10 ก.ย. 2563 เช้าวันนี้ “ไผ่” จตุภัทร์ บุญภัทรรักษา, ปิยดา มาเทียน, ธนภณ เดิมทำรัมย์, วชิรวิทย์ เทศศรีเมือง, “เพนกวิน” พริษฐ์ ชิวารักษ์ และ “หมอลำแบงค์” ปติวัฒน์ สาหร่ายแย้ม นักศึกษา/นักกิจกรรมรวม 6 คน ซึ่งถูก สภ.เมืองขอนแก่น ออกหมายเรียกให้มารับทราบข้อกล่าวหาฐานฝ่าฝืนข้อกำหนดตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ จากการเข้าร่วมการชุมนุม #อีสานบ่ย่านเด้อ เมื่อวันที่ 23 ก.ค. 2563 พร้อมด้วยประชาชนจำนวนหนึ่งเดินขบวนจากอนุสาวรีย์จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ มุ่งหน้าสู่ สภ. เมืองขอนแก่น เพื่อเข้ารับทราบข้อกล่าวหา
ขบวนดังกล่าวนอกจากมีการถือป้าย 3 ข้อเรียกร้องของเยาวชนปลดแอก และ 10 ข้อเสนอปฏิรูปสถาบันกษัตริย์แล้ว ยังมีการปราศรัยเชิญชวนให้ประชาชนชาวขอนแก่นเข้าร่วมการชุมนุมในวันที่ 19 ก.ย. 2563 ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โดยผู้ปราศรัยระบุว่า การเดินขบวนวันนี้มีการแจ้งการชุมนุมผ่านหน้าเพจ “ขอนแก่นพอกันที” ซึ่งหากมีคนเรียกร้องให้ย้ายอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยผ่านแอพพลิเคชั่นไลน์ได้ กลุ่มฯ ก็ขอแจ้งการชุมนุมผ่านเฟซบุ๊กเช่นกัน
ขบวนรณรงค์หยุดหน้า ร.ร. ขอนแก่นวิทยายน เชิญชวนให้นักเรียนในโรงเรียนชู 3 นิ้ว โดยมีนักเรียนร่วมปราศรัยถึงกรณีการคุกคามนักเรียนด้วยการออกหมายเรียกที่จังหวัดราชบุรี จากนั้น ขบวนเคลื่อนต่อไปยังอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย หยุดรณรงค์หน้าโรงเรียนกัลยาณวัตร ก่อนถึง สภ.เมืองขอนแก่น ในเวลาประมาณ 10.00 น.
ด้านหน้าทางเข้า สภ.เมืองขอนแก่น ตำรวจวางแผงเหล็กกั้นตลอดแนว พร้อมวางกำลังตำรวจในเครื่องแบบทั้งชายและหญิงราว 30 นาย ผู้ได้รับหมายเรียกทั้งหกขึ้นกล่าวปราศรัยทีละคน โดย “หมอลำแบงค์” อดีตผู้ต้องขังคดี 112 จากการแสดงละครเรื่องเจ้าสาวหมาป่า ขึ้นปราศรัยทั้งน้ำตา เนื่องจากการถูกดำเนินคดีครั้งนี้นอกจากจะทำให้เขายากลำบากมากขึ้นในการประกอบอาชีพหมอลำแล้ว เขายังมีโอกาสถูกจำคุกอีกครั้ง เพราะหากศาลพิพากษาว่า เขากระทำผิด ก็ต้องลงโทษจำคุก ไม่สามารถรอลงอาญาได้ เนื่องจากเขาเคยถูกพิพากษาจำคุกมาแล้ว
นอกจากนี้ ปิยดาได้ขึ้นปราศรัยเปิดเผยว่า ตำรวจออกหมายเรียกผิดคน เนื่องจากในวันนั้น เธออยู่บ้านที่ จ.ชัยภูมิ ไม่ได้เข้าร่วมชุมนุมแต่อย่างใด ตำรวจอาจเข้าใจผิด เพราะเธอเคยเป็นพิธีกรในการชุมนุม “มข.พอกันที” ที่บึงสีฐาน มหาวิทยาลัยขอนแก่น เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา
หลังการปราศรัย นักศึกษา/นักกิจกรรมทั้ง 6 คน ร่วมกันเผาหมายเรียกผู้ต้องหาเพื่อแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ถึงการใช้กฎหมายที่ไม่เป็นธรรม ก่อนเข้ารับทราบข้อกล่าวหา โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจจำกัดให้ผู้เข้ารับทราบข้อหามีทนายความ 1 คน ผู้ไว้ใจ 1 คน เข้าร่วมเท่านั้น ส่วนคนอื่นให้รอหน้าสถานีตำรวจ
พนักงานสอบสวนได้จัดให้นักกิจกรรม 5 คน เข้ารับทราบข้อหาในห้องประชุม โดยจัดโต๊ะไว้แยกกัน ส่วนปิยดาถูกแยกไปพบพนักงานสอบสวนหญิงในอีกห้อง
กรณีของปิยดา พนักงานสอบสวนชี้แจงว่า หลังออกหมายเรียกเมื่อวันที่ 21 ส.ค. 2563 ปรากฏข้อเท็จจริงที่เป็นคุณว่า ปิยดาไม่ได้เป็นผู้ร่วมกระทำความผิด ในวันนี้จึงไม่มีการแจ้งข้อหา แต่จะขอสอบปากคำในฐานะพยาน ด้านทนายความได้สอบถามกลับว่า กระบวนการในการออกหมายเรียกเป็นอย่างไร ใครเป็นผู้อนุมัติ ทำไมจึงเกิดความผิดพลาด พ.ต.อ.ธน พรรณนานนท์ ผกก.(สอบสวน)ฯ ปรก.สภ.เมืองขอนแก่น หัวหน้าคณะพนักงานสอบสวนในคดีนี้ ซึ่งอยู่ร่วมในห้องได้ชี้แจงว่า ตนเป็นผู้ออกหมายเรียก ซึ่งในตอนนั้นได้พิจารณาจากพยานหลักฐานที่ได้รับ แต่เมื่อวานนี้เพิ่งได้พบข้อเท็จจริงที่เปลี่ยนไป
ทนายความยังตั้งคำถามอีกว่า ปกติถ้าไม่แน่ใจในพยานหลักฐานก็ควรออกเป็นหมายเรียกพยาน การออกเป็นหมายเรียกผู้ต้องหาโดยที่บุคคลนั้นไม่ได้เกี่ยวข้องเช่นกรณีนี้ ทำให้เกิดความเสียหาย ครอบครัวเกิดความเครียด ความเสียหายที่เกิดขึ้นแล้วเช่นนี้ ทางตำรวจจะทำอย่างไร พ.ต.อ.ธน กล่าวเพียงว่า ในฐานะผู้รับผิดชอบ ตนกราบขอโทษที่เกิดเหตุการณ์เช่นนี้
อย่างไรก็ตาม ปิยดาปฏิเสธที่จะให้การเป็นพยาน เนื่องจากตนเองไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ แต่ขอให้พนักงานสอบสวนทำบันทึกว่า หมายเรียกดังกล่าวไม่มีผลทางกฎหมาย พนักงานสอบสวนจึงได้ลงเป็นรายงานประจำวันเกี่ยวกับคดีไว้
ส่วนผู้ถูกออกหมายเรียกอีก 5 คน พนักงานสอบสวนได้แจ้งพฤติการณ์และข้อกล่าวหาว่า เมื่อวันที่ 23 ก.ค. 2563 ผู้ต้องหากับพวกรวม 6 คน ได้ร่วมกันจัดกิจกรรม “อีสานบ่ย่านเด้อ” โดยไม่ได้แจ้งหน่วยงานที่ควบคุมโรคติดต่อ และใช้เครื่องขยายเสียงด้วยกำลังไฟฟ้าโดยไม่ได้รับอนุญาตด้วย ซึ่งมีผู้เข้าร่วมเป็นจำนวนมากในลักษณะมั่วสุมประชุมกัน หรือมีโอกาสแพร่เชื้อโรคโควิด-19 และผู้ต้องหากับพวกดังกล่าว ไม่ได้จัดให้มีมาตรการป้องกันโรคแก่ผู้เข้าร่วมกิจกรรมตามที่ราชการกำหนดเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19
การกระทำดังกล่าวเป็นความผิดฐาน “ร่วมกันจัดให้มีกิจกรรมซึ่งมีผู้เข้าร่วมเป็นจำนวนมากในลักษณะมั่วสุมกัน หรือมีโอกาสติดต่อสัมผัสกันง่าย ชุมนุมทำกิจกรรมหรือมั่วสุมกัน ณ ที่ใดๆ ในสถานที่แออัด หรือกระทำการดังกล่าวอันเป็นการยุยงให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อย หรือในลักษณะที่เสี่ยงต่อการแพร่เชื้อโรค กระทำการหรือดำเนินการใดๆ ซึ่งอาจก่อสภาวะที่ไม่ถูกสุขลักษณะ ซึ่งอาจเป็นเหตุให้โรคติดต่ออันตรายหรือโรคแพร่ระบาดออกไป ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของเจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อ และร่วมกันโฆษณาโดยใช้เครื่องขยายเสียงด้วยกำลังไฟฟ้าโดยไม่ได้รับอนุญาต” อันเป็นความผิดตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ มาตรา 9(2), พ.ร.บ.ควบคุมโรคติดต่อฯ มาตรา 34 และ พ.ร.บ.ควบคุมการโฆษณาโดยใช้เครื่องขยายเสียงฯ มาตรา 4
ผู้ต้องหา 4 คน ให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา ส่วนวชิรวิทย์ไม่ให้การในชั้นสอบสวน ทั้งหมดไม่ลงชื่อในบันทึกการแจ้งข้อกล่าวหา เนื่องจากไม่ยอมรับกระบวนการดำเนินคดีที่ไม่เป็นธรรม โดยเฉพาะจตุภัทร์ให้การเพิ่มเติมว่า “ไม่ประสงค์ร่วมกระบวนการยุติธรรมในครั้งนี้ เพราะรัฐใช้กฎหมายดังกล่าวเป็นเครื่องมือในการจำกัดสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นทางการเมือง”
หลังพิมพ์ลายนิ้วมือแล้ว พนักงานสอบสวนได้ปล่อยตัว โดยนัดหมายให้มาพบพนักงานสอบสวนเพื่อรับทราบความเห็นทางคดี และส่งตัวไปยังสำนักงานอัยการคดีศาลแขวงขอนแก่น เพื่อพิจารณาสำนวนการสอบสวนในวันที่ 25 ก.ย. 2563 เวลา 10.00 น.
เกี่ยวกับผู้ถูกดำเนินคดีและเข้ารับทราบข้อกล่าวหาในวันนี้ เป็นนักศึกษารวม 4 ราย ศิลปินหมอลำ 1 ราย โดยในการชุมนุมครั้งดังกล่าว ไผ่, เพนกวิน และวชิรวิทย์ เป็นผู้รับเชิญขึ้นปราศรัยบนเวที โดยธนภณรับหน้าที่เป็นพิธีกร และ “แบงค์” ขึ้นแสดงหมอลำ แต่ทั้งหมดถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้ร่วมจัดกิจกรรม
- จตุภัทร์ บุญภัทรรักษา นักศึกษาปริญญาโท สถาบันสิทธิมนุษยชนและสันติศึกษา มหาวิทยาลัยมหิดล (กลุ่ม Unme)
- ธนภณ เดิมทำรัมย์ ศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น (รองประธานสภานักศึกษาคนที่ 2)
- วชิรวิทย์ เทศศรีเมือง นิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น (กลุ่มขอนแก่นพอกันที)
- พริษฐ์ ชิวารักษ์ รัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (สนท.)
- ปติวัฒน์ สาหร่ายแย้ม ศิลปินหมอลำ/นักกิจกรรม
แม้รัฐบาลและหน่วยงานความมั่นคงจะให้เหตุผลในขยายเวลาประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินว่า ไม่เกี่ยวข้องกับการชุมนุมทางการเมือง และจะไม่ใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ กับการชุมนุมทางการเมือง แต่ข้อเท็จจริงกลับปรากฏว่า เจ้าหน้าที่รัฐนำกฎหมายฉบับนี้มาใช้กล่าวหาดำเนินคดีกับประชาชนซึ่งออกมาแสดงออกทางการเมืองแล้วอย่างน้อย 73 คน ใน 20 คดี ในจำนวนนี้เป็นนักศึกษาอย่างน้อย 31 คน
>> เปิดสถิติคดีพ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ อย่างน้อย 17 คดี 63 ราย แม้รัฐบาลอ้างไม่ใช้กับการชุมนุม