บันทึกคดี #คาร์ม็อบเพชรบูรณ์ ก่อนพิพากษา จำเลยรับข้อหาดูหมิ่นเจ้าพนักงาน แต่ต่อสู้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ชี้ไม่ได้เสี่ยงโรค

ในวันที่ 27 เม.ย. 2566 เวลา 9.00 น. ศาลจังหวัดเพชรบูรณ์นัดฟังคำพิพากษาในคดีของศุภวิทษ์ ประสินทอง นักกิจกรรมวัย 24 ปี ถูกฟ้องในคดีร่วมกิจกรรมคาร์ม็อบเพชรบูรณ์ “ลบรอยรถถังเผด็จการ ด้วยขบวนรถประชาชน” ในข้อหาฝ่าฝืนข้อกำหนดตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ, ดูหมิ่นเจ้าพนักงาน และใช้เครื่องขยายเสียงโดยไม่ได้อนุญาต

สำหรับคดีที่เกิดขึ้นเป็นการจัดคาร์ม็อบในจังหวัดเพชรบูรณ์เป็นครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 19 ก.ย. 2564 ที่ถนนหน้าองค์พระพุทธมหาธรรมราชา ไปยังบริเวณลานจอดรถหน้าค่ายพ่อขุนผาเมือง เท่าที่ทราบข้อมูล ไม่มีผู้จัดหรือผู้เข้าร่วมจากการจัดคาร์ม็อบเพชรบูรณ์ครั้งแรกเมื่อวันที่ 1 ส.ค. 2564 ถูกดำเนินคดีแต่อย่างใด จนกระทั่งการจัดครั้งที่ 2 ในโอกาสครบรอบ 15 ปี การรัฐประหาร 19 ก.ย. 2549 นี้ กลับมีผู้ถูกออกหมายเรียกและดำเนินคดี 1 ราย

หลังจากศุภวิทษ์ได้รับหมายเรียก เขาได้เข้ารับทราบข้อกล่าวหาที่ สภ.เมืองเพชรบูรณ์ เมื่อวันที่ 24 พ.ย. 2564 จากนั้นวันที่ 19 ก.ย. 2565 หลังผ่านไปครบ 1 ปีของการชุมนุม พนักงานอัยการได้ยื่นฟ้องคดีที่ศาลจังหวัดเพชรบูรณ์

ศาลสืบพยานทั้งโจทก์และจำเลยไปเมื่อวันที่ 16-17 มี.ค. 2566 พนักงานอัยการนำพยานโจทก์เข้ามาเบิกความจำนวน 5 ปากได้แก่ ตำรวจผู้กล่าวหา, ตำรวจผู้เสียหายในคดีดูหมิ่นเจ้าพนักงาน, ตำรวจผู้ถ่ายรูปและบันทึกวิดีโอในเหตุการณ์ และคนสุดท้ายคือพนักงานสอบสวนในคดี และฝ่ายจำเลยสืบพยาน 1 ปาก โดยจำเลยอ้างตนเป็นพยาน

พฤติการณ์ในคดีนี้ นอกจากข้อกล่าวหาเรื่องการเข้าร่วมชุมนุมที่ทำให้เกิดความเสี่ยงต่อการแพร่โควิด-19 เหมือนกับกิจกรรมคาร์ม็อบในอีกหลายจังหวัด โดยที่เขาเองก็ไม่ได้เป็นผู้จัดคาร์ม็อบครั้งนี้ เป็นแต่เพียงผู้เข้าร่วม ศุภวิทษ์ยังถูกกล่าวหาว่าได้เข้าไปด่าทอเจ้าหน้าที่ตำรวจสืบสวนที่นั่งอยู่ภายในรถ และกำลังทำการถ่ายภาพผู้ชุมนุม ทำให้ถูกกล่าวหาเรื่องการดูหมิ่นเจ้าพนักงานเพิ่มด้วย

.

.

จำเลยรับสารภาพข้อหาดูหมิ่นเจ้าพนักงานและใช้เครื่องเสียง แต่ยืนยันต่อสู้ไม่ผิด พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ

ก่อนเริ่มการสืบพยาน ผู้พิพากษาเจ้าของสำนวนคดีได้สอบถามจำเลยและทนายความอีกครั้งว่ายังยืนยันจะให้การปฏิเสธและต่อสู้คดีในส่วนข้อกล่าวหาดูหมิ่นเจ้าพนักงานและข้อหาใช้เครื่องเสียงโดยไม่ได้รับอนุญาตหรือไม่ เนื่องจากเห็นว่าพยานหลักฐานที่เป็นวิดีโอบันทึกเหตุการณ์นั้นมีความชัดเจนมากพอสมควร และถ้อยคำที่จำเลยได้กล่าวนั้นก็เข้าข่ายเรื่องการดูหมิ่น

หลังจากฝ่ายจำเลยได้ขอเวลาปรึกษากัน จำเลยได้ตัดสินใจให้การรับสารภาพในข้อกล่าวหาทั้งสอง และทนายจำเลยแถลงว่า จำเลยและเจ้าหน้าที่ตำรวจมีเหตุกระทบกระทั่งต่อกันมาก่อน จำเลยจึงได้พูดออกไปเช่นนั้น แต่ยังยืนยันว่าจะต่อสู้ในข้อกล่าวหา พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ศาลจึงได้บันทึกเรื่องการกลับคำให้การเป็นรับสารภาพในสองข้อกล่าวหาพร้อมคำแถลงไว้ ก่อนจะเริ่มการสืบพยานในข้อกล่าวหาที่ยังต่อสู้คดี โดยจำเลยได้กล่าวขอโทษพยานโจทก์ที่เป็นผู้เสียหาย ซึ่งผู้เสียหายก็ไม่ได้ติดใจ

ในการสืบพยาน พยานโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งห้าปากเบิกความตรงกันว่า ไม่ทราบว่าใครเป็นแกนนำในการจัดกิจกรรมคาร์ม็อบครั้งนี้ และไม่มีพยานหลักฐานว่าจำเลยเป็นผู้จัดการชุมนุม หรือเป็นแอดมินเพจ “คณะเพชรบูรณ์ปลดแอก” และ “สหพันธ์นักเรียนเพชรบูรณ์” ที่ประกาศจัดกิจกรรมครั้งนี้

ขณะเดียวกัน พยานโจทก์ยังรับว่าการชุมนุมนั้นเกิดในที่โล่ง แม้จะมีการปราศรัยเป็นช่วงๆ แต่ก็ไม่ได้เกิดการทำร้ายร่างกายหรือพบว่ามีผู้ชุมนุมพกอาวุธเข้ามาในที่ชุมนุม แม้ผู้ชุมนุมยืนห่างกันไม่มาก แต่ทุกคนสวมหน้ากากอนามัยอยู่ตลอด ยกเว้นจำเลย และเป็นการชุมนุมโดยสงบ หลังกิจกรรมไม่พบว่ามีผู้ใดติดเชื้อโควิด-19 และไม่มีการร้องเรียนมาว่ามีผู้ได้รับความเดือดร้อนจากการชุมนุมครั้งนี้

.

.

ปากคำ 5 พยานโจทก์ ตำรวจผู้ติดตามการชุมนุม-พนักงานสอบสวน

พยานโจทก์ปากที่ 1 พ.ต.ท.อดิศร สมานทร ขณะเกิดเหตุเป็นสารวัตรสืบสวน สภ.เมืองเพชรบูรณ์ เบิกความโดยสรุปว่า ก่อนเกิดเหตุ ในวันที่ 17 ก.ย. 2564 พยานได้รับคำสั่งว่าจะมีมวลชนมาชุมนุม จึงให้จัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการเฝ้าระวังกลุ่มคนที่จะก่อความไม่สงบในบ้านเมือง และตนมีหน้าที่เป็นผู้รับผิดชอบ ต่อมาในวันที่ 19 ก.ย. 2564 วันเกิดเหตุ เจ้าหน้าที่เกือบ 30 นาย ได้เดินทางไปเฝ้าระวังเหตุการณ์ตามคำสั่ง โดยพยานเดินทางด้วยรถยนต์เจ้าหน้าที่ และแต่งกายนอกเครื่องแบบ ภารกิจเพื่อสืบสวนหาข่าวในพื้นที่ชุมนุม จากนั้นเมื่อเริ่มถึงเวลานัดหมาย บุคคลแรกๆ ที่มาถึงเป็นชายใส่เสื้อสีขาว กางเกงยีนส์ รองเท้าแตะ ไม่ได้สวมใส่หน้ากากอนามัย ซึ่งคือจำเลยในคดีนี้

ในขณะเจ้าหน้าที่ได้ทำการเตือนให้กลุ่มผู้ชุมนุมสวมใส่หน้ากากอนามัย ไม่นาน พ.ต.ท.ณัฐวุฒิ บางเขียว ได้รายงานว่ามีชายคนดังกล่าวเข้ามาที่รถของเจ้าหน้าที่ และเริ่มก่อความไม่สงบ ตอนนั้นพยานไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ จึงไม่ทราบรายละเอียด แต่พอทราบว่ามีการด่าทอกัน จากนั้น พยานเห็นว่าจำเลยขึ้นท้ายรถกระบะไป ในมือถือโทรโข่ง แต่พยานไม่ทราบว่าผู้ใดคือปราศรัย ขณะเคลื่อนขบวนก็ไม่ได้ยินว่าจำเลยพูดอะไร

เหตุผลที่มีการกล่าวหากับจำเลย เพราะว่าจำเลยไม่สวมใส่หน้ากากอนามัย เป็นการฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ซึ่งขณะนั้นมีการแพร่กระจายของเชื้อโควิด–19 ที่รุนแรง อีกทั้งในตอนที่จำเลยมาชุมนุมก็เกิดเหตุไม่สงบ ทั้งนี้เหตุที่สามารถยืนยันตัวจำเลยได้ เนื่องจากจำเลยไม่ได้สวมใส่หน้ากากอนามัย ทั้งที่เจ้าหน้าที่ทำการแจ้งเตือนแล้ว แต่จำเลยก็ไม่ปฏิบัติตามคำสั่ง

.

พยานโจทก์ปากที่ 2 พ.ต.ท.ณัฐวุฒิ บางเขียว ขณะเกิดเหตุรับตำแหน่งสารวัตรสืบสวน สภ.เมืองเพชรบูรณ์ โดยสรุปพยานไม่ได้ทราบอะไรเกี่ยวกับจำเลย พยานไปที่ชุมนุมเพราะได้รับคำสั่งให้เป็นเจ้าหน้าที่เฝ้าระวัง และรักษาความสงบเรียบร้อย แต่ได้ถูกจำเลยมาเคาะรถที่นั่งอยู่และด่าทอ หลังขบวนเคลื่อนตัวออกจากลานพระใหญ่ พยานจึงไปรายงานกับเจ้าหน้าที่สืบสวนที่รักษาความสงบบริเวณนั้น

ต่อมาทนายจำเลยถามค้านว่า พยานติดตามสถานการณ์แค่ตอนช่วงเริ่มจัดการชุมนุมใช่หรือไม่ พยานก็เบิกความว่า ใช่ แค่ช่วงบริเวณลานพระพุทธมหาธรรมราชาฯ ทนายจึงถามต่อว่า แต่ลักษณะของการชุมนุมแบบนี้นั้น เป็นการขับรถส่วนตัวกันเป็นขบวนใช่หรือไม่ และผู้ชุมนุมก็มีการติดไฟแดงกันตามปกติ เหมือนการขับรถทั่วไป ใช่หรือไม่ พยานตอบว่าใช่

.

พยานโจทก์ปากที่ 3 ร.ต.อ.เกษม จันทร์ศูนย์ รองสารวัตรสืบสวน สภ.เมืองเพชรบูรณ์ ในวันเกิดเหตุ พยานได้รับแต่งตั้งให้รับผิดชอบการสืบสวน โดยแต่งกายนอกเครื่องแบบ และเดินทางไปรักษาความยปลอดภัยโดยใช้รถจักรยานยนต์

ในขณะที่พยานตรวจดูภาพรวมของกิจกรรม ได้มีจำเลยในคดีนี้มาเคาะกระจกรถของ พ.ต.ท.ณัฐวุฒิ ที่รับหน้าที่ประกาศแจ้งเตือนผู้ชุมนุม โดยเหตุการณ์เกิดขึ้นนอกถนน ฝั่งก่อนจะถึงร้านกาแฟ แต่พยานจำไม่ได้ว่าพ.ต.ท.ณัฐวุฒิ อยู่ตรงไหนกันแน่ ในวันเกิดเหตุนั้น จำเลยใส่เสื้อสีขาว กางเกงยีนส์สีดำ และพยานไม่เห็นว่าจำเลยเดินไปหา พ.ต.ท.ณัฐวุฒิ ตอนไหน เหตุที่พยานทราบเรื่องเนื่องจากตำรวจมีการประสานงานกันตลอดจากทางวิทยุสื่อสารและโทรศัพท์ส่วนตัว เมื่อขบวนผู้ชุมนุมได้เลี้ยวเข้ามาที่ลานพ่อขุนผาเมือง และจอดรถกันบริเวณหน้าค่ายกองพลทหารม้าที่ 1 พยานได้ไปจอดรถใกล้ๆ กับกลุ่มผู้ชุมนุม จากนั้นจำเลยเข้ามาพูดต่อว่าพยาน หลังจากนั้น พยานก็ออกจากที่ชุมนุม  โดยพยานไม่เห็นว่าจำเลยได้กล่าวปราศรัย

ทนายจำเลยถามค้าน เกี่ยวกับพฤติการณ์ของจำเลยในวันเกิดเหตุ พยานเห็นจำเลยพูดผ่านโทรโข่ง แต่จำไม่ได้ว่าพูดว่าอะไร และรับว่าเห็นจำเลยมาคนเดียว ไม่มีการพกพาอาวุธ และไม่ได้สังเกตว่าจำเลยนำอาวุธมาด้วย

.

พยานโจทก์ปากที่ 4 ส.ต.อ.ชาคริต อัจฉรารุจิ ฝ่ายป้องกันและปราบปราม สภ.เมืองเพชรบูรณ์ ในวันเกิดเหตุ พยานได้รับมอบหมายให้เป็นเจ้าหน้าที่เก็บข้อมูล ทั้งภาพและคลิปวิดีโอ เหตุที่มีคำสั่งดังกล่าวสืบเนื่องจากฝ่ายข่าวพบเห็นโพสต์ในเพจเฟซบุ๊กว่าการนัดหมายชุมนุมในวันที่ 19 ก.ย. 2564 ที่ลานพระใหญ่ พยานเป็นคนซ้อนท้ายรถมอเตอร์ไซค์และมีหน้าที่ถ่ายรูปกิจกรรม

ในช่วงที่จำเลยเข้ามาโวยวายกับเจ้าหน้าที่นั้น พยานไม่เห็นเหตุการณ์ แต่พอทราบว่ามีเหตุการณ์นี้เกิดขึ้น ช่วงที่กลุ่มผู้ชุมนุมได้เคลื่อนขบวนไปที่ลานพ่อขุนผาเมือง เมื่อไปถึงก็มีการจัดเตรียมของเพื่อจะกล่าวปราศรัย ตอนนั้นพยานเห็นจำเลยอยู่ที่บริเวณฝั่งขวาของกลุ่มผู้ชุมนุม แต่ไม่ทราบว่าจำเลยทำอะไร

จากนั้นเห็นจำเลยไปโวยวายกับเจ้าหน้าที่ ก่อนมีเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนเข้ามาแยกทั้งคู่ออก และมีเจ้าหน้าที่ทหารเดินออกมาจากค่ายกองพลทหารม้าที่ 1 ซึ่งในตอนนั้นกลุ่มผู้ชุมนุมมีการกล่าวปราศรัยกันแล้ว เมื่อเหตุการณ์ดังกล่าวเสร็จสิ้น จำเลยก็เดินกลับไปยังกลุ่มผู้ชุมนุม สาเหตุที่มีการดำเนินคดีแค่จำเลย เนื่องจากได้มีพฤติการณ์ด่าทอเจ้าหน้าที่

ทนายจำเลยถามค้านว่า พยานไม่ทราบและไม่มีหลักฐาน ว่าจำเลยนั้นเป็นผู้จัดการชุมนุม หรือเป็นแอดมินเพจ “คณะเพชรบูรณ์ปลดแอก” และ “สหพันธ์นักเรียนเพชรบูรณ์” และรถเครื่องเสียงกับรถคนที่จำเลยขึ้นไปอยู่นั้น ก็เป็นคนละคันกัน

.

พยานโจทก์ปากที่ 5 ร.ต.อ.สานิตย์ สัญนิชาติ ปัจจุบันประจำ สภ.ท่าม่วง จ.จันทบุรี ขณะเกิดเหตุพยานดำรงตำแหน่งพนักงานสอบสวน ที่ สภ.เมืองเพชรบูรณ์ คดีนี้พยานอยู่เวรขณะเกิดเหตุ โดยวันที่ 19 – 20 ก.ย. 2564 มี พ.ต.ต.อดิศร สมานทร นำเอกสารหลักฐานมาแจ้งความจำเลยในคดีนี้ ข้อหาเกี่ยวกับการชุมนุม และดูหมิ่นเจ้าพนักงานซึ่งกระทำการตามหน้าที่

จากนั้นผู้กำกับได้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนเรื่องนี้ขึ้นรวม 3 นาย ในส่วนของพยานรับหน้าที่เป็นผู้แจ้งข้อกล่าวหา และสอบคำให้การจำเลย โดยจำเลยได้เดินทางมาในวันที่ 24 พ.ย. 2564 พยานได้แจ้งสิทธิและข้อกล่าวหาแก่จำเลยฐานชุมนุมและมีการมั่วสุมกัน โดยจำเลยไม่สวมใส่หน้ากากอนามัย ใช้เครื่องขยายเสียง และดูหมิ่นเจ้าพนักงาน

ทนายจำเลยถามค้าน พยานรับว่าไม่ได้เรียกพยานหลักฐานเกี่ยวกับการใช้เครื่องเสียงเข้ามาในสำนวน โดยสิ่งที่จำเลยใช้จะเป็นแค่โทรโข่ง และพยานไม่ทราบว่าจำเลยใช้พูดอะไร

ทนายจำเลยถามต่อว่า จากการรวบรวมพยานหลักฐาน การที่จำเลยไปร่วมชุมนุม ก็มาจากภาพที่ปรากฏตัวจำเลยอยู่แค่ตรงท้ายรถกระบะเพียงอย่างเดียว ใช่หรือไม่ พยานเบิกความว่า ดูจากภาพจากแหล่งอื่นๆ อีก และจากที่จำเลยให้วาจาไม่สุภาพกับเจ้าหน้าที่ด้วยเป็นสาเหตุหลักๆ และจากพยานหลักฐานไม่ปรากฏภาพที่จำเลยขึ้นกล่าวปราศรัย

.

.

จำเลยเบิกความว่าไม่ได้เข้าจุดที่ชุมนุมอยู่ และไม่ได้ขึ้นปราศรัย

ศุภวิทษ์เบิกความว่า ตนมีความสนใจในเรื่องการเมืองในช่วงปี 2563 เป็นช่วงที่มีการเปิดสภา และได้ติดตามข่าวสารทางการเมืองจากทางเฟซบุ๊ก ถ้ามีโอกาสได้ไปร่วมกิจกรรมก็จะไปที่กรุงเทพฯ และในเพชรบูรณ์ หลังจากที่ตนได้ไปร่วมกิจกรรมครั้งแรก ก็โดนเจ้าหน้าที่ตำรวจในพื้นที่คุกคาม ตำรวจมีการมาจอดรถหน้าบ้าน มาติดตามตัว ส่งผลให้พยานมีอาการ “แพนิค” หรืออาการหวาดระแวง

พยานทราบกิจกรรมคาร์ม็อบครั้งนี้ ผ่านช่องทางเฟซบุ๊กเพจชื่อ “คณะเพชรบูรณ์ปลดแอก” และได้ตัดสินใจไปเข้าร่วมกิจกรรม โดยมีเพื่อนพยานมารับในเวลาประมาณ 16.00 น. นั่งรถจักรยานยนต์ไปกัน 2 คน โดยเพื่อนของพยานขับไปที่ลานพระใหญ่ กิจกรรมครั้งนี้มีการเรียกร้องเรื่องวัคซีนโควิด– 19 และเรื่องสิทธิการชุมนุม โดยรูปแบบของกิจกรรมเป็นรูปแบบคาร์ม็อบ ขณะนั้นมีการจัดกิจกรรมลักษณะนี้ขึ้นในทุกจังหวัด

จำเลยอธิบายถึงกิจกรรมคาร์ม็อบ ว่ามีลักษณะที่ผู้เข้าร่วมนั่งกันอยู่ในรถส่วนตัวของใครของมัน และมีการเคลื่อนตัวเป็นขบวนไป พยานอยู่บนท้ายรถกระบะและสังเกตเห็นว่ามีกลุ่มคนนอกเครื่องแบบยืนถ่ายรูปขบวนอยู่ พยานจึงเดินเข้าไปสอบถามว่า “มาถ่ายรูปได้ไง เป็นการละเมิดสิทธิความเป็นส่วนตัวของผู้อื่น” พยานถามบุคคลดังกล่าวซ้ำๆ แต่เขาก็ไม่ตอบ พยานก็เลยอารมณ์ขึ้น จากนั้นพยานจึงยื่นมือให้บุคคลดังกล่าว แล้วบอกว่า “จับกูๆ” บุคคลดังกล่าวก็ทำการจับรวบแขนของพยาน ซึ่งสุดท้ายแล้วบุคคลที่พยานได้โต้เถียง ก็ไม่ได้แสดงตัวว่าเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจหรือมาจากหน่วยงานใด ไม่นานเพื่อนพยานก็เห็นเหตุการณ์ จึงมาจับพยานและบุคคลดังกล่าวแยก จากนั้นพยานก็ขอให้เจ้าของรถไปส่งเนื่องจากจะเดินทางกลับ

สาเหตุที่ตนไม่สวมหน้ากากอนามัยตามภาพจากการชุมนุมดังกล่าวนั้น เป็นเพราะตนหายใจไม่ออกเนื่องจากเป็นคนสูบบุหรี่จัด และไม่ได้เข้าไปในที่ชุมนุมใหญ่อยู่แล้ว ยืนยันได้จากคำเบิกความของพยานฝ่ายโจทก์ที่ไม่พบภาพจำเลยเดินเข้ามาในพื้นที่ที่มีการจัดปราศรัย จำเลยอยู่แต่เพียงในรถเท่านั้นยกเว้นแค่ตอนที่มีการปะทะวาจากับเจ้าหน้าที่ และพยานโจทก์ซึ่งเป็นตำรวจผู้สอบสวนได้เบิกความไว้ว่าไม่พบภาพจำเลยขึ้นกล่าวปราศรัย

จากการที่จำเลยถูกฟ้องคดีนั้นทำให้จำเลยที่กำลังศึกษาในคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบูรณ์ ต้องออกจากการศึกษาเพราะทะเลาะกันภายในครอบครัว เนื่องจากการที่จำเลยถูกฟ้องดำเนินคดี อยากจะไปหางานทำก็ไม่สามารถทำได้ อีกทั้งสร้างความลำบากในการเดินทางในการมารายงานตัว หรือการเดินทางมาศาล

พยานได้เบิกความอีกว่า สาเหตุที่ตนไม่สวมหน้ากากอนามัยนั้นเป็นเพราะ ตนหายใจไม่ออกเนื่องจากเป็นคนสูบบุหรี่จัด และไม่ได้เข้าไปร่วมในที่ชุมนุมใหญ่อยู่แล้วซึ่งยืนยันได้จากคำเบิกความของพยานฝ่ายโจทก์ที่ไม่พบภาพพยานเดินเข้ามาในพื้นที่ที่มีการจัดปราศรัย พยานอยู่แต่เพียงในรถเท่านั้นยกเว้นแค่ตอนที่พยานมีการปะทะวาจากับเจ้าหน้าที่

.

X