บันทึกเยี่ยมแรก ของ “ทีปกร” ผู้ต้องขัง ม.112 กับร้านตัดผมที่อาจไม่มีวันได้เปิด

เมื่อวันที่ 21 มิ.ย. 2566 ทนายความเดินทางไปที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ เพื่อเข้าเยี่ยม “กิ๊ฟ” ทีปกร (สงวนนามสกุล) อายุ 38 ปี ผู้ต้องขังทางการเมืองในคดี ม.112 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14 (3) กรณีถูกฟ้องจากการโพสต์เฟซบุ๊กและแชร์คลิปวิดีโอที่มีเนื้อหาวิพากษ์วิจารณ์การใช้ภาษีของสถาบันกษัตริย์ ซึ่งต่อมาศาลอาญาพิพากษาจำคุก 3 ปี โดยไม่รอลงอาญาและศาลอุทธรณ์ยังสั่งไม่อนุญาตให้ประกันตัวเขา      

นี่เป็นการเข้าเยี่ยมทีปกรครั้งแรกหลังถูกคุมขังในคดีนี้ สังเกตว่ากิ๊ฟมีสีหน้าที่ดูกังวล เเต่ก็ยังยิ้มทักทายเเนะนำตัว และระหว่างสนทนา กิ๊ฟเล่าว่า นี่เป็นครั้งเเรกของชีวิตที่ต้องถูกขังอยู่ในเรือนจำ ซึ่งเขายอมรับว่าทำให้ตัวเองมีความเครียดอยู่มากทีเดียว  

“ตอนนี้ผมปวดหลังมาก” กิ๊ฟบอก และเล่าต่อว่า สภาพความเป็นอยู่ข้างในนั้นค่อนข้างลำบาก เวลานอนก็ต้องนอนกับพื้นปูนแข็งๆ ไม่ได้มีฟูกรองแต่อย่างใด ส่วนหมอนก็ไม่มีเช่นกัน เขาต้องเอาผ้าห่มบางๆ มาพับหนุนหัวเวลานอนแทน 

ช่วงนี้กิ๊ฟยังคงอยู่ในระหว่างกักกันโรค ยังไม่ได้รับมอบหมายให้ทำงานในเรือนจำ และจะยังไม่ถูกย้ายไปเจอผู้ต้องขังการเมืองรายอื่นๆ ที่แดนปกติ จนกว่าจะถูกกักกันโรคครบกำหนดตามระเบียบของการเป็นผู้ต้องขังรายใหม่

“เเต่ก็พออยู่ได้ จะพยายามปรับตัว ผมจะสู้ต่อ …” กิ๊ฟบอก

สิ่งที่เขาเป็นกังวลมากในตอนนี้มี 2 เรื่อง เรื่องแรก คือ “การสมัครเรียนฝึกอาชีพระดับ 2” ก่อนหน้านี้กิ๊ฟเพิ่งเรียนฝึกอาชีพระดับ 1 จนจบหลักสูตรแล้ว และตั้งใจว่าจะสมัครเรียนระดับ 2 ต่อทันที ซึ่งเมื่อวันที่ 21 มิ.ย. ที่ผ่านมานี้ เป็นการสมัครเรียนวันสุดท้าย วันนี้กิ๊ฟจึงวานให้ติดต่อไปหาครอบครัวเพื่อให้ช่วยไปสมัครเรียนแทน 

อย่างไรก็ตาม ในเวลาต่อมา เเม่ของกิ๊ฟแจ้งว่าไม่สามารถทำเรื่องสมัครเรียนแทนลูกชายได้ โดยศูนย์ฝึกอาชีพยืนยันว่า ผู้เรียนจะต้องเดินทางไปยื่นใบสมัครและดำเนินสมัครเรียนด้วยตัวเองเท่านั้น

อีกเรื่องหนึ่งที่กิ๊ฟเป็นกังวลค่อนข้างมาก คือ “ร้านตัดผม” ธุรกิจล่าสุดของเขาที่ครอบครัวให้การสนับสนุนเป็นหลัก ซึ่งใกล้จะเปิดทำการเต็มทีแล้ว แต่ต้องสะดุดลง เพราะมาถูกคุมขังในคดีนี้เสียก่อน ก่อนหน้านี้กิ๊ฟประกอบอาชีพเป็นหมอนวดอิสระมาหลายปี เคยเปิดร้านนวดแผนไทยเป็นของตัวเอง แต่ก็ต้องปิดตัวลง เพราะประสบกับวิกฤตการณ์แพร่ระบาดของโรคโควิด-19 

เมื่อเร็วๆ นี้กิ๊ฟวางแผนจะเปิดร้านตัดผมเป็นของตัวเอง โดยมีพ่อและแม่เป็นคนจัดหาพื้นที่ร้านและลงทุนให้ แม่ของกิ๊ฟเล่าว่า การที่ลูกชายถูกสั่งขังในคดีนี้เป็นสิ่งที่ครอบครัวคาดไม่ถึงมาก่อน คิดว่าอย่างมากที่สุดศาลน่าจะพิพากษาให้รอการลงโทษเอาไว้ 1-2 ปี ครอบครัวจึงวางเงินและทำสัญญาเช่าพื้นที่สำหรับการเปิดร้านตัดผมในปั๊มน้ำมันแห่งหนึ่งให้กิ๊ฟไปแล้ว 

อย่างไรก็ตาม แม่บอกว่า ไม่มีใครรู้ว่ากิ๊ฟจะได้ประกันตัวออกมาวันไหน ระหว่างนี้แม่กับพ่อจึงจะใช้พื้นที่เช่าทำร้านดังกล่าวค้าขายอย่างอื่นไปก่อน และหวังว่ากิ๊ฟจะได้ประกันตัวออกมาสู้คดีชั้นอุทธรณ์ต่อในเร็ววัน

สุดท้ายกิ๊ฟฝากข้อความถึงเพื่อนๆ ร่วมอุดมการณ์ทุกคนว่า “มีกำลังใจจะสู้ต่อ เเม้ว่าจะอยู่ในเรือนจำ ขอให้คนที่อยู่ข้างนอกสู้ต่อ อย่าเพิ่งหมดหวัง เเล้วเราจะได้ชัยชนะร่วมกัน …” 

ในคดีของทีปกร ทนายความได้ยื่นคำร้องขอประกันตัวหลังศาลอาญามีคำพิพากษา เมื่อวันที่ 19 มิ.ย. 2566 แต่ศาลมีคำสั่งส่งคำร้องให้ศาลอุทธรณ์พิพากษา ต่อมา ในวันที่ 22 มิ.ย. ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งไม่อนุญาตให้ประกันตัว โดยให้เหตุผลว่า ข้อหามีอัตราโทษสูง ลักษณะการกระทำของจำเลยนำมาซึ่งความเสื่อมเสียสู่สถาบันพระมหากษัตริย์และกระทบกระเทือนต่อความรู้สึกของประชาชน หากอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว มีเหตุอันควรเชื่อว่าจำเลยจะหลบหนีหรือไปก่อเหตุอันตรายประการอื่น

เรื่องที่เกี่ยวข้อง

อ่านบทสัมภาษณ์ทีปกร: “อุดมการณ์ผมไม่เปลี่ยนแปลง เหมือนเดิม และอาจจะเพิ่มมากขึ้นด้วยซ้ำ” — ชวนอ่านความคิดของ “ทีปกร” ผู้ถูกกล่าวหาในคดี 112 จากการตั้งคำถามถึงการมีอยู่ของสถาบันกษัตริย์

อ่านคำพิพากษา: พิพากษาจำคุก “ทีปกร” 3 ปี คดี ม.112 กรณีโพสต์-แชร์คลิปตั้งคำถามถึงสถาบันกษัตริย์ ศาลชี้บทบาทและคุณูปการสถาบันฯ นำพาคนไทยสร้างชาติ ก่อนส่งศาลอุทธรณ์พิจารณาคำสั่งประกัน

X