ศาลปรับ “ครูใหญ่” 5,200 บาท ตาม พ.ร.บ.ชุมนุมฯ-ใช้เครื่องเสียง เหตุนำ #ม็อบ13ตุลา63 หน้า สตช. เรียกร้องปล่อยตัว ‘คณะราษฎรอีสาน’ แต่ยกฟ้องอีก 5 ข้อหา

27 ก.ย. 2566 เวลา 9.00 น. ศาลอาญากรุงเทพใต้นัดฟังคำพิพากษาในคดีของ “ครูใหญ่” อรรถพล บัวพัฒน์ จากการชุมนุมที่หน้าสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อเรียกร้องให้มีการปล่อยตัว #คณะราษฎรอีสาน เมื่อวันที่ 13 ต.ค. 2563 โดยคดีนี้ครูใหญ่ถูกฟ้องใน 9 ข้อกล่าวหา โดยศาลเห็นว่ามีความผิดใน 4 ข้อหา ลงโทษปรับรวม 5,200 บาท ส่วนข้อหาทำให้เสียทรัพย์-เป็นหัวหน้ามั่วสุมกัน 10 คนขึ้นไป-พ.ร.บ.ความสะอาดฯ ให้ยกฟ้อง

สำหรับการชุมนุมเมื่อวันที่ 13 ต.ค. 2563 สืบเนื่องจากเวลาประมาณ 15.40 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจใช้กำลังเข้าล้อมพื้นที่บริเวณหน้าร้านแมคโดนัลด์ อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย และไล่จับกุมกลุ่มผู้ชุมนุม “คณะราษฎรอีสาน” ซึ่งมาปักหลักรอการชุมนุมใหญ่ โดยมีทั้งการอุ้มและลากตัวขึ้นรถควบคุมผู้ต้องขังของตำรวจ รวม 21 ราย นำตัวไปที่ บก.ตชด. ภาค 1 จ.ปทุมธานี

จนเวลาประมาณ 17.40 น. กลุ่มนักกิจกรรมที่ยังเหลืออยู่ ได้เคลื่อนไหวจากบริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยไปสมทบกันที่หน้าสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อเรียกร้องให้ปล่อยตัวผู้ชุมนุมที่ถูกควบคุมตัวไป โดยมีผู้ชุมนุมบางส่วนทำกิจกรรมเชิงสัญลักษณ์สาดสีใส่ป้ายสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อทวงความเป็นธรรมให้กับกลุ่มผู้ชุมนุมที่ถูกจับตัวไปด้วย

เกี่ยวกับคดีนี้ เมื่อวันที่ 22 ธ.ค. 2563 “ครูใหญ่” อรรถพล บัวพัฒน์ ขณะนั้นเป็นแกนนำกลุ่ม “ขอนแก่นพอกันที” เข้ารับทราบข้อกล่าวหาตามหมายเรียกที่ สน.ปทุมวัน มีข้อหาหลักตาม พ.ร.บ.ชุมนุมสาธารณะฯ, ร่วมกันทำให้เสียทรัพย์, ร่วมกันมั่วสุมตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป ทำให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง โดยเป็นหัวหน้าหรือผู้สั่งการ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 215 วรรคสาม

ต่อมา พนักงานอัยการมีคำสั่งฟ้องคดีของอรรถพลในวันที่ 4 ต.ค. 2564 ที่ศาลอาญากรุงเทพใต้ รวมทั้งหมด 9 ข้อหา อรรถพลยืนยันให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา และมีการสืบพยานต่อสู้คดีไปเมื่อวันที่ 15-16 ส.ค. 2566 ที่ผ่านมา

วันนี้ (27 ก.ย. 2566) ที่ห้องพิจารณาคดีที่ 402 อรรถพลพร้อมด้วยนายประกันเดินทางมารอฟังคำพิพากษาตามเวลาที่ศาลได้นัดหมายเอาไว้ ก่อนเวลาประมาณ 10.00 น. ศาลได้เรียกจำเลยไปฟังสรุปคำพิพากษาในส่วนของผลคำพิพากษา โดยไม่ได้อ่านในรายละเอียด เนื่องจากศาลติดการสืบพยานในคดีอื่น

โดยศาลเห็นว่าจำเลยมีความผิดข้อหาตาม พ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะฯ เป็นผู้ชุมนุมสาธารณะ แต่ก่อให้เกิดความไม่สะดวกแก่ประชาชนที่จะใช้ที่สาธารณะ, ข้อหากีดขวางทางสาธารณะ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 385, พ.ร.บ.เครื่องขยายเสียงฯ และ พ.ร.บ.จราจรทางบกฯ เนื่องจากเป็นความผิดหลายกรรม ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป

ในฐานโฆษณาใช้เครื่องขยายเสียงโดยไม่ได้รับอนุญาต ลงโทษปรับ 200 บาท ส่วนข้อหาตาม พ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะฯ, กีดขวางทางสาธารณะ และกีดขวางการจราจร เป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษในฐานที่หนักที่สุด คือ ชุมนุมก่อให้เกิดความไม่สะดวกแก่ประชาชนที่จะใช้ที่สาธารณะ ตาม พ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะฯ มาตรา 16 (1) และ มาตรา 30 ลงโทษปรับ 5,000 บาท รวมโทษปรับ 5,200 บาท ส่วนข้อหาอื่นจากนี้ให้ยกฟ้อง 

นอกเหนือจากคดีนี้ อรรถพล ยังมีคดีที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์วันที่ 13 ต.ค. 2563 อีก 1 คดี คือกรณีที่เขาโดนดำเนินคดีร่วมกับนักกิจกรรมอีก 6 คน จากการเข้าร่วมชุมนุมกับ “คณะราษฎรอีสาน” บริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ก่อนเดินทางไปหน้าสำนักงานตำรวจแห่งชาติ แต่คดีดังกล่าวอัยการมีคำสั่งไม่ฟ้องคดีไปแล้ว

ส่วนกรณีชุมนุมที่หน้าสำนักงานตำรวจแห่งชาตินั้น ยังมีผู้ถูกกล่าวหาอีก 3 คน โดยคดีของ “เพนกวิน” พริษฐ์ ชิวารักษ์ ถูกสั่งฟ้องที่ศาลอาญากรุงเทพใต้นี้เช่นกันแยกเป็นอีกคดีหนึ่งจากของอรรถพล โดยคดีมีนัดตรวจพยานหลักฐานในวันที่ 13 พ.ย. 2566 นี้ ส่วนคดีของนักศึกษาอีกสองคน ยังอยู่ในชั้นสอบสวน

X