ยิ่งปิดปาก คนยิ่งอยากพูด ‘วารุณี’ ถูกขัง 3 เดือน – อดอาหารกว่า 1 เดือน ยังไม่เข้าใจเหตุที่ไม่ได้ประกัน แต่ยังสู้ต่อ

เมื่อวันที่ 26 และ 27 ก.ย. 2566 ทนายความเดินทางไปที่ทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์เพื่อเข้าเยี่ยม “น้ำ” วารุณี (สงวนนามสกุล) ชาวพิษณุโลกวัย 30 ปี และผู้ต้องขังระหว่างต่อสู้คดี ในคดีมาตรา 112 กรณีโพสต์เฟซบุ๊กเป็นภาพรัชกาลที่ 10 ขณะเปลี่ยนเครื่องทรง “พระแก้วมรกต” เป็นชุดกระโปรงยาวสีม่วงจากแบรนด์ Sirivannavari และใส่ภาพสุนัข หลังศาลอาญาพิพากษาจำคุก 3 ปี ลดโทษเหลือ 1 ปี 6 เดือน และไม่ได้รับอนุญาตให้ประกันตลอดมา 

วันที่ทนายเข้าเยี่ยมนี้นับเป็นการอดอาหารประท้วงวันที่ 36 และ 37 ของวารุณี การแสดงออกดังกล่าวดำเนินมาตั้งแต่เวลาประมาณเที่ยงของวันที่ 21 ส.ค. 2566 มีจุดประสงค์เพื่อเรียกร้องสิทธิประกันตัวและประท้วงต่อศาลที่มีคำสั่งไม่ให้ประกันตัวเรื่อยมา โดยได้ถูกยกระดับเป็นการจำกัดการดื่มน้ำร่วมด้วย มาตั้งแต่วันที่ 24 ส.ค. เป็นต้นมา โดยจะดื่มน้ำเฉพาะเวลารับประทานยาเท่านั้น

โดยช่วงหนึ่ง ระหว่างวันที่ 14 – 21 ก.ย. วารุณียอมทานข้าวต้มครั้งละ 10 ช้อน วันละ 3 เวลา ตามคำแนะนำของแพทย์ เพื่อจะได้รับประทานยารักษาอาการติดเชื้อแบคทีเรีย และเริ่มกลับมาอดอาหารประท้วงโดยสมบูรณ์อีกครั้งตั้งแต่วันที่ 22 ก.ย. เป็นต้นมา

26 ก.ย. 2566

พ่อของวารุณีเข้าเยี่ยมเธอผ่านระบบไลน์ในช่วงเช้า “เขาไม่ได้พูดอะไรมาก แค่บอกว่าเดี๋ยวก็ได้ออกแล้ว เพราะไปดูดวงมา (หัวเราะ) ก็รู้สึกดีขึ้นค่ะ”

อาการของวารุณียังทรงตัว คือ รู้สึกปวดท้องมากจนต้องพยายามนอนอย่างเดียว หูอื้อ กระหายน้ำ และรู้สึกว่าน้ำลายในปากมีรสขมผิดปกติ

เราเล่าว่า วันนี้ทนายอานนท์ นำภา ถูกตัดสินให้จำคุกในคดี 112 เป็นเวลา 4 ปี และหลังจากนี้ก็น่าจะมีคดี 112 ทยอยตัดสินอีกหลายคดี ซึ่งแนวโน้มส่วนใหญ่ศาลอาญามักจะส่งให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาสั่งให้ประกัน และศาลอุทธรณ์ก็มักจะไม่ให้ประกันตัว เล่าถึงตรงนี้น้ำโกรธจนคิ้วขมวด เธอฝากให้กำลังใจทนายอานนท์ และพูดต่อว่า

“ยิ่งปิดปาก คนก็ยิ่งอยากพูด ยิ่งใช้กฎหมายนี้มากเท่าไหร่ สถาบันฯ ก็ยิ่งดูแย่

“สถานการณ์บ้านเมืองตอนนี้มันไม่ดีจริง ๆ แหละ เวลาทนายมาช้า เพื่อนเตียงข้าง ๆ จะถามว่า ‘ทนายโดนอุ้มไปรึเปล่า’ ขนาดคนที่ไม่ได้สนใจการเมืองยังคิดแบบนั้น พ่อน้ำเองก็กังวลว่าถ้าเรื่องของน้ำเงียบไป ไม่มีคนสนใจแล้ว น้ำจะถูกอุ้มหาย หรือจะถูกทำร้ายร่างกายมั้ย”

น้ำเล่าย้อนถึงเหตุการณ์ถูกตำรวจบุกจับกุมถึงบ้านที่พิษณุโลกเมื่อปี 2564 ว่า “ตอนโดนจับที่พิษณุโลก ตำรวจ 10 คน มาที่บ้านตอน 7 โมงเช้า ไม่มีหมายเรียกมาก่อน มีแค่หมายจับ เขาอ้างว่าโทษสูงเกิน 3 ปี ออกหมายจับได้เลย ไม่ต้องใช้หมายเรียกก่อน แล้วก็เข้ามาค้นบ้าน ยึดโทรศัพท์ ทุกคนงงมาก น้ำต้องยืมโทรศัพท์ตำรวจโทรหาน้องสาวให้ติดต่อเพื่อนกับทนายให้

“น้ำเปิดร้านชาบูที่พิษณุโลก ตำรวจคนหนึ่งมาพูดกับน้ำว่า ‘สุกี้น้องอร่อยนะ’ เราก็คิดในใจว่า นี่เขาแฝงตัวมากินอาหารร้านน้ำด้วยเหรอ

“ตำรวจนอกเครื่องแบบมาตามดูน้ำที่หมู่บ้านที่พิษณุโลกหลายรอบ จนเจ้าของหมู่บ้านถามว่า ‘เขามาด้อม ๆ มอง ๆ ที่นี่ทำไม’ เขาก็บอกว่า ‘เป็นตำรวจนอกเครื่องแบบ มาดูน้ำ, น้ำไปไหน, ไม่เห็นออกจากบ้านหลายวันแล้ว’ แต่พอรู้ว่าน้ำย้ายมาอยู่กรุงเทพฯ แล้ว ตำรวจก็ยังตามมาดูที่คอนโดในกรุงเทพฯ ต่ออีก

“เรารู้สึกว่า ‘มันต้องคุกคามกันขนาดนี้เลยเหรอ’ ทำไมตำรวจทำเหมือนเราเป็น ‘โจร’ อะ รูปรูปเดียวมันทำให้ชาติสั่นคลอนได้เลยเหรอ ทำไมตำรวจไม่เอาเวลาที่ตามดูน้ำไปทำอย่างอื่น”

จะครบ 3 เดือน ที่น้ำถูกขังแล้ว น้ำบอกว่าจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่เข้าใจเหตุผลที่ต้องถูกคุมขังอยู่ในนี้เลย

27 ก.ย. 2566

น้ำออกมารอเราพร้อมกับจดหมาย 2 ฉบับ ที่เธอเขียนด้วยลายมือตัวเอง เธอบอกว่าอยากส่งออกไปข้างนอก แต่เจ้าหน้าที่ไม่ให้ส่ง น้ำเลยอ่านให้เราฟังเพื่อคัดลอกออกไปเผยแพร่แทน

ถึง ผู้คนข้างนอก

ตอนนี้อาการเราทรงตัว พรุ่งนี้จะมีตรวจเลือดอีกครั้ง เราเจาะน้ำตาลทุกวัน วันละ 3 รอบ ผลออกมาอยู่ในเกณฑ์ปกติ เรายังเดินในระยะทางสั้น ๆ ได้ด้วยตัวเอง หลังจากกินข้าวระหว่างกินยาฆ่าเชื้อตอนนั้น ร่างกายเราได้พลังงานสำรองไปเพิ่มบ้างแล้ว ทุกคนคงเป็นห่วงเรามาก ๆ ใช่มั้ย แต่เรายังโอเคอยู่นะ เรายังเข้มแข็ง ยังสู้ต่อ

นอกจากสภาพร่างกายที่อาจจะไม่สมบูรณ์มาก แต่สภาพจิตใจเราดีขึ้นมาก ๆ ที่ได้ย้ายมาอยู่โรงพยาบาล ที่นี่ดูแลเราดี ทั้งพยาบาล ผู้ช่วย ผู้คุม ใจดีทุกคน เราไม่ต้องอยู่กับความหยาบโลน ชีวิตเร่งรีบ และน่าเบื่อหน่ายในเรือนจำ ที่นี่ทุกคนพูดเพราะ ถึงเราจะไม่ใช่คนโลกสวย แต่ถ้าให้เลือก ก็ขอเลือกอยู่ในที่ที่ผู้คนจิตใจดีมากกว่า ขอบคุณบุคลากรทุกคนที่นี่ ที่ดูแลเราอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง โดยเฉพาะ ผอ.ที่มาเยี่ยมทุกคนบ่อย ๆ ทั้งที่ไม่ใช่หน้าที่ที่ต้องทำประจำบ่อยครั้งขนาดนี้ด้วยซ้ำ

อยากบอกทุกคนที่ยังติดตามและเป็นห่วงเราว่า ขอบคุณมากนะ แค่แรงซัพพอร์ตของทุกคนในทุก ๆ วัน มันทำให้เราตื้นตัน เหมือนถูกโอบกอดไว้ในวันที่ฤดูหนาวมาเยือน ต่อให้ตอนนี้มันจะมืดมน ยังไม่เห็นหนทางไปต่อ แต่ก็สุขใจทุกครั้งที่ทนายเล่าให้ฟังว่าทุกคนคอยเป็นกำลังใจให้อยู่ ขอบคุณนะ ขอบคุณจริง ๆ

ถึง น้องชายและน้องสาวของพี่

ไม่ว่าพวกเธอจะอายุเท่าไหร่กันแล้ว เธอก็ยังคงเป็นเด็กน้อยของพี่เสมอ มันคงจะเหมือนความรู้สึกของคนเป็นพ่อเป็นแม่ที่มีต่อลูกแบบนั้น อยากบอกว่าดีใจที่ตอนนี้ทุกคนเรียนจบ มีงานทำเป็นของตัวเองแล้ว ขอให้น้องของพี่มีชีวิตที่มั่นคง เติบโตอย่างมั่นคง ชีวิตมันไม่เคยเป็นเส้นตรงอย่างที่พี่พูดเสมอมา ถึงแม้ตอนนี้จะสุขเพียงครึ่งเดียว เพราะพี่ยังติดอยู่ในคุก แต่พี่จะมองอีกครึ่ง ที่เป็นครึ่งของความสุขที่ได้เห็นน้อง ๆ มีใบปริญญา มีงานเป็นของตัวเอง ทั้งหมดนี้เป็นความภูมิใจของพี่ ขอบคุณน้อง ๆ ที่ตลอดมาไม่เคยเกเรหรือทำให้พี่ไม่สบายใจ ขอบคุณที่ตั้งใจเรียนจนวันนี้สำเร็จแล้วทั้งคู่ ขอบคุณที่พยายามเป็นครอบครัวที่อบอุ่นให้กันและกัน

ตั้งใจนะ เดินทางชีวิตอย่างระมัดระวัง แล้วพี่จะอยู่ตรงนี้เสมอ มองดูน้องพี่เติบโตพร้อมกันอย่างมีความสุข

น้ำบอกว่าตอนนี้มีจดหมาย 5 ฉบับแล้ว ที่เธอเขียนฆ่าเวลายามว่าง น้ำจะทยอยเอามาอ่านให้ฟังในวันต่อ ๆ ไป

X