เมื่อวันที่ 21 ก.ย. 2566 ทนายความได้เข้าเยี่ยม “เก็ท” โสภณ สุรฤทธิ์ธำรง สมาชิกกลุ่มโมกหลวงริมน้ำ ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ หลังศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาในคดีมาตรา 112 ลงโทษจำคุก 3 ปี และลงโทษในข้อหาใช้เครื่องขยายเสียงโดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุก 6 เดือน ซึ่งเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด จากกรณีการปราศรัยในกิจกรรม #ทัวร์มูล่าผัว ที่บริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เมื่อวันที่ 22 เม.ย. 2565 ปัจจุบันเก็ทถูกคุมขังมาเกือบ 1 เดือนแล้ว
เมื่อเก็ทเจอทนาย เขาไม่รีรอจะเล่าเรื่องของ ‘นารา เครปกะเทย’ ให้กับทนายฟังว่า ตอนนี้เขากับนาราอยู่ห้องขังเดียวกัน นาราเล่าให้เก็ทฟังว่า เธอถูกอัยการกดดันให้รับสารภาพในคดีมาตร 112 เพื่อจะได้ลดโทษ หรือศาลอาจพิจารณาให้รอลงอาญาไว้
“ผมอยากให้คนไปให้กำลังใจนารา เข้าใจว่าเขาอาจจะมีคดีส่วนตัวพร้อมชื่อเสียงที่ไม่ดี แต่สุดท้ายแล้วมันก็ไม่ควรมีใครต้องมาโดน ม.112”
ส่วนเรื่องความกระทบกระทั่งระหว่างผู้ต้องขังเรื่องที่เก็ทไม่ยืนเคารพเพลงสรรเสริญ และที่มีความกดดันจากเจ้าหน้าที่ให้เขาต้องยืน สุดท้ายก็พบว่าไม่มีการลงโทษใด ๆ เกิดขึ้น และไม่มีการตะโกนด่าตอนที่เขาไม่ยืนแล้วด้วย แต่เก็ทไม่อยู่เฉย เขาได้พยายามอธิบายเรื่องนี้ให้กับผู้ต้องขังคนอื่นได้รับฟัง เพราะจริง ๆ เวลาเพลงชาติขึ้นก็ไม่มีใครจะหยุดยืนกันเลยด้วยซ้ำ เพลงสรรเสริญก็ไม่ต่างกัน
นอกจากนี้ เก็ทได้ตั้งคำถามถึงสถาบันกษัตริย์ที่ยังคงนิ่งเฉยมาก ๆ กับการที่มีประชาชนโดนดำเนินคดีมาตรา 112 “ผมยินดีจะโค้งให้กับสถาบันกษัตริย์งาม ๆ เลย ถ้าเขาเทคแอคชั่นบางอย่างเพื่อหยุดสิ่งเหล่านี้”
สุดท้ายเก็ทได้บอกกับทนายว่า เขายังสบายดี และยังคงมีกำลังใจอยู่ “ผมยังพยายามต่อสู้ทางความคิด และเผยแพร่ความคิดให้กับคนข้างในอยู่เสมอ”
ทั้งนี้ ในคดีมาตรา 112 อีกคดีของศาลอาญาธนบุรีที่เก็ทเป็น 1 ในจำเลย เก็ทยังได้แถลงขอถอนทนายและปฏิเสธอำนาจศาล เพื่อเป็นการประท้วงและเรียกร้องให้มีการคืนสิทธิประกันแก่ผู้ต้องขังคดีทางการเมือง รวมถึงยุติการดำเนินคดีมาตรา 112 ทั้งหมด โดยคดีนี้ยังอยู่ระหว่างการสืบพยานไปจนถึงเดือน พ.ย. 2566