เปิดประมวลคดี ม.112 “ตี้-จัสติน” ปราศรัยวงเวียนใหญ่ ปมวิจารณ์ ประยุทธ์-สนช. ขยายขอบเขตอำนาจพระมหากษัตริย์เกินขอบเขต

ในวันที่ 27 มิ.ย. 2566 เวลา 09.00 น. ศาลอาญาธนบุรีนัดฟังคำพิพากษาในคดีมาตรา 112 ของ 2 นักกิจกรรม “จัสติน” ชูเกียรติ แสงวงค์ และ “ตี้” วรรณวลี ธรรมสัตยา จากการปราศรัยในการชุมนุมบริเวณลานอนุสาวรีย์พระเจ้าตากสิน วงเวียนใหญ่ เมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 2563 หรือ #ม็อบ6ธันวา

คดีนี้ อัยการฟ้องทั้งสองคน ข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 บรรยายพฤติการณ์โดยสรุปว่า ชูเกียรติขึ้นกล่าวปราศรัยแก่ประชาชนซึ่งเป็นผู้เข้าร่วมชุมนุม กล่าวถึงเหตุการณ์การยึดอำนาจจากพระเจ้าตากสินฯ ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นต้นราชวงศ์ในปัจจุบัน, การที่รัฐใช้มาตรา 112 เนื่องจากกลัวว่าประชาชนจะเอาความจริงมาพูด เลยต้องใช้กฎหมายดังกล่าวเพื่อปิดปาก ประเทศไทยแม้จะบอกว่าเป็นประเทศประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข แต่กลับมีการลิดรอนสิทธิเสรีภาพของประชาชนที่ออกมาเรียกร้องความถูกต้อง มีการส่งมือที่สามเข้ามาลอบทำร้ายผู้ชุมนุม และเรื่องการค้ายาเสพติดในประเทศไทย 

คำปราศรัยของชูเกียรติยังกล่าวถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ซึ่งกล่าวหาว่า การแต่งกายของตนนั้นเข้าข่ายหมิ่นฯ ทั้งๆ ที่เป็นการแต่งกายเลียนแบบนักร้องในต่างประเทศ และคำปราศรัยที่กล่าวถึงภาวะของสถาบันกษัตริย์ ที่ไม่ว่าใครก็ไม่สามารถตรวจสอบได้ และพูดถึงความจำเป็นที่ผู้ชุมนุมต้องออกมาเรียกร้องให้ปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ หลังมีการใช้อำนาจหลายอย่างที่เกินขอบเขต แตกต่างจากสถาบันกษัตริย์ของประเทศอื่นๆ

ในส่วนของวรรณวลีได้ขึ้นปราศรัยโดยกล่าวถึงการที่พระมหากษัตริย์ทรงเป็นจอมทัพไทยซึ่งถูกบัญญัติอยู่ในรัฐธรรมนูญ ทำให้ทรงมีอำนาจที่จะชี้นำกองทัพ และปัญหาในการรับรองการรัฐประหาร รวมไปถึงชี้นำการทำงานของคณะรัฐมนตรี

ในคดีนี้ “ชูเกียรติ-วรรณวลี” ได้ให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา และศาลได้สืบพยานโจทก์ไปตั้งแต่วันที่ 8-9 ก.พ. และ 19 ก.ค. และ 2 ส.ค. 2565 ขณะที่นัดสืบพยานจำเลยไปเมื่อวันที่ 3, 10 และ 31 มี.ค. 2566 ก่อนศาลนัดฟังคำพิพากษา

.

ดูฐานข้อมูลคดีนี้ >> คดี 112 ชูเกียรติ-วรรณวลี-ธนกร (เยาวชน) ปราศรัย #ม็อบ6ธันวา วงเวียนใหญ่

ภาพรวมการสืบพยาน: จำเลยปฎิเสธทุกข้อกล่าวหา ยืนยันเป็นเสรีภาพแสดงความคิดเห็น วิพากษ์วิจารณ์ความไม่ชอบธรรมของรัฐบาลเป็นสิ่งที่ทำได้

การพิจารณาคดีนี้เกิดขึ้นที่ห้องพิจารณาคดี 16 ชั้น 4 สำหรับการสืบพยานวันแรก “ชูเกียรติ-วรรณวลี” ได้มาปรากฎตัวที่ห้องพิจารณา พร้อมกับทนายความ ในขณะเดียวกันสมาชิกกลุ่มศูนย์รวมประชาชนปกป้องสถาบัน (ศปปส.) จำนวน 3-4 คน ก็มาร่วมเข้าฟังการพิจารณาด้วย อย่างไรก็ตามตำรวจศาลไม่อนุญาตให้สมาชิก ศปปส. เข้าร่วมฟังการพิจารณาคดีได้ เนื่องจากสถานการณ์โควิด-19 ที่แพร่ระบาดในขณะนั้น การสืบพยานจึงมีเพียงคู่ความในคดีเท่านั้นที่อยู่ในห้องพิจารณาได้

สำหรับการพิจารณาคดีนี้ใช้เวลามากกว่า 1 ปีกว่าการพิจารณาจะเสร็จสิ้น เนื่องด้วยสถานการณ์โควิด-19   อีกทั้งในช่วงเดือน ก.ค. 2565 ในนัดสืบพยานโจทก์ วรรณวลีมีอาการป่วย จนต้องเข้าโรงพยาบาล ไม่สามารถเดินทางมาศาลได้ ทำให้การพิจารณาคดีเลื่อนออกมา

ทั้งนี้ ก่อนเริ่มสืบพยาน อัยการโจทก์แถลงจะนำพยานเข้าเบิกความจำนวน 11 ปาก ประกอบด้วย จักรพงศ์ กลิ่นแก้ว ผู้กล่าวหา, นักวิชาการและประชาชนทั่วไปที่ได้ยินคำปราศรัยรวม 6 ปาก และตำรวจฝ่ายต่างๆ อีก 4 ปาก ส่วนฝ่ายจำเลย นำพยานขึ้นเบิกความ 3 ปาก ได้แก่ จำเลยทั้งสอง และผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมาย

เกี่ยวกับประเด็นข้อต่อสู้ อัยการโจทก์พยายามนำสืบว่า การกระทำของทั้งสองไม่ใช่เป็นการกระทําภายในความมุ่งหมายแห่งรัฐธรรมนูญ หรือมิใช่เพื่อแสดงความคิดเห็นหรือติชมโดยสุจริต แต่เป็นการจงใจใส่ร้าย ดูหมิ่นพระมหากษัตริย์ แม้จำเลยไม่ได้มีการระบุอย่างเฉพาะเจาะจงว่าพาดพิงถึงบุคคลใด แต่มีนัยสื่อถึงในหลวงรัชกาลที่ 10 ซึ่งทำให้พระมหากษัตริย์เสื่อมเสียพระเกียรติ  

ขณะที่ข้อต่อสู้ของจำเลยคือ การปราศรัยดังกล่าวสื่อถึงพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา และการออกกฎหมายที่ไม่ชอบธรรมของรัฐบาลทหาร สภาที่มาจากการรัฐประหาร ที่มีการออกกฎหมายเพิ่มอำนาจให้สถาบันกษัตริย์จนอาจเกินขอบเขตของระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขหรือไม่ รวมไปถึงชวนถกเถียงข้อมูลทางประวัติศาสตร์ที่ยังไร้ข้อสรุป 

ผู้กล่าวหาอดีตแกนนำ ศปปส. เบิกความการปราศรัยของจำเลยทั้งสองจาบจ้วงสถาบันฯ ต้องถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย

จักรพงศ์ กลิ่นแก้ว อดีตแกนนำศูนย์รวมประชาชนปกป้องสถาบัน (ศปปส.) ซึ่งเป็นผู้กล่าวหาคดีนี้ เบิกความว่า เมื่อวันที่ 8 ธ.ค. 2563 พยานตรวจพบคลิปวิดีโอในยูทูบซึ่งประชาชนทั่วไปสามารถเข้าถึงได้ คลิปดังกล่าวเป็นการชุมนุมปราศรัยที่วงเวียนใหญ่ เมื่อวันที่ 6 ธ.ค. 2563 ซึ่งจำเลยทั้งสองได้ขึ้นปราศัยจาบจ้วงล่วงเกินสถาบันกษัตริย์

พยานจึงได้โหลดคลิปชุมนุมดังกล่าวใส่แผ่นดีวีดีแล้วนำไปแจ้งความ โดยเนื้อหาคำปราศรัยของชูเกียรติได้กล่าวในลักษณะโจมตีสถาบันพระมหากษัตริย์ว่าใช้อำนาจเกิดขอบเขต ไม่โปร่งใส และตรวจสอบไ่ม่ได้ซึ่งเป็นการใส่ร้ายในหลวงรัชกาลที่ 10 

ในส่วนของวรรณวลีได้ขึ้นปราศรัยโดยกล่าวถึงการที่พระมหากษัตริย์ทรงเป็นจอมทัพไทย และใส่ร้ายว่าทรงมีส่วนร่วมในการทำรัฐประหาร ซึ่งการปราศัยดังกล่าวไม่ใช่การใช้สิทธิเสรีภาพและแสดงความคิดเห็นโดยสุจริตตามกฎหมายและรัฐธรรมนูญ

ช่วงตอบทนายจำเลยถามค้าน จักรพงศ์เบิกความโดยสรุปว่า ตนเคยเป็นอดีตแกนนำกลุ่ม ศปปส. ช่วงปี 2563-2564 ปัจจุบันทำหน้าที่เป็นโฆษกพรรคไทยภักดี

พยานรับว่าเคยมีการร้องทุกข์กล่าวโทษบุคคลต่างๆ ในข้อหามาตรา 112 ตามที่เห็นว่ามีการแสดงความคิดเห็นจาบจ้วงสถาบันกษัตริย์ ทั้งนี้พยานไม่เห็นด้วยกับข้อเสนอในการปฎิรูปสถาบันกษัตริย์ของกลุ่มคณะราษฎรที่ออกมาเคลื่อนไหวในช่วงที่ผ่านมา

ในปี 2557 พยานเคยร่วมชุมนุมกับกลุ่ม กปปส. ที่เวทีแจ้งวัฒนะ แต่ไม่เคยไปขัดขวางการเลือกตั้ง โดยส่วนตัวพยานเห็นด้วยกับการรัฐประหารของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในครั้งที่ผ่านมา 

ที่ผ่านมาพยานทราบว่ามีการแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับสถาบันกษัตริย์หลายฉบับ เช่น การจัดการทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์, การโอนย้ายกำลังพลส่วนพระองค์ รวมถึงการแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญหลังจากผ่านการลงประชามติแล้ว

อีกทั้งพยานทราบว่า พล.อ.ประยุทธ์ เคยบอกว่าในหลวงรัชกาลที่ 10 มีพระประสงค์ไม่ให้ใช้มาตรา 112 พร่ำเพื่อ แต่ภายหลังในช่วงเดือนพฤศจิกายน 2563 พล.อ.ประยุทธ์ ประกาศจะบังคับใช้กฎหมายทุกมาตรา ทำให้ตนตัดสินใจมาแจ้งความมาตรา 112 กับผู้ชุมนุม

พยานนักวิชาการให้ความเห็น การปราศรัยของจำเลยบิดเบือนประวัติศาสตร์-ดูหมิ่นใส่ร้ายในหลวงรัชกาลที่ 10 

พล.ร.ต.ทองย้อย แสงสินชัย ข้าราชการบำนาญ สังกัดกองทัพเรือ เบิกความว่า เคยรับราชการที่หอสมุดแห่งชาติ และดำรงตำแหน่งอนุศาสนาจารย์ในกองทัพเรือ มีหน้าที่อบรมศีลธรรมในกองทัพเรือ ปัจจุบันเกษียณแล้ว

เกี่ยวกับคดี พนักงานสอบสวนได้ถอดเทปคำปราศัยของจำเลยทั้งสอง แล้วส่งให้พยานเพื่อขอความเห็น โดยพยานเห็นว่าข้อความปราศรัยของชูเกียรติข้อความแรกที่ปราศรัยว่า “นายด้วงแย่งอำนาจพระเจ้าตากมา” ประชาชนย่อมเข้าใจได้ว่าหมายถึงในหลวงรัชกาลที่ 1 แย่งอำนาจพระเจ้าตากมา ซึ่งไม่ตรงตามข้อเท็จจริงประวัติศาสตร์ ในส่วนข้อความที่กล่าวถึงการค้ายาเสพติดในประเทศไทย เมื่ออ่านแล้วทำให้ประชาชนเข้าใจผิดเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ 

ส่วนของวรรณวลีที่ปราศรัยเรื่องจอมทัพไทย คำว่า “จอมทัพไทย” หมายถึงพระมหากษัตริย์ เพราะตามระเบียบประเพณีแล้วพระมหากษัตริย์ทรงดำรงตำแหน่งจอมทัพไทย ถ้อยคำปราศรัยจึงมีนัยยะสื่อถึงในหลวงรัชกาลที่ 10

วิฆนาย ดีสุวรรณ อาจารย์สอนภาษาไทย เบิกความว่า จบการศึกษาปริญญาโท คณะศิลปศาสตร์ สาขาภาษาไทย จากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ รับราชการอยู่ที่มหาวิทยาลัยราชภัฎธนบุรี ในตำแหน่ง อาจารย์ภาษาไทย มาตั้งแต่ปี 2550 จนถึงปัจจุบัน มีผลงานทางวิชาการ ได้แก่ งานวิจัยเรื่องความเข้าใจคำผวนของเด็กไทย และบทความวิชาการเรื่อง การเจริญอานาปานสติที่มีต่อผลสัมฤทธิ์แห่งการปฏิบัติธรรม อันนำความพัฒนายั่งยืนสู่มหาชน

ในคดีนี้พยานได้รับการติดต่อมาจากพนักงานสอบสวน สน.บุปผาราม เพื่อให้ความเห็นด้านภาษา โดยพนักงานสอบสวนได้ให้ดูวิดีโอการปราศรัยของจำเลย และให้อ่านคำถอดเทปจากคำปราศรัยดังกล่าว

การปราศรัยของจำเลยเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 6 ส.ค. 2563 เรื่องกล่าวอ้างถึงสถาบันพระมหากษัตริย์ โดยพยานได้ให้ความเห็นใน 3 ด้านด้วยกัน ได้แก่ ความหมายประจำรูปศัพท์, ความหมายตามบริบท และความหมายเฉพาะตัว

พยานเห็นว่าลักษณะของคำปราศรัยของจำเลยที่ 1 เป็นการโน้มน้าวและให้ข้อมูลบางส่วน หากผู้ฟังไม่มีความรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์อาจคล้อยตามได้ง่าย เนื่องจากผู้คนในอดีตไม่ได้จดบันทึกไว้เป็นหลักฐาน ซึ่งข้อมูลตามประวัติศาสตร์ล้วนบันทึกขึ้นภายหลังจากคนใกล้ชิดที่แวดล้อม และล้วนเป็นไปในทำนองเดียวกันว่าการครองราชย์ของรัชกาลที่ 1 ในราชวงศ์จักรีไม่ใช่การปล้นชิงตำแหน่งจากพระเจ้าตากสิน แต่เป็นเพราะความวุ่นวายในปลายรัชสมัยของพระเจ้าตากสิน และการปราบดาภิเษกก็มีการทำมาโดยตลอดอยู่แล้ว จากคำปราศรัยของจำเลยที่ 1 ชี้ให้เห็นว่าการครองราชย์ของรัชกาลที่ 1 ไม่มีความชอบธรรม มีการอ้างถึงรัชกาลที่ 1 และรัชกาลที่ 10 เป็นหลัก

จำเลยที่ 1 มีการกล่าวอ้างเป็นรายพระองค์ เช่น รัชกาลที่ 1 และรัชกาลที่ 10 รวมถึงมีการกล่าวอ้างโดยรวม เช่น คำว่า ราชวงศ์จักรีหรือครอบครัว คำปราศรัยโดยรวมพูดด้วยถ้อยคำที่สนุกและสะใจ การตีความจึงเป็นไปในทิศทางที่รู้สึกไม่ชอบและรู้สึกไม่พอใจ 

ส่วนจำเลยที่ 2 ข้อความปราศรัยหนักไปที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 และรัชกาลที่ 10 โดยใช้รัฐบาลเป็นตัวพาดพิง เนื้อหาโดยรวมสอดคล้องกับจำเลยที่ 1 เช่น ปราศรัยในทำนองว่าสถาบันพระมหากษัตริย์อยู่เบื้องหลังความรุนแรง และมีการใช้ถ้อยคำที่มีความรุนแรง ซึ่งแสดงถึงความเกลียดชัง

ช่วงทนายจำเลยถามค้าน วิฆนายเบิกความว่าไม่เคยไปฟังการปราศรัยในที่ชุมนุมหรือดูการถ่ายทอดชุมนุมในคดีนี้ พยานไม่ทราบว่าผู้จัดการชุมนุมมีการจัดพิธีบวงสรวงดวงวิญญาณพระเจ้าตากสินเพื่อปราบเผด็จการ และพยานไม่ทราบว่าประเด็นชุมนุมปราศรัยในคดีนี้ คือ “ใครฆ่าพระเจ้าตากฯ” 

พยานเห็นด้วยว่า การปราศรัยบางส่วนของจำเลยมีการโจมตี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ด้วย ถึงประเด็นต่างๆ เช่น ความเดือดร้อนของประชาชนเพื่อเรียกร้องรัฐสวัสดิการ

ในส่วนของคำปราศรัยของจำเลยที่ 1 พยานได้ดูคลิปวิดีโอการปราศรัยก่อน แล้วจึงค่อยดูถอดเทปคำปราศรัยภายหลัง จากนั้นจึงได้ให้ความเห็นว่าข้อความใดบ้างที่เข้าข่ายหมิ่นประมาท โดยพยานเห็นว่ามีประมาณ 6-8 ข้อความด้วยกัน

พยานเห็นว่า ไม่มีข้อความส่วนใดที่มีการระบุหรือเอ่ยถึงพระนามโดยตรง ข้อความปราศรัยไม่ชัดเจนคลุมเครือ จึงต้องอาศัยการตีความ แต่โดยบริบทแล้วไม่จำเป็นต้องตีความ แต่ถ้าอ่านแบบผ่านๆ ไม่ตั้งใจอ่าน จะต้องตีความ โดยเห็นว่าไม่สามารถตีความต่างกันได้ เพราะเป็นการพูดเรื่องเดียวกัน อ่านซ้ำก็เข้าใจแบบเดิม

พยานไม่ทราบว่า จำเลยที่ 1 มีชื่อเล่นว่า “จัสติน” เพราะแต่งกายชุดครอปท็อปคล้ายจัสติน บีเบอร์ ทนายจึงให้พยานดูเอกสารเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของแฟชั่นชุดครอปท็อป

นอกจากนี้ พยานเห็นว่าประวัติศาสตร์ในช่วงเปลี่ยนผ่านจากรัชสมัยของพระเจ้าตากสิน สู่รัชกาลที่ 1 นั้น ในแวดวงวิชาการยังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ แนวคิดอื่นๆ นอกจากที่พยานเบิกความไปนั้นยังไม่เป็นที่ยอมรับ

พยานยืนยันว่าตนเองไม่ได้ตีความจากคำปราศรัยของจำเลย แต่เป็นการอ่านและเชื่อมโยงกับบริบทของเนื้อหาที่จำเลยปราศรัยอยู่ก่อนหน้านั้น แม้คำฟ้องอัยการจะยกคำปราศรัยของจำเลยมาเพียงบางส่วน แต่เวลาพยานจะให้ความเห็น พยานได้อ่านคำปราศรัยทั้งหมด

พยานเห็นด้วยว่าจำเลยที่ 1 พูดถึงประเด็นการปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ โดยได้มีการเปรียบเทียบกับต่างประเทศด้วยว่าประมุขของต่างประเทศ สามารถถูกตรวจสอบได้และเป็นประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์อยู่ใต้รัฐธรรมนูญ ซึ่งคำว่า “ปฏิรูป” หมายถึง เปลี่ยนแปลงจากเดิม มีความหมายเป็นกลาง ไม่ได้มีความหมายว่าทำให้ดีขึ้นจากเดิม

ต่อมา ในส่วนคำปราศรัยของจำเลยที่ 2 พยานเห็นด้วยว่า “ตำแหน่งจอมทัพไทย” หมายถึง พระมหากษัตริย์ เมื่อมีการแต่งตั้งทหารต้องมีพระบรมพระองการโปรดเกล้าด้วย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ซึ่งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอยู้ เคยเป็นผู้บังคับบัญชาทหาร (ผบ.ทบ.) มาก่อนและเป็นหัวหน้าคณะ คสช. ในปี 2557 แต่พยานไม่ทราบว่า คสช. มีการยับยั้งการใช้รัฐธรรมนูญและเปลี่ยนมาใช้ฉบับชั่วคราว

ยุทธศักดิ์ ดีอร่าม เบิกความว่า จบการศึกษาด้านนิติศาสตร์จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในด้านกฎหมายมหาชน ปัจจุบันทำงานเป็นอาจารย์อยู่ที่มหาวิทยาลัยราชภัฎธนบุรี โดยทำงานมาได้ประมาณ 10 ปีแล้ว

พยานเห็นว่าประเทศไทยนั้นปกครองโดยระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข คดีนี้พยานได้รับแจ้งจากผู้บังคับบัญชาว่า สน.บุปผาราม ต้องการขอความเห็นด้านวิชาการ จากนั้นมีพนักงานสอบสวนโทรมานัดหมายให้ไปให้การที่ สน.บุปผาราม ในวันที่ 30 ธ.ค. 2563 โดยได้ดูเทปวิดีโอและคำถอดเทปการปราศรัยของจำเลยทั้งสองคนในคดีนี้ ซึ่งโดยรวมพยานให้ความเห็นว่าจำเลยทั้งสองปราศรัยดูหมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์และในหลวงรัชกาลที่ 10 

ช่วงทนายจำเลยถามค้าน ยุทธศักดิ์ เบิกความว่า พยานไม่ได้เข้าร่วมฟังการปราศรัยในวันเกิดเหตุด้วยและไม่ทราบหัวข้อในวันปราศรัยว่าเป็นเรื่องอะไร ขณะเข้าพบพนักงานสอบสวน ได้ดูคำถอดเทปของจำเลยทั้งสองคนแล้วพยานจึงให้ความเห็นไป

จำเลยไม่ทราบว่าชูเกียรติได้ปราศรัยโจมตี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา หรือไม่ เพราะพยานได้ดูเฉพาะข้อความที่ให้ความเห็นเท่านั้น ไม่ได้ดูข้อความอื่นๆ

พยานเห็นด้วยว่าคำปราศรัยของจำเลยทั้งสองไม่ได้เอ่ยถึงพระนามในหลวงรัชกาลที่ 10 โดยตรง เมื่อเป็นเช่นนั้นก็สามารถใช้วิธีแปลความหมายด้วยการอนุมานได้ ไม่ต้องใช้การตีความเนื่องจากข้อความชัดเจนอยู่แล้ว การจะอนุมานได้อาจขึ้นอยู่กับแต่ละคนต่างกันไป แต่มีส่วนน้อยมากที่จะอนุมานต่างออกไปจากพยาน

พยานไม่ทราบว่า มีข้อกฎหมายระบุไว้ว่าข้อความที่ไม่ยืนยันข้อเท็จจริงให้ใช้เป็นการตีความ

ในหัวข้อที่จำเลยที่ 1 ปราศรัยว่า “ใครฆ่าพระเจ้าตาก” เรื่องนี้ยังคงเป็นที่ถูกเถียงกันอยู่ พยานไม่ทราบว่า ตามประวัติศาสตร์มีการพูดถึงในหลวงรัชกาลที่ 1 ว่าได้สังหารพระเจ้าตากสินมหาราช รู้เพียงแต่ว่าเกิดเหตุจลาจลจนพระเจ้าตากถูกสำเร็จโทษ

พยานพอจะทราบว่า ตั้งแต่ต้นปี 2560 เป็นต้นมา พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา แก้กฎหมายเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์หลายฉบับ พยานเห็นด้วยว่า เมื่อฝ่ายนิติบัญญัติจะบังคับใช้กฎหมายใดจะต้องให้พระมหากษัตริย์ลงพระปรมาภิไธยก่อน และทราบว่าภายหลังรัฐประหาร 2557 พลเอกประยุทธ์ยกเลิกใช้รัฐธรรมนูญในขณะนั้น และได้เปลี่ยนไปใช้รัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว 

ประชาชนทั่วไปให้ความเห็นถ้อยคำปราศรัยใส่ร้าย-หมิ่นประมาทในหลวง ร.10 กระทบจิตใจคนไทย 

มะลิวัลย์ สุวรรณาพิสิทธิ์ เจ้าของกิจการร้านถ่ายรูป เกี่ยวข้องกับคดีนี้เมื่อวันที่ 29 ธ.ค. 2563 พยานได้ไปส่งป้ายโฆษณาให้กับ สน.บุปผาราม ตำรวจจึงได้เรียกพยานมาให้ความเห็นเกี่ยวกับการปราศรัยในคดีนี้

หลังพยานอ่านถ้อยคำปราศรัยแล้วพบว่าข้อความดังกล่าวพาดพิงสถาบันกษัตริย์ทำนองว่าในหลวงรัชกาลที่ 1 เป็นผู้ปล้นอำนาจพระเจ้าตากสินมหาราช ซึ่งกระทบกับในหลวงรัชกาลที่ 1-10 เพราะล้วนเป็นกษัตริย์ราชวงศ์จักรี 

นอกจากนี้ พยานเบิกความว่าในฐานะที่เป็นประชาชนเติบโตอยู่ในประเทศที่เป็นประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ไม่ได้รู้สึกว่าถูกลิดรอนสิทธิเสรีภาพแต่อย่างใด 

เท่าที่ทราบคำปราศรัยของจำเลยที่ 1 มีการสื่อถึงในหลวงรัชกาลที่ 10 และก้าวล่วงเรื่องการแต่งกาย อันเป็นการว่าร้ายสถาบันฯ และไม่น่าจะเป็นความจริงแต่อย่างใด ด้านคำปราศรัยของจำเลยที่ 2 ก็มีการพูดในลักษณะว่า ในหลวงเป็นจอมทัพไทยมีอำนาจทางการทหาร ทั้งๆ ที่พระองค์ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับกองทัพไทย รวมไปถึงใส่ร้ายว่าพระองค์ขยายขอบเขตพระราชอำนาจ

หลังพูดคุยกับเจ้าพนักงานแล้ว พยานได้ให้การไว้ทั้งในชั้นสอบสวนจนมาถึงชั้นศาล

ช่วงทนายจำเลยถามค้าน มะลิวัลย์เบิกความโดยสรุปว่า ตนไม่ได้เป็นสมาชิกกลุ่ม ศปปส. หรือองค์กรอื่นแต่อย่างใด ทั้งนี้ พยานได้ทำธุรกิจกับ สน.บุปผาราม มา 1 ปี และนี่เป็นคดี 112 คดีแรกที่พยานมาให้การในชั้นศาล

ในความรู้สึกส่วนตัวของพยาน พยานรู้สึกไม่ดีในฐานะประชาชนคนไทยที่จงรักภักดีต่อสถาบันฯ ไม่ชอบให้คนก้าวล่วงหรือล่วงละเมิดสถาบันกษัตริย์ แม้พยานจะทราบว่าการชุมนุมปี 2563 เป็นการชุมนุมเรียกร้องเรื่องปฎิรูปสถาบันกษัตริย์ และให้สถาบันกษัตริย์อยู่ใต้รัฐธรรมนูญ 

พยานรับว่าไม่ได้ไปอยู่ในที่เกิดเหตุ แต่ได้ดูคลิปกับข้อความปราศรัยย้อนหลังที่พนักงานสอบสวนเปิดให้ดู อีกทั้งพยานไม่ทราบว่าใครเป็นคนจัดการชุมนุมและปราศรัยเรื่องอะไร ซึ่งมาทราบภายหลังว่าเป็นเรื่องเกี่ยวกับพระเจ้าตากสินมหาราชที่ถูกยึดอำนาจ

ทนายจำเลยถามค้านต่อว่า ในการปราศรัยมีการกล่าวถึงปัญหาเศรษฐกิจ ปากท้องประชาชน แต่ไม่ได้ระบุว่าพูดถึงบุคคลใด ซึ่งการจะตีความว่าเป็นบุคคลใดขึ้นอยู่กับความเข้าใจของแต่ละคน พยานรับว่าใช่

ทนายจำเลยถามค้านว่า ผู้ที่จะเอากฎหมายมาลิดรอนสิทธิเสรีภาพประชาชนได้ คือฝ่ายบริหารใช่หรือไม่ พยานตอบว่าใช่ เกี่ยวกับประเด็นเรื่องจอมทัพไทยนั้น พยานทราบว่าหมายถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เพราะเคยดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบก

วิไลวรรณ วงศ์วิสุทธิศิลป์ ประกอบอาชีพค้าขาย เกี่ยวกับคดีนี้ ตำรวจจาก สน.บุปผาราม ได้มาขอความเห็นพยานในเรื่องมาตรา 112 เนื่องจากตนไปทำธุระส่วนตัวที่สถานีตำรวจเมื่อวันที่ 29 ธ.ค. 2563 

พยานได้อ่านข้อความปราศรัยของจำเลยทั้งสอง เห็นว่ามีการหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ พูดถึงราชวงศ์ในลักษณะใส่ร้ายว่ามีการปล้นอำนาจ ออกกฎหมายเพื่อปิดปากประชาชน ใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบเกี่ยวกับงบประมาณ ซึ่งสื่อถึงในหลวงรัชกาลที่ 10 

ช่วงทนายจำเลยถามค้าน วิไลวรรณเบิกความว่าตนไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์การปราศรัยม็อบดังกล่าว แม้พยานจะไม่ได้เป็นสมาชิกกลุ่ม ศปปส. แต่หากมีใครพูดพาดพิงถึงสถาบันกษัตริย์ก็จะรู้สึกว่าเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องและเป็นการหมิ่นประมาท พยานไม่ทราบว่าการชุมนุมช่วงปี 2563 จะพูดถึงการเรียกร้องให้ปฎิรูปสถาบันกษัตริย์หรือไม่ แต่พยานไม่เห็นด้วยกับข้อเรียกร้อง 3 ข้อของกลุ่มคณะราษฎร ทั้งนี้ พยานไม่เคยเป็นพยานในคดีมาตรา 112 มาก่อน

พยานรับว่าในคำปราศรัยของจำเลย มีการกล่าวถึง พล.อ.ประยุทธ์ และปัญหาสังคมอื่นๆ และไม่มีการเอ่ยชื่อพระนามในหลวงรัชกาลที่ 10 จึงจำเป็นต้องตีความ และการตีความของแต่ละบุคคลก็แตกต่างกัน

สองตำรวจสืบสวนระบุเห็นจำเลยปราศรัยถึงสถาบันกษัตริย์ เรียกร้องให้อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ

ว่าที่ พ.ต.ต.ชนิสรณ์ ก๊วยสินทรัพย์ เจ้าหน้าที่ตำรวจที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ขณะเกิดเหตุคดีนี้ พยานเป็นหนึ่งในชุดสืบสวน สังกัดกองบังคับการตำรวจสันติบาล 6 มีหน้าที่สืบสวนหาข่าวเกี่ยวกับความมั่นคง การชุมนุม และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องไม่ว่าจะเป็นนักศึกษาหรืออาจารย์มหาวิทยาลัย

หลังผู้บังคับบัญชามอบหมายให้สืบสวน พยานพบเห็นว่ามีการโพสต์เชิญชวนทางโซเชียลมีเดียให้มาชุมนุมวันที่ 6 ธ.ค. 2563 ที่วงเวียนใหญ่ พยานได้เข้าไปที่เกิดเหตุ เวลา 15.00 น. และต่อมาในช่วงเวลาประมาณสองทุ่ม ก็พบเห็นชูเกียรติและวรรณวลีขึ้นปราศรัย

ขณะปราศรัยมีผู้ร่วมชุมนุม 300 คน เวทีที่ใช้คือรถยนต์ให้คนขึ้นปราศรัยพร้อมกับใช้เครื่องขยายเสียง จำเลยทั้งสองมีการกล่าวโจมตีเจ้าหน้าที่ตำรวจและสถาบันกษัตริย์ โดยใช้เวลาประมาณ 20 นาที ชูเกียรติสวมเสื้อกล้ามเอวลอยสีเหลือง และวรรณวลีใส่เสื้อยืดสีดำ พยานได้ถ่ายรูปจำเลยทั้งสองไว้ การชุมนุมเสร็จสิ้นในเวลาประมาณสามทุ่ม หลังจากนั้นพยานได้จัดทำรายงานการสืบสวน ก่อนไปให้การที่ สน.บุปผาราม เมื่อวันที่ 8 ส.ค. 2564 

ช่วงทนายจำเลยถามค้าน ว่าที่พ.ต.ต.ชนิสรณ์ เบิกความโดยสรุปว่า พยานเป็นฝ่ายสืบสวนด้านความมั่นคงตั้งแต่ปี 2558-2564 ในส่วนของฝ่ายสืบสวนนั้นมีเจ้าหน้าที่หลายคนช่วยกันรวบรวมข้อมูลและถอดเทปปราศรัย ทั้งนี้ในการปราศรัยของจำเลยทั้งสอง พยานไม่ได้เป็นผู้จัดทำแต่อย่างใด

พยานรับว่าข้อความปราศรัยที่ถอดเทปออกมาตามเอกสารหลักฐานที่ปรากฏในคดีนี้ พยานไม่เคยเห็นมาก่อน แต่ทราบว่ามีเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบการถอดเทปปราศรัย ดังนั้น พยานจึงไม่แน่ใจว่าคำพูดของจำเลยในวันที่ปราศรัยตรงกับข้อความในเอกสารหรือไม่ นอกจากนี้จำเลยทั้งสองไม่ใช่ผู้จัดชุมนุม 

พยานรับว่าข้อเรียกร้องของกลุ่มผู้ชุมนุม คือการให้สถาบันกษัตริย์อยู่ใต้รัฐธรรมนูญตามระบอบประชาธิปไตย ไม่ใช่การล้มล้างการปกครองแต่อย่างใด

ร.ต.อ.จักรพงศ์ วงศ์งามใส รองสารวัตรสืบสวน สน.สมเด็จเจ้าพระยา ขณะเกิดเหตุรับราชการอยู่ที่ สน.บุปผาราม ตามวันเวลาเกิดเหตุเมื่อ 5 ธ.ค. 2563 ฝ่ายสืบสวนทราบว่ามีการนัดหมายชุมนุมทางการเมือง ที่บริเวณลานพระบรมราชานุสาวรีย์พระเจ้าตากสินมหาราช

เมื่อวันที่ 6 ธ.ค. 2563 เวลา 16.00 น. พยานได้รับมอบหมายให้เฝ้าติดตามสถานการณ์การชุมนุมทางการเมือง มีหน้าดูแลรักษาความสงบเรียบร้อยและสืบสวนหาข่าวในที่เกิดเหตุ ในระหว่างการชุมนุม กลุ่มผู้ชุมนุมได้เคลื่อนขบวนไปที่วงเวียนใหญ่ ด้วยรถยนต์ส่วนหนึ่งกับประชาชนรวมอีก 200 คน เดินตามรถเครื่องขยายเสียง

ต่อมา เจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.บุปผาราม ได้ประกาศให้ยุติการชุมนุม แต่กลุ่มผู้ชุมนุมไม่เลิกและสลับกันหมุนเวียนขึ้นปราศรัย 

เวลา 19.00 น. พยานพบเห็นชูเกียรติขึ้นปราศรัย สวมเสื้อกล้ามและกางเกงวอร์มสีแดงบนรถเครื่องขยายเสียง โดยมีหลายคนขึ้นพูดสลับกันปราศรัย ขณะที่วรรณวลีขึ้นปราศรัยต่อมาในเวลา 20.00 น. เนื้อหาการปราศรัยพูดถึงการทำงานของรัฐบาลและพาดพิงสถาบันกษัตริย์ พยานได้ส่งภาพขณะจำเลยทั้งสองขึ้นปราศรัย และสื่อสารเหตุการณ์การชุมนุมผ่านช่องทางวิทยุกับชุดสืบสวน 

หลังเสร็จสิ้นการชุมนุม พยานได้มีส่วนร่วมในการถอดเทปจำเลยทั้งสอง ก่อนส่งบันทึกการสืบสวนและรายละเอียดคำปราศรัยให้พนักงานสอบสวน 

ช่วงทนายจำเลยถามค้าน ร.ต.อ.จักรพงศ์ เบิกความว่าจากพยานหลักฐานไม่ปรากฎว่าจำเลยทั้งสองเป็นผู้จัดหรือแกนนำ 

ระหว่างการปราศรัย ชูเกียรติได้กล่าวโจมตี พล.อ.ประยุทธ์ และการบริหารของรัฐบาล พูดถึงปัญหาเศรษฐกิจและความเดือดร้อนของประชาชน เรียกร้องให้มีรัฐสวัสดิการ โดยไม่ได้มีการใช้ความรุนแรงขณะชุมนุมแต่อย่างใด

พยานเคยติดตามการเคลื่อนไหวของกลุ่มคณะราษฎรมาก่อน ทราบว่ามีการเสนอข้อเรียกร้อง 3 ข้อ 1. ให้พล.อ.ประยุทธ์ลาออก 2. ร่างรัฐธรรมนูญใหม่ 3. ปฎิรูปสถาบันกษัตริย์ 

ในการถอดเทปคำปราศรัย พยานไม่ได้ทำคนเดียว แต่มีการแบ่งหน้าที่กันกับเจ้าหน้าที่คนอื่น ก่อนค่อยนำข้อมูลมารวมกัน

พนักงานสอบสวนระบุมีความเห็นสั่งฟ้อง ม.112 การปราศรัยของจำเลยเป็นการดูหมิ่น แสดงอาฆาดมาดร้ายต่อกษัตริย์   

ร.ต.อ.วสันต์ดิลก คำโสภา ขณะเกิดเหตุเป็นรองสารวัตรสอบสวน สน.บุปผาราม มีหน้าที่สืบสวนคดีอาญาตามกฎหมาย

พยานเบิกความว่า เมื่อวันที่ 27 ธ.ค. 2563 จักรพงศ์ กลิ่นแก้ว ได้มาร้องทุกข์ดำเนินคดีกับจำเลยทั้งสองคนในความผิดตามมาตรา 112 ก่อนที่กองบังคับการตำรวจนครบาล 8 ได้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะพนักงานสอบสวน โดยมีพยานอยู่ในคณะทำงานดังกล่าว

พยานได้ร่วมกันสอบสวนพยานทุกคนที่มาให้การในชั้นศาลของคดีนี้ โดยการสอบปากคำนักวิชาการภาษาไทยจากมหาวิทยาลัยราชภัฏธนบุรี ได้ความว่า การปราศรัยของจำเลยทั้งสองเป็นการหมิ่นประมาท รวมถึงประชาชนทั่วไปที่พบเห็นถ้อยคำดังกล่าวก็มองว่าเป็นการหมิ่นประมาท แสดงความอาฆาตมาดร้ายต่อพระมหากษัตริย์เช่นกัน

ต่อมา เมื่อวันที่ 11 ม.ค. 2564 พยานได้เรียกจำเลยทั้งสองมาเพื่อสอบปากคำ โดยมีทนายเข้าร่วมในกระบวนการ จำเลยทั้งสองให้การปฎิเสธตลอดข้อกล่าวหาและไม่ได้ลงมือลายชื่อเอาไว้ จากการรวบรวมพยานหลักฐาน คณะพนักงานสอบสวนได้มีความเห็นควรสั่งฟ้องจำเลยทั้งสอง 

ช่วงทนายจำเลยถามค้าน ร.ต.อ.วสันต์ดิลก เบิกความโดยสรุปว่า ส่วนตัวไม่ทราบว่า จักรพงศ์ กลิ่นแก้วเป็นสมาชิกกลุ่ม ศปปส. หรือไม่ รวมถึงไม่ทราบว่ากลุ่มดังกล่าวจะสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หรือไม่

ส่วนพยานบุคคลทั่วไปอีกสองคนที่พนักงานสอบสวนเชิญมาให้ความเห็น จะเป็นสมาชิกกลุ่มปกป้องสถาบันฯ หรือมีความเชื่อทางการเมืองอย่างไรนั้น พยานไม่ทราบ อีกทั้งจักรพงศ์จะเป็นผู้มอบซีดีและเอกสารให้คณะพนักงานสอบสวนหรือไม่ พยานก็ไม่ทราบ เนื่องจากไม่ได้สอบสวนเอง

พยานรับว่ามีการดึงข้อความปราศรัยที่เน้นย้ำไว้บางข้อความ โดยจักรพงศ์เป็นผู้ขีดเน้นข้อความด้วยตัวเอง ซึ่งเห็นว่าเป็นคำพูดดูหมิ่นหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ แม้จำเลยที่ 1 ไม่ได้มีการเอ่ยพระนาม แต่มีการใช้คำว่า “ท่าน” ที่แสดงถึงพระมหากษัตริย์ ซึ่งต้องมีการตีความ ทั้งนี้ พยานคนอื่นไม่ได้มอบหลักฐานใดๆ ไว้

“ตี้” เบิกความ การวิจารณ์ทรัพย์สินงบประมาณสามารถทำได้ในระบอบประชาธิปไตย ย้ำรัฐบาล-กลุ่มศปปส. ไม่ควรดึงสถาบันลงมายุ่งเกี่ยวการเมืองให้เสื่อมเสีย   

วรรณวลี ธรรมสัตยา นักศึกษาสาขาชีวอนามัยและความปลอดภัย มหาวิทยาลัยพะเยา และยังศึกษาที่คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง

เกี่ยวกับคดีนี้ วรรณวลีเบิกความว่าเมื่อปี 2563 ได้มีการชุมนุมของกลุ่มราษฎร และทางนักศึกษามหาวิทยาลัยพะเยาจัดม็อบดาวกระจายในชื่อ ‘กลุ่มฟ้ามุ่ยไม่เอาเผด็จการ’ โดยมีวัตถุประสงค์ให้ พล.อ.ประยุทธ์ ลาออก และแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยตนได้เข้าไปเข้าร่วมเนื่องจากสนใจในทางการเมือง

วรรณวลีเห็นว่า พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกฯ ที่มาจากการรัฐประหาร และมีวุฒิสภา 250 เสียง ที่มาจากการแต่งตั้งเอง มีสิทธิเลือกนายกฯ ได้ ซึ่งประเทศที่เป็นประชาธิปไตยไม่ควรเป็นเช่นนั้น ส่วนในประเด็นเรื่องการการปฎิรูปสถาบันกษัตริย์ ตนมองว่า “การปฎิรูป” หมายถึงทำให้ดีขึ้น เพื่อให้สถาบันกษัตริย์อยู่กับประชาชนคนไทย

เกี่ยวกับถ้อยคำปราศรัยจากการที่พยานติดตามข่าวการเมืองมาพบว่า คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้สร้างหน่วยงานพิเศษที่ตรวจสอบไม่ได้ในส่วนราชการในพระองค์ และออกพระราชกฤษฎีกาจัดระเบียบราชการและการบริหารงานบุคคลของราชการในพระองค์ พ.ศ. 2560 (พ.ร.ฎ.จัดระเบียบบริหารราชการในพระองค์ฯ) ซึ่งจะกระทบกับสถาบันกษัตริย์

ช่วงต้นของการปราศรัย พยานได้พูดถึงเรื่องจอมทัพไทย เนื่องจากเมื่อวันที่ 17 พ.ย. 2563 มีการชุมนุมที่แยกเกียกกาย เกิดเหตุปะทะของกลุ่มราษฎรและกลุ่มคนเสื้อเหลือง เจ้าหน้าที่ใช้ปืนยิงและฉีดน้ำผสมแก๊สน้ำตาใส่กลุ่มราษฎร วันนั้นพยานไปร่วมชุมนุมแล้วเห็นเหตุการณ์ดังกล่าว แต่ด้านกลุ่มเสื้อเหลืองไม่ได้ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจทำร้ายแต่อย่างใด  

ในวันดังกล่าว พยานเห็นคนใส่เสื้อเหลืองและเจ้าหน้าที่อ้างว่าตนทำเพื่อปกป้องสถาบันกษัตริย์ ทำให้พยานเข้าใจได้ว่าคนกลุ่มนี้ต้องการจะดึงพระมหากษัตริย์ลงมาเกี่ยวกับการเมืองและความขัดแย้ง ที่สำคัญก่อนที่ พล.อ.ประยุทธ์ จะมาเป็นนายกรัฐมนตรี ได้ดำรงตำแหน่งทางการทหาร โดยมักอ้างว่าจะปกป้องสถาบันกษัตริย์ คำพูดนี้ทำให้ประชาชนเข้าใจได้ว่าไม่ว่าจะกระทำความผิดใดก็คือการปกป้องสถาบันกษัตริย์ ซึ่งเป็นการดึงสถาบันลงมาให้เสื่อมเสีย

วรรณลียืนยันว่าการปราศรัยคือต้องการส่งเสียงไปถึงในหลวงรัชกาลที่ 10 ไม่ได้มีเจตนาหมิ่นประมาทและมั่นใจว่าไม่ได้มีความอาฆาตมาดร้ายต่อพระมหากษัตริย์ ที่พูดออกไปเพราะคิดว่าสามารถพูดได้

ส่วนประเด็นเรื่องการรับรองการรัฐประหาร พยานมองว่าคือการยุ่งเกี่ยวทางการเมือง เพราะมี คสช. และรัฐธรรมนูญชั่วคราวให้เซ็นรับรอง หากพระมหากษัตริย์ไม่ลงนาม การรัฐประหารก็จะไม่สำเร็จ ซึ่งในระบอบประชาธิปไตยนั้น กษัตริย์จะไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมือง แต่เป็นที่เคารพสักการะ 

พยานเห็นว่า การรัฐประหารหมายถึงการล้มล้างการปกครอง และมีการมัดมือชกให้พระมหากษัตริย์ลงพระปรมาภิไธย พยานมองว่า กษัตริย์ไม่ควรลงพระปรมาภิไธย เพราะไม่สามารถควบคุมพฤติกรรมของบุคคลเหล่านั้นได้ 

นอกจากนี้ วรรณวลีเบิกความว่าในระบอบประชาธิปไตย การวิพากษ์วิจารณ์ทรัพย์สินพระมหากษัตริย์สามารถพูดถึงได้ และบอกให้ผู้ที่มีอำนาจไม่ทำให้สถาบันกษัตริย์เสื่อมเสีย ถือว่าเป็นไปตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข เท่าที่พยานศึกษามาทั่วโลกสามารถพูดถึงภาษีและงบประมาณสถาบันได้

วรรณวลีเบิกความต่ออีกว่า กลุ่มคนที่อ้างว่าปกป้องสถาบันฯ มีตรา สวมเสื้อเหลือง กลุ่มบุคคลเหล่านี้เป็นภัยต่อสถาบันกษัตริย์ เพราะมักจะกระทำความผิดโดยอ้างว่าปกป้องสถาบันกษัตริย์

ช่วงอัยการโจทก์ถามค้าน วรรณวลีเบิกความโดยสรุปว่า ตามหลักแล้วกษัตริย์ไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับการเมือง และพยานก็ไม่ได้ต้องการให้สถาบันฯ เสื่อมเสีย อย่างไรก็ตามในความเห็นของพยาน อดคิดไม่ได้ว่า พล.อ.ประยุทธ์ นั้นแอบอ้างสถาบันกษัตริย์ ทำให้สถาบันเสื่อมเสีย

เหตุผลที่พยานต้องพูดเพราะว่า พล.อ.ประยุทธ์ จะใช้มาตรา 112 ตั้งใจจะดึงสถาบันฯ ลงมา ทำให้เข้าใจได้ว่าสถาบันกษัตริย์กำลังชักใยอยู่เบื้องหลัง แต่ความจริงคือประยุทธ์แอบอ้างสถาบันฯ ในถ้อยคำปราศรัยของพยานหมายถึงสิ่งนี้ 

“จัสติน” เบิกความเห็นด้วยกับ 3 ข้อเรียกร้อง สาเหตุที่ขึ้นปราศรัยเพราะต้องการวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาล ไม่ได้พาดพิงถึงสถาบันฯ

ชูเกียรติ แสงวงค์ ประกอบอาชีพธุรกิจส่วนตัว รับซื้อของเก่า เกี่ยวกับคดีนี้ เมื่อกลางปี 2563 มีการเคลื่อนไหวของนักศึกษาและประชาชน จัดชุมนุมทางการเมืองเป็นจำนวนมาก สาเหตุที่พยานเข้าร่วมด้วยเพราะครอบครัวได้รับผลกระทบและไม่เห็นด้วยกับรัฐประหาร 

พยานได้เข้าร่วมชุมนุมในฐานะมวลชนอิสระ ซึ่งกลุ่มราษฎรเสนอข้อเรียกร้อง 3 ข้อ ซึ่งพยานเห็นด้วย ได้แก่ ให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ลาออก เพราะมาจากการทำรัฐประหารและบริหารเศรษฐกิจบ้านเมืองทำให้ประชาชนเกิดผลกระทบเป็นวงกว้าง เดือดร้อนทั้งเรื่องปากท้องและสวัสดิการ 

ในประเด็นเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ พยานเห็นด้วยเพราะเห็นว่าต้องแก้ไขรัฐธรรนูญที่เป็นอยู่ ที่มาจากการรัฐประหาร โดยเสนอร่างรัฐธรรมนูญฉบับประชาชนเข้าสู่สภา  

ส่วนเรื่องการปฎิรูปสถาบันกษัตริย์ ตั้งแต่รัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์ มีเรื่องการโยกย้ายทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ทำให้ตรวจสอบไม่ได้ และมีการแก้กฎหมายกำลังพล โดยโอนกำลังพลไปในส่วนพระองค์ รวมไปถึง พ.ร.ฎ.จัดระเบียบบริหารราชการในพระองค์ฯ ซึ่งทำให้ส่วนราชการในพระองค์ไม่สามารถตรวจสอบได้ และยังมี พ.ร.บ.จัดระเบียบบริหารราชการในพระองค์ พ.ศ. 2560 โดย พล.อ.ประยุทธ์ เป็นผู้ลงนามนั้น ถือเป็นการขัดต่อหลักประชาธิปไตย

ในวันที่ 6 ธ.ค. 2563 พยานเป็นผู้เข้าร่วมชุมนุม แต่ผู้จัดได้เชิญพยานร่วมปราศรัยด้วยในหัวข้อ #ใครฆ่าพระเจ้าตาก พยานจึงได้ขึ้นปราศรัยในเรื่องการบริหารจัดการโควิด-19, การทหาร, รัฐสวัสดิการ รวมถึงมีการพูดเรื่องปฎิรูปสถาบันกษัตริย์ โดยพยานอยากให้สถาบันกษัตริย์อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ สามารถตรวจสอบได้ 

ในการปราศรัยใครฆ่าพระเจ้าตาก เป็นการปราศรัยจากเนื้อหาทางประวัติศาสตร์ที่พยานศึกษาและยังมีการถกเถียงกันอยู่ในปัจจุบันว่าพระเจ้าตากสินเสียชีวิตด้วยสาเหตุใด 

ต่อมาในประเด็นเรื่องยาเสพติด มีข่าวออกมาว่ามีการขนยาเสพติดผ่านถ้ำหลวงขุนน้ำนางนอน พยานจึงปราศรัยโดยมีเจตนาต้องการสื่อว่า มีครอบครัวใกล้ชิดสถาบันกษัตริย์ นำสถาบันกษัตริย์มาอ้างในเรื่องที่ไม่ดี อาจจะเป็นตำรวจหรือนายทหารที่เข้ามาพัวพันยาเสพติด โดยมีการปั้มเม็ดยาเสพติดตรา 999 เป็นสัญลักษณ์ ซึ่งแสดงว่าเป็นครอบครัวที่ใกล้ชิดกับสถาบันฯ และนำมาแอบอ้าง เมื่อถูกจับกุมแล้วจะไม่ถูกดำเนินคดี ในที่นี้พยานไม่ได้หมายถึงในหลวงรัชกาลที่ 10 แต่อย่างใด 

ต่อมา เรื่องการส่งมือที่สามมาทำร้ายผู้ชุมนุม พยานหมายถึง พล.อ.ประยุทธ์ สืบเนื่องมาจากเหตุการณ์วันที่ 17 พ.ย. 2563 มีการชุมนุมหน้ารัฐสภาแยกเกียกกาย และมีการจัดม็อบชนม็อบ ในส่วนของม็อบราษฎรไม่สามารถไปยังรัฐสภาได้ เนื่องจากถูกปิดกั้นทางเข้า ผู้ชุมนุมโดนฉีดน้ำแรงดันสูงและแก๊สน้ำตา

ในส่วนที่พยานวิพากษ์วิจารณ์เรื่องการแต่งกาย พยานต้องการสื่อว่าชุดครอปท็อปนั้นสามารถใส่ไปเดินที่ไหนก็ได้ ใครก็สามารถใส่ได้ ที่พยานพูดปราศรัยเพราะมีเยาวชนอายุ 17 ปี ถูกดำเนินคดีที่ศาลเยาวชนฯ จากการใส่ชุดครอปท็อปเดินแฟชั่นโชว์ที่ถนนสีลม

โดยภาพรวมทั้งหมดที่พยานปราศรัย ไม่ได้เป็นการดูหมิ่นในหลวงรัชกาลที่ 10 จำเป็นต้องพิจารณาโดยรวม ไม่ใช่ดึงแค่เนื้อหาส่วนใดส่วนหนึ่งออกมากล่าวหาพยาน

ช่วงอัยการโจทก์ถามค้าน ชูเกียรติเบิกความถามค้านโดยสรุปว่า ก่อนจะมีการชุมนุม ตนทราบหัวข้อการชุมนุมอยู่แล้ว โดยไปร่วมกิจกรรมในฐานะผู้ชุมนุมปกติ และถ้อยคำปราศรัย คือการหาข้อเท็จจริงในประวัติศาสตร์และยังไม่ได้ข้อสรุป 

นอกจากนี้พยานได้ปราศรัยโจมตีรัฐบาลจากการรับรู้ข้อมูลแหล่งข่าวต่างๆ ซึ่งพยานเห็นว่าสื่อเหล่านั้นผ่านการคัดกรองมาแล้ว และตรงกับข้อเท็จจริงที่สัมผัสได้

ผู้จัดการ iLaw ชี้ยุคสภา สนช. ออกกฎหมายขยายขอบเขตพระราชอำนาจกษัตริย์ ไม่สามารถตรวจสอบได้-ให้เป็นไปตามพระราชอัธยาศัย

ยิ่งชีพ อัชฌานนท์ เบิกความว่า ตนจบปริญญาตรีคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ก่อนทำงานที่ โครงการอินเตอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชน (iLaw) ซึ่งเป็นองค์กรพัฒนาเอกชนโดยไม่แสวงหาผลกำไร ตั้งแต่ปี 2557 จนถึงปัจจุบัน 

งานของ iLaw คือการติดตามกฎหมายที่ออกโดยสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ก่อนเผยแพร่ให้ประชาชนได้รับรู้ นอกจากนี้ยังมีศูนย์ข้อมูลกฎหมายสิทธิและเสรีภาพ ซึ่งติดตามการบังคับใช้กฎหมาย ให้ความเห็นในทางกฎหมาย เช่น การใช้ประกาศคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.), พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ และอื่นๆ 

จากการติดตามดังกล่าว iLaw พบว่ามีการทำประชามติรัฐธรรมนูญในปี 2560 ประกอบกับ พล.อ.ประยุทธ์ ได้ให้สัมภาษณ์ทำนองว่า ในหลวงรัชกาลที่ 10 มีรับสั่งให้แก้ไขรัฐธรรมนูญในบางประเด็น ซึ่งเป็นหมวดที่เกี่ยวข้องกับพระมหากษัตริย์ ซึ่งขณะนั้นยังไม่ได้มีการประกาศใช้ 

ทั้งนี้ ยิ่งชีพเบิกความว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญนั้น ไม่มีช่องทางตามกฎหมายใดที่สามารถทำได้ โดยไม่ผ่านประชามติ ซึ่ง มีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานร่างรัฐธรรมนูญ ก็บอกไว้ว่า โดยหลักการแล้วไม่สามารถแก้ไขได้ อย่างไรก็ตาม สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ได้ทำการแก้รัฐธรรมนูญชั่วคราวปี 2557 เพื่อเปิดช่องทางให้แก้ไขรัฐธรรมนูญที่ผ่านประชามติ มีการแก้ไขในหลายประเด็นเกี่ยวกับพระมหากษัตริย์ เป็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญตามข้อสังเกตพระราชทาน 

ตัวอย่างเช่น มาตรา 16 เดิมซี่งฉบับผ่านประชามติ ระบุว่า “ในเมื่อพระมหากษัตริย์จะไม่ประทับอยู่ในราชอาณาจักร หรือจะทรงบริหารพระราชภาระไม่ได้ด้วยเหตุใดก็ตาม จะได้ทรงแต่งตั้งผู้ใดผู้หนึ่งเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ และให้ประธานรัฐสภาเป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ” 

แต่ฉบับใหม่ที่ประกาศใช้ มีการแก้ไขว่า “ในเมื่อพระมหากษัตริย์จะไม่ประทับอยู่ในราชอาณาจักร หรือจะทรงบริหารพระราชภาระไม่ได้ด้วยเหตุใดก็ตาม จะทรงแต่งตั้งบุคคลหนึ่งหรือหลายคนเป็นคณะขึ้น ให้เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์หรือไม่ก็ได้ และในกรณีที่ทรงตั้งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ให้ประธานรัฐสภาเป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ”

และมาตรา 5 ที่เดิมกำหนดไว้ว่า “เมื่อไม่มีบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้บังคับแก่กรณีใด ให้กระทำการนั้นหรือวินิจฉัย กรณีนั้นไปตามประเพณีการปกครองประเทศไทยในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

“เมื่อมีกรณีตามวรรคสองเกิดขึ้น ให้ประธานศาลรัฐธรรมนูญจัดให้มีการประชุมร่วม ระหว่างประธานสภาผู้แทนราษฎร ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร ประธานวุฒิสภา นายกรัฐมนตรี ประธานศาลฎีกา ประธานศาลปกครองสูงสุด ประธานศาลรัฐธรรมนูญ และประธานองค์กรอิสระ เพื่อวินิจฉัย

“ในการประชุมร่วมตามวรรคสาม ให้ที่ประชุมเลือกกันเองให้คนหนึ่งทำหน้าที่ ประธานในที่ประชุมแต่ละคราว ในกรณีที่ไม่มีผู้ดำรงตำแหน่งใด ให้ที่ประชุมร่วมประกอบด้วยผู้ดำรงตำแหน่งเท่าที่มีอยู่

“การวินิจฉัยของที่ประชุมร่วมให้ถือเสียงข้างมาก ถ้าคะแนนเสียงเท่ากัน ให้ประธานในที่ประชุมออกเสียงเพิ่มขึ้นอีกเสียงหนึ่งเป็นเสียงชี้ขาดคำวินิจฉัยของที่ประชุมร่วมให้เป็นที่สุด และผูกพันรัฐสภา คณะรัฐมนตรี ศาล องค์กรอิสระ และหน่วยงานของรัฐ”

อย่างไรก็ตาม รัฐธรรมนูญที่ฉบับแก้ไขและประกาศใช้ระบุว่า “เมื่อไม่มีบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้บังคับแก่กรณีใด ให้กระทำการนั้นหรือวินิจฉัย กรณีนั้นไปตามประเพณีการปกครองประเทศไทยในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข”

หลังมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญแล้ว สนช. ยังได้ออกกฎหมายเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งเปลี่ยนการบริหารงานในราชการส่วนพระองค์ด้วย โดยหลังรัฐธรรมนูญฉบับนี้บังคับใช้เมื่อวันที่ 6 เม.ย. 2560 สนช.ได้ออก พ.ร.บ.จัดระเบียบบริหารราชการในพระองค์ พ.ศ.2560 เพื่อให้สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญ มาตรา 15 พร้อมกับ พล.อ.ประยุทธ์ ได้ออกพระราชกฤษฎีกาอีกฉบับในเรื่องดังกล่าว 

โดยสรุปคือ กฎหมายทั้ง 3 ฉบับ ได้แก่ รัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 15, พระราชบัญญัติจัดระเบียบบริหารราชการในพระองค์ 2560 และ พ.ร.ฎ.จัดระเบียบบริหารราชการในพระองค์ฯ ให้อำนาจพระมหากษัตริย์ใช้อำนาจจัดระเบียบบริหารราชการในพระองค์และบริหารงานบุคคล ให้แต่งตั้งบุคคลตามพระราชอัธยาศัย ไม่ได้มีสถานะเป็นหน่วยงานรัฐหรือสามารถตรวจสอบได้

นอกจากนี้ทาง iLaw ได้เขียนบทความเปรียบเทียบ พ.ร.บ.จัดระเบียบทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ ทั้ง 4 ฉบับ ตั้งแต่ในอดีตจนถึงปัจจุบัน ทำให้พระมหากษัตริย์มีอำนาจจัดการทรัพย์สินได้มากขึ้น และไม่ชัดเจนว่าตรวจสอบได้หรือไม่

ทั้งนี้ สนช. ที่ตั้งโดยรัฐบาลประยุทธ์ ได้ใช้ พ.ร.ก.โอนอัตรากำลังพลฯ กำหนดอัตรากำลังพลบางส่วน การออกกฎหมายดังกล่าวส่งผลให้กองทหารขนาดใหญ่ คือกรมทหารราบที่ 1 กรมมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ ไปเป็นราชการในส่วนพระองค์ เป็นหน่วยงานพิเศษตรวจสอบไม่ได้ ในเรื่องการใช้จ่ายงบประมาณ การแต่งตั้งราชการก็เป็นไปตามพระราชอัธยาศัยทั้งหมด กล่าวคือทำให้มีกองกำลังทหารขึ้นตรงกับองค์พระมหากษัตริย์ แต่ไม่ขึ้นตรงกับกระทรวงกลาโหม

จากการติดตามทำข้อมูล การที่รัฐบาลจัดสรรงบประมาณไปที่หน่วยงานใด ต้องมีการออกเป็น พ.ร.บ. เสมอ ในยุคของสภา สนช. พบว่ามีการจัดสรรงบประมาณมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้งบประมาณเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ ทั้งหมดนี้ชี้ให้เห็นว่า การทำงานของ สนช. เป็นไปในทางการขยายพระราชอำนาจให้กษัตริย์ แตกต่างจากยุคอดีต น่ากังวลว่าจะทำให้เกินขอบเขตของระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขหรือไม่ 

ในปี 2563 จึงส่งผลให้เกิดการชุมนุมของคนรุ่นใหม่ เรียกร้องให้ พล.อ.ประยุทธ์ ลาออก, แก้ไขรัฐธรรมนูญ และเรียกร้องการปฎิรูปสถาบันกษัตริย์

นอกจากนี้ ในส่วนการบังคับใช้มาตรา 112 พบว่าสถิติคดีผกผันตามสถานการณ์การเมืองขณะนั้นๆ ตัวอย่างเช่น ในการชุมนุมและสลายการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง มีการใช้มาตรา 112 ดำเนินคดีเป็นจำนวนมาก และก็มีการหยุดใช้ไปในช่วงปี 2561 

อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 19 พ.ย. 2563 พล.อ.ประยุทธ์ ได้ออกแถลงการณ์ว่าจะบังคับใช้กฎหมายทุกมาตรา จึงได้พบว่าเริ่มมีการนำมาตรา 112 กลับมาใช้กล่าวหา สถิติคดีพุ่งสูงทันทีและต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน พบว่าเป็นช่วงที่มีจำนวนคดีสูงที่สุดในประวัติศาสตร์เท่าที่บันทึกมา

X