้งหมด โดยคดีนี้ยังอยู่ระหว่างการสืบพยานไปจนถึงเดือน พ.ย. 2566 

X