เปิดประมวลการต่อสู้คดี ม.112 “สายน้ำ” กรณีถูกฟ้องแปะกระดาษ CANCEL LAW 112-พ่นสีสเปรย์บนรูป ร.10

ในวันที่ 30 มี.ค. 2566 เวลา 10.00 น. ศาลเยาวชนและครอบครัวกลางฯ นัดฟังคำพิพากษาคดีมาตรา 112 ของ “สายน้ำ” กรณีถูกกล่าวหาว่าแปะกระดาษ “CANCEL LAW 112” และใช้สีสเปรย์สีดำพ่นทับข้อความ “ทรงพระเจริญ” บนรูปในหลวงรัชกาลที่ 10 ระหว่างการชุมนุม #ทวงคืนประเทศไทยขับไล่ปรสิต ที่เคลื่อนขบวนจากอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ไปยังทําเนียบรัฐบาล เมื่อวันที่ 18 ก.ค. 2564

คดีนี้ อัยการคดีเยาวชนมีคำสั่งฟ้อง “สายน้ำ” ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112, “วางเพลิงเผาทรัพย์” มาตรา 217, “ทำให้เสียทรัพย์” มาตรา 358 และฝ่าฝืนข้อกำหนดตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ

พฤติการณ์ข้อกล่าวหาโดยสรุประบุว่า จำเลยได้หมิ่นประมาท แสดงความอาฆาตมาดร้ายต่อพระมหากษัตริย์ และวางเพลิงเผาทรัพย์ของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร  โดยใช้กระดาษที่มีข้อความว่า “CANCEL LAW 112” จำนวน 1 แผ่น ข้อความ “เอาช่วงเวลาชีวิตพวกกูคืนมา” จำนวน 1 แผ่น โดยกระดาษทั้งหมดปิดทับบนรูปพระมหากษัตริย์ และจำเลยยังใช้สีสเปรย์สีดำพ่นทับข้อความ “ทรงพระเจริญ” ด้วยคำหยาบบนรูปดังกล่าว

อีกทั้งจำเลยยังจุดไฟเผา จนมีไฟลุกไหม้ที่ผ้าประดับสีเหลืองและสีขาว พานพุ่ม พร้อมกรวยธูปเทียนถวายพระพรที่ใช้ประดับรูป และรวมถึงรูปที่ติดตั้งบริเวณหน้ามหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร

ในคดีนี้สายน้ำได้ปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา และศาลได้ทำการสืบพยานโจทก์มาตั้งแต่วันที่ 26 ส.ค. 2565 และ 1-2, 14-16 ก.ย. 2565 และนัดสืบพยานจำเลยไปเมื่อวันที่ 23 ธ.ค. 2565 ก่อนศาลนัดฟังคำพิพากษา

ดูฐานข้อมูลคดี >> คดี 112 เยาวชน “สายน้ำ” ถูกออกหมายจับ ม.112 เหตุแปะกระดาษ-พ่นสีสเปรย์บนรูป ร.10 ในม็อบ #18กรกฎา64

.

ภาพรวมการสืบพยาน: โจทก์กล่าวหาจำเลยว่าเป็นผู้พ่นสีและข้อความบนรูปในหลวงรัชกาลที่ 10  “สายน้ำ” ปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา ยืนยันไม่ได้อยู่ในที่เกิดเหตุ

การพิจารณาคดีนี้ เกิดขึ้นในห้องพิจารณาคดีที่ 13 ของศาลเยาวชนและครบครัวกลางฯ โดยพนักงานอัยการโจทก์ ได้นำพยานโจทก์รวม 15 ปาก เข้าเบิกความ อาทิ ผู้กล่าวหา, พนักงานสอบสวน, นักวิชาการ และสมาชิกกลุ่มอาชีวะปกป้องสถาบัน ด้านที่ปรึกษากฎหมายของจำเลย นำพยานเข้าเบิกความ 2 ปาก ได้แก่ สายน้ำ และ ผู้จัดการโครงการอินเทอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชน (iLaw) โดยในการพิจารณาคดี นอกจากจำเลย ผู้ปกครอง และที่ปรึกษากฎหมาย (ทนายความ) แล้ว ศาลไม่อนุญาตให้บุคคลอื่นเข้าร่วมฟังการพิจารณา

การสืบพยานโดยรวม ฝ่ายโจทก์ได้เบิกความกล่าวถึงการพบพระบรมฉายาลักษณ์ของในหลวงรัชกาลที่ 10 ถูกพ่นสีสเปรย์และแปะกระดาษข้อความว่า “เอาช่วงเวลาชีวิตพวกกูคืนมา” และ “CANCEL LAW 112” เป็นการแสดงความอาฆาตมาดร้าย หมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์

ทางด้านจำเลยต่อสู้ว่าไม่ได้เป็นผู้กระทำการพ่นสีสเปรย์และแปะกระดาษข้อความดังกล่าว และข้อความที่ฟ้องก็ไม่ได้เป็นข้อความที่ผิดกฎหมาย ประชาชนทั่วไปสามารถพูดหรือเขียนได้ ตลอดจนจำเลยไม่ได้เป็นสมาชิกกลุ่มเยาวชนปลดแอก เพียงแค่เป็นผู้เข้าร่วมการชุมนุมเท่านั้น

.

ตำรวจสืบสวนผู้กล่าวหา ระบุผู้กระทำมีลักษณะเดียวกับ “สายน้ำ” แม้ไม่มีหลักฐานชี้ชัด

พ.ต.ท.ณัฐพงศ์ ตรงเที่ยง กองกำกับการสืบสวนสอบสวน กองบังคับการตำรวจนครบาล 1 ผู้กล่าวหาในคดีนี้ เบิกความว่า ในวันเกิดเหตุตนได้ลงพื้นที่พร้อมผู้ใต้บังคับบัญชาและตำรวจนอกเครื่องแบบทั้งหมดประมาณ 80 นาย ซึ่งทำหน้าที่ทั้งติดตามสืบสวนและหาข่าว  เฝ้าระวังกลุ่มบุคคล ป้องกันเหตุร้ายในพื้นที่ชุมนุม

พ.ต.ท.ณัฐพงศ์ เบิกความว่า การชุมนุมดังกล่าวเป็นการชุมนุมที่ผิดกฎหมาย เพราะมีการประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ในขณะนั้น

หลังการชุมนุมเสร็จสิ้นประมาณ 24.00-01.00 น. พยานได้ไปตรวจสอบที่เกิดเหตุ พบว่าพระบรมฉายาลักษณ์ของในหลวงรัชกาลที่ 10 ได้มีร่องรอยการถูกเผา และเขียนข้อความว่า “CANCEL LAW 112” และ “เอาช่วงเวลาชีวิตพวกกูคืนมา” ที่บริเวณข้างตู้เอทีเอ็มมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร ถนนนครสวรรค์ จึงเห็นว่าการกระทำดังกล่าวถือเป็นการหมิ่นประมาท หมิ่นพระเกียรติ ในหลวงรัชกาลที่ 10

จากการสืบสวนทางโซเชียลพบว่า เฟซบุ๊ก “ปราชญ์ สามสี” มีการโพสต์รูปภาพคนร้ายสวมใส่เสื้อและกางเกงสีดำ และสวมเสื้อเกาะอ่อน สวมหมวก พร้อมระบุชื่อว่าเป็น “นายสายน้ำ” และพบว่าจำเลยเคยโพสต์ข้อความลงโซเชียลมีเดียในวันที่ 16 ก.ค. 2564 ว่า “18 นี้เจอกัน” พร้อมลงรูปภาพอุปกรณ์การชุมนุม รวมถึงรูปภาพของจำเลยที่ผู้ใต้บังคับบัญชาถ่ายไว้ได้ในสถานที่ชุมนุมบริเวณถนนพิษณุโลกและแยกผ่านฟ้าลีลาศ 2 ภาพ จึงเชื่อว่าคนร้ายน่าจะเป็นจำเลย

พยานไม่ได้มีสาเหตุโกรธเคืองจำเลย ไม่ได้รู้จักกับจำเลยเป็นการส่วนตัว แต่เนื่องจากพยานอยู่ฝ่ายความมั่นคง จึงมีการจัดทำฐานข้อมูลเกี่ยวกับนักกิจกรรมทางการเมือง และสายน้ำก็อยู่ในฐานข้อมูลดังกล่าว

ช่วงที่ปรึกษากฎหมายถามค้าน พ.ต.ท.ณัฐพงศ์ เบิกความโดยสรุปว่า ตนเรียนจบจากโรงเรียนตำรวจ และเรียนจบด้านกฎหมายกับรัฐประศาสนศาสตร์ พยานทราบว่าการชุมนุมและการเสนอแก้ไขกฎหมายสามารถทำได้ เป็นสิทธิตามรัฐธรรมนูญ แต่การชุมนุมดังกล่าวจะต้องไม่ผิดกฎหมาย

เนื่องจากพยานเป็นข้าราชการและมีความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ พยานจึงไม่สามารถเห็นด้วยการกระทำแบบนี้ได้ ในส่วนของคำว่า “เอาช่วงเวลาชีวิตพวกกูคืนมา” กับ “CANCEL LAW 112” ไม่ได้เป็นคำที่ผิดกฎหมาย แต่ต้องพิจารณาจากบริบท พยานรับว่า หากดูจากหลักฐานรูปภาพ คำว่า “CANCEL LAW 112” นั้นแปะอยู่บนรูปก่อนหน้านั่นแล้ว

ที่ปรึกษากฎหมายของจำเลย ถามว่าการที่พยานเห็นภาพในหลวงรัชกาลที่ 10 ถูกขีดเขียน พยานมีความรู้สึกอย่างไร และทำให้ความจงรักภักดีต่อสถาบันกษัตริย์ลดน้อยลงหรือไม่ พ.ต.ท.ณัฐพงศ์ เบิกความว่า รู้สึกเป็นการกระทำที่ไม่สมควรและไม่ขอตอบคำถามดังกล่าว

ทั้งนี้ พ.ต.ท.ณัฐพงศ์ ไม่ได้เป็นผู้รวบรวมรูปจากเพจ “ปราชญ์ สามสี” ไม่ได้ส่งรูปไปตรวจพิสูจน์ว่าเป็นภาพที่ถูกตัดต่อขึ้นหรือไม่ และเบิกความว่าไม่มีรูปภาพเหตุการณ์ที่เห็นใบหน้าของจำเลยขณะกระทำความผิดตามฟ้อง แต่อาศัยพยานหลักฐานอื่นประกอบ        

พ.ต.ท.ณัฐพงศ์ เบิกความรับว่า บริเวณพระบรมฉายาลักษณ์อยู่ด้านนอกมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร ซึ่งเป็นที่เกิดเหตุ ในวันเกิดเหตุมีผู้ชุมนุมจำนวนมาก มีความเป็นไปได้ที่ผู้ร่วมชุมนุมคนอื่นอาจจะเข้าไปใช้กระดาษติดทับหรือใช้สีสเปรย์ พ่นหรือวางเพลิงพระบรมฉายาลักษณ์ ทั้งในวันเกิดเหตุมีผู้ร่วมชุมนุมและการ์ด สวมใส่เสื้อเกราะอ่อน ใส่หมวกกันน็อค และสะพานกระเป๋าหลายคน ซึ่งเสื้อเกราะอ่อน หมวกกันน็อค และกระเป๋าสะพายเป็นสินค้าที่สามารถหาซื้อได้ในท้องตลาด ทั้งนี้ทรัพย์สินของมหาวิทยาลัยยังคงรูปเดิม ไม่ได้รับความเสียหาย มีเพียงขอบผ้าประดับที่ได้รับการเผาไหม้บางส่วน

พ.ต.ท.ณัฐพงศ์ ไม่ทราบว่า กิจกรรมส่วนมากที่จำเลยทำเป็นการเรียกร้องวัคซีน เช่น ไปขอวัคซีน จากองค์กรหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้นักเรียนฉีด เพื่อกลับไปเรียนหนังสือต่อได้

.

อธิบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระนคร-กองงานบริหารบุคคล เข้าแจ้งความกรณีทรัพย์สินเสียหาย ตีมูลค่า 3,000 บาท

มธุรส เวียงสีมา คณบดีคณะอุตสาหกรรมสิ่งทอและออกแบบแฟชั่น มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร ผู้เป็นตัวแทนแจ้งความกรณีทรัพย์สินมหาวิทยาลัยได้รับความเสียหาย เบิกความว่าในวันเกิดเหตุ พยานไม่ได้เป็นผู้เห็นเหตุการณ์ แต่เจ้าหน้าที่ รปภ. ของมหาวิทยาลัยได้ไลน์มาแจ้งให้พยานทราบว่าพบพระบรมฉายาลักษณ์ในหลวงรัชกาลที่ 10 ถูกเผา ความเสียหายที่เกิดขึ้น ได้แก่ พานพุ่ม ผ้าประดับ และธงหายไป พยานไม่รู้ตัวผู้กระทำผิดดังกล่าว แต่ได้แจ้งทางมหาวิทยาลัยแล้วไปแจ้งความดำเนินคดีต่อที่ สน.นางเลิ้ง

พยานไม่รู้จักจำเลยมาก่อน แต่ทราบว่า “สายน้ำ” เป็นผู้กระทำผิด เพราะมีการแชร์ข้อมูลข่าวสารในกลุ่มไลน์ พยานได้ไปให้การกับทางพนักงานสอบสวนในวันที่ 20 ก.ค. 2564 หลังเกิดเหตุในคดีนี้ โดยเห็นว่าข้อความดังกล่าวมีคำไม่สุภาพ เป็นการดูหมิ่น เหยียดหยาม ไม่เหมาะสม และข้อความ “CANCEL LAW 112” หมายถึงน่าจะเจตนาต่อต้านกฎหมาย 112

ช่วงที่ปรึกษากฎหมายถามค้าน พยานเบิกความว่า ทรัพย์สินดังกล่าวเป็นของมหาวิทยาลัย และทางมหาวิทยาลัยได้ให้พยานไปเป็นตัวแทนเพื่อแจ้งความ เฉพาะข้อหาวางเพลิงเผาทรัพย์ ไม่เกี่ยวกับกฎหมาย 112

มธุรสเบิกความว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจได้เข้าตรวจสอบที่เกิดเหตุ แต่ในระหว่างนั้นพยานไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ด้วย ทั้งนี้พยานไม่ทราบว่า เนื้อผ้าประดับที่ติดเพลิงไหม้จะมีคนมาดับเพลิงหรือไม่ ในส่วนของพระบรมฉายาลักษณ์ในหลวง รัชกาลที่ 10 ทางมหาวิทยาลัยเก็บเอาไว้ ไม่ได้ใช้ ส่วนผ้าประดับได้ส่งมอบเป็นของกลางต่อไป

.

วุฒิชัย ศรีรางวัล กองบริหารงานบุคคล มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร เบิกความว่า ตนเป็นผู้รับมอบอำนาจจากอธิการบดีมหาวิทยาลัยให้มาดำเนินการแจ้งความผู้กระทำผิด ในข้อหาวางเพลิงเผาทรัพย์สิน และทำให้เสียทรัพย์ เนื่องจากรูปพระบรมฉายาลักษณ์ในหลวงรัชกาลที่ 10 มีการฉีดพ่นคำหยาบ และผ้าที่ประดับพระบรมฉายาลักษณ์ และพานพุ่มได้ถูกเผาไหม้ ได้รับความเสีหายหาย พยานเลยเข้าแจ้งความที่ สน.นางเลิ้ง โดยค่าเสียหายคิดเป็นประมาณ 3,000 บาท

ก่อนหน้านี้ ตำรวจ สน.นางเลิ้ง ได้ส่งหนังสือมาทางมหาวิทยาลัยว่ามีการกระทำความผิดเกิดขึ้นในวิทยาเขต ทางอธิการบดีจึงได้มอบหมายให้พยานไปแจ้งความดำเนินคดีกับผู้กระทำผิด และรวบรวมรูปภาพความเสียหายของคณะอุตสาหกรรมสิ่งทอและออกแบบแฟชั่น

พยานไม่เคยรู้จัก หรือมีสาเหตุโกรธเคืองจำเลย เหตุที่ทราบว่าจำเลยเป็นผู้กระทำผิด เพราะพนักงานสอบสวนเป็นคนบอกให้พยานทราบ

ช่วงที่ปรึกษากฎหมายถามค้าน พยานจากภาพหลักฐานพบว่าผ้าประดับพระบรมฉายาลักษณ์มีเพียงรอยไหม้บางส่วน และตัวพระบรมฉายาลักษณ์ก็ไม่ได้ถูกเผาไหม้ รูปดังกล่าวคณะสิ่งทอเป็นผู้เก็บรักษา พยานไม่ทราบว่าอะซิโตนหรือน้ำยาล้างเล็บจะสามารถล้างสเปรย์ได้

.

ตำรวจพิสูจน์หลักฐาน ระบุตรวจไม่พบคราบน้ำมัน-วัตถุไวไฟบนเนื้อผ้า

ร.ต.ท.หญิงณัฐชยา สิงหมารศรี เจ้าหน้าที่ตรวจสถานที่เกิดเหตุ สังกัดกองพิสูจน์หลักฐานกลางของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เบิกความว่า ตนจบการศึกษาปริญญาโท คณะนิติวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร มีหน้าที่เป็นผู้เก็บหลักฐานในวันเกิดเหตุในคดีนี้

เมื่อวันที่ 18 ก.ค. 2564 พยานได้รับรายงานจากตำรวจ สน.นางเลิ้ง ว่าประมาณช่วงเย็น มีการชุมนุมในบริเวณหน้ามหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร พร้อมกับมีการพ่นสีเสปรย์บนรูปภาพในหลวงรัชกาลที่ 10 และรอยเผาไหม้ตรงเนื้อผ้าประดับ 

พยานได้ไปเก็บหลักฐานหลังการชุมนุมเสร็จสิ้นแล้ว เพื่อส่งกองพิสูจน์กลาง โดยพยานกับพวกรวม 6 คนได้ลงพื้นที่ตรวจสอบ ถ่ายรูปและเก็บพยานวัตถุเอาไว้  พยานพบว่ารูปภาพถูกพ่นสีสเปรย์ และถูกติดสติกเกอร์ “CANCEL LAW 112” จึงได้รวบรวมไว้เป็นหลักฐาน

ช่วงที่ปรึกษากฎหมายถามค้าน ร.ต.ท.หญิงณัฐชยา เบิกความโดยสรุปว่า ในวันเกิดเหตุ ตนไม่ได้เป็นคนเก็บหลักฐานผ้าประดับที่มีรอยไหม้ดังกล่าว แต่เป็นพนักงานสอบสวนเก็บไป ทั้งนี้ พยานได้แนะนำวิธีการเก็บพิสูจน์หลักฐานแก่พนักงานสอบสวนไปด้วย

พยานรับว่าในระหว่างการชุมนุมวันนั้น พบว่ามีการพ่นสีสเปรย์หลายแห่งและหลายสี แต่พยานไม่ได้อยู่ในระหว่างการชุมนุมและในสถานที่เกิดเหตุ จึงไม่ทราบว่ามีผู้ร่วมกระทำหลายคนหรือไม่

.

ร.ต.อ.ธีรวัฒน์ อึ้งสิทธิพูนพร เจ้าหน้าที่พิสูจน์วัตถุพยาน จากกองพิสูจน์หลักฐานกลางเช่นกัน เบิกความว่าตนเป็นผู้ตรวจสอบเนื้อผ้าประดับพระบรมฉายาลักษณ์ในคดีนี้ แล้วพบว่าไม่มันมีเชื้อเพลิงเผาไหม้หรือสารวัตถุไวไฟ แต่จากการตรวจสอบทางกายภาพแล้ว พบว่าเนื้อผ้ามีการเผาไหม้ มีรอยดำ เขม่าควัน กลิ่นไหม้ และการหดตัวของเนื้อผ้าดังกล่าว นอกจากนี้เนื้อผ้ามีคุณสมบัติติดไฟหมด และมีอัตราการเผาไหม้ใกล้เคียงกัน แต่สภาพหลังถูกเผานั้นแตกต่างกัน

ในส่วนของผ้าประดับพระบรมฉายาลักษณ์ ร.ต.อ.ธีรวัฒน์ เบิกความว่า ตนได้รับผ้าประดับมาจากพนักงานสอบสวน ซึ่งเป็นหลักฐานที่กองเก็บหลักฐานเก็บมา แล้วส่งให้พนักงานสอบสวน ก่อนส่งมาให้พยานตรวจอีกที

สาเหตุที่พยานไม่สามารถตรวจพบเชื้อเพลิงเผาไหม้ได้ อาจเกิดจากน้ำมันที่เป็นเชื้อเพลิงนั้นระเหยขึ้นไปอย่างรวดเร็ว จึงไม่พบร่องรอยน้ำมันเชื้อเพลิงหรือวัตถุไวไฟ 

ช่วงที่ปรึกษากฎหมายถามค้าน ร.ต.อ.ธีรวัฒน์เบิกความว่า ตนได้รับหนังสือจากพนักงานสอบสวนให้ช่วยตรวจสอบผ้าประดับพระบรมฉายาลักษณ์ ซึ่งตามปกติแล้ว หากเป็นการเผาไหม้จากเหตุไฟฟ้าลัดวงจร หน่วยเก็บหลักฐานจะตัองส่งสายไฟมาให้ตรวจสอบด้วย แต่คดีนี้ ไม่ได้มีการส่งมาให้ตรวจสอบแต่อย่างใด

ทั้งนี้ พยานไม่ได้ตรวจสอบว่าเนื้อผ้าประดับพระบรมฉายาลักษณ์ดังกล่าวเป็นเนื้อผ้าประเภทใด เนื่องจากพนักงานสอบสวน ไม่ได้ขอให้พยานตรวจสอบ แต่หากให้พยานตรวจสอบก็สามารถทราบได้ อย่างไรก็ตาม พยานไม่ขอยืนยันว่า การเผาไหม้ผ้าประดับดังกล่าวอาจจะเกิดจากการที่ไฟฟ้าลัดวงจรหรือไม่ แต่ตามข้อเท็จจริงแล้ว สามารถเกิดการเผาไหม้ได้ หากมีความร้อนมากพอ

.

พยานความเห็น 3 ปาก เห็นร่วมกันว่าถ้อยคำไม่เป็นความผิด แต่ไม่ควรไปขีดเขียนบนพระบรมฉายาลักษณ์ ถือเป็นการหมิ่นเกียรติ ก่อให้เกิดความเสื่อมเสีย

พล.ร.ต.ทองย้อย แสงสินชัย ข้าราชการบำนาญ สังกัดกองทัพเรือ เบิกความว่า เคยรับราชการที่หอสมุดแห่งชาติ และดำรงตำแหน่งอนุศาสนาจารย์ในกองทัพเรือ มีหน้าที่อบรมศีลธรรมในกองทัพเรือ ปัจจุบันเกษียณแล้ว

พยานทราบว่า เมื่อปี 2563-2564 มีกลุ่มนักศึกษาออกมาเรียกร้องการปฎิรูปสถาบันฯ เรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีลาออก และยกเลิกมาตรา 112 ทั้งนี้ พล.ร.ต.ทองย้อย ทราบว่า มาตรา 112 เป็นกฎหมายเกี่ยวกับการคุ้มครองกษัตริย์ ซึ่งพยานไม่เห็นด้วยกับการยกเลิก 112 เนื่องจากในฐานะประชาชนคนทั่วไปไม่ได้รับผลกระทบอะไร และสุจริตชนก็ไม่เดือดร้อนกับมาตรา 112

เกี่ยวกับคดีนี้ พยานถูกเรียกมาเป็นพยานความเห็นที่ สน.นางเลิ้ง โดยพนักงานสอบสวนได้ให้ดูภาพหลักฐาน ซึ่งเป็นภาพที่มีการพ่นสีสเปรย์คำหยาบคาย และติดข้อความ “CANCEL LAW 112” “เอาช่วงเวลาชีวิตพวกกูคืนมา”

พล.ร.ต.ทองย้อย ให้ความเห็นกับพนักงานสอบสวนไปว่า ในหลวงรัชกาลที่ 10 เป็นที่สักการะเทิดทูนของประชาชนทั่วไป ดังนั้นแล้วรูปภาพของในหลวงรัชกาลที่ 10 จึงไม่ควรจะนำสิ่งใดไปขีดเขียน การกระทำดังกล่าวถือเป็นการดูถูก ดูหมิ่น เหยียดหยาม ไม่สมควรกระทำ

ช่วงที่ปรึกษากฎหมายถามค้าน พยานเบิกความโดยสรุปว่า แม้จะเห็นภาพในหลวงรัชกาลที่ 10 ถูกพ่นสเปรย์ด้วยถ้อยคำหยาบคาย และติดข้อความ “CANCEL LAW 112” แต่ก็ไม่ได้ทำให้ความจงรักภักดีของพยานลดน้อยลง

พยานเคยไปให้การในชั้นตำรวจมาแล้ว 6-7 คดี แต่ไม่เคยแจ้งความกับตำรวจให้ดำเนินคดีกับใครมาก่อน

เกี่ยวกับผ้าประดับพระบรมฉายาลักษณ์ พยานเบิกความว่า ผ้าประดับก็ถือเป็นส่วนหนึ่งของภาพพระบรมฉายาลักษณ์ ผู้ใดที่กระทำการเผาผ้าดังกล่าว มีความตั้งใจจะทำให้รูปในหลวงรัชกาลที่ .10 ถูกเผาไหม้ไปด้วย พยานเห็นว่ามีเจตนาไม่สุจริต

ช่วงอัยการโจทก์ถามติง พล.ร.ต.ทองย้อย เบิกความว่า แม้ความจงรักภักดีของพยานจะไม่ลดน้อยลง แต่การกระทำของจำเลยล้วนส่งเจตนาให้ผู้คนคล้อยตาม ให้มองว่าเป็นในหลวงรัชกาลที่ 10 เป็นคนไม่ดี โดยส่วนตัวพยานเป็นคนรุ่นเก่า มีสถาบันเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ แต่สำหรับคนรุ่นใหม่อาจจะถูกชักจูงได้ง่าย

ทั้งนี้ ประโยค “CANCEL LAW 112” และอื่นๆ สามารถพูดได้ แต่สำหรับภาพพระบรมฉายาลักษณ์ พยานเห็นว่าไม่ควรจะมีอะไรมาขีดเขียนบนภาพ เพราะเป็นการไม่สมควร ถือเป็นการหมิ่นพระเกียรติ คำเหล่านี้หากไปเขียนที่อื่นย่อมไม่เป็นไร

.

ว่าที่ร.ต.นรินทร์ ศักดิ์เจริญชัยกุล ทนายความของกลุ่มไทยภักดี เบิกความว่าเกี่ยวกับคดีนี้พยานถูกพนักงานสอบสวนเชิญมาให้ความเห็น

เมื่อช่วงเวลาประมาณเดือน ก.ค 2564 พยานได้ติดตามข่าวสารภายในกลุ่มเครือข่ายของพยาน ก่อนทราบว่ามีการกระทำอันไม่บังควรต่อพระบรมฉายาลักษณ์ในหลวงรัชกาลที่ 10 โดยดูจากพฤติการณ์ทั้งหมดของจำเลย พยานเห็นว่าเป็นการกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 โดยมีการพ่นคำไม่สุภาพบนพระบรมฉายาลักษณ์ ซึ่งประชาชนทั่วไปสามารถเห็นแล้วนำไปเลียนแบบได้

นอกจากนี้พยานยังเห็นว่าเป็นการแสดงความอาฆาตมาดร้ายต่อองค์พระมหากษัตริย์ สื่อว่าจำเลยต้องการจะทำร้ายในหลวงรัชกาลที่ 10 แต่เนื่องจากกระทำต่อพระองค์โดยตรงไม่ได้ จึงต้องกระทำผ่านรูปภาพแทน

ช่วงที่ปรึกษากฎหมายถามค้าน พยานเบิกความว่าเป็นทนายความมา 20 ปี ไม่ได้ขึ้นทะเบียนใดๆ กับศาลยุติธรรม พยานไม่เคยทำงานศึกษาทางวิชาการเกี่ยวกับมาตรา 112

พยานรับว่า มักติดตามข่าวสารในกลุ่มเครือข่ายซึ่งมีแนวคิดในลักษณะเดียวกัน โดยตนเป็นผู้ร่วมก่อตั้งกลุ่มไทยภักดี ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีจุดมุ่งหมายปกป้องสถาบันกษัตริย์ ไม่ให้มีการยกเลิกมาตรา 112 พยานเบิกความอีกว่าคนทั่วไปยังมีกฎหมายฟ้องหมิ่นประมาท พระมหากษัตริย์ก็ต้องมีกฎหมายคุ้มครองเช่นกัน

พยานเคยไปให้การเป็นพยานในคดีมาตรา 112 มาแล้วไม่ต่ำกว่า 10 คดี และยังทำหน้าที่เป็นทนายความของกลุ่มไทยภักดี โดยเคยไปเป็นผู้แจ้งความดำเนินคดีมาตรา 112 กับอีกหลายคน

เกี่ยวกับถ้อยความทั้งหมด พยานมองว่าเป็นการทำให้สถาบันกษัตริย์เสื่อมเสีย ดูหมิ่นและอาฆาตมาดร้าย แม้ลำพังตัวข้อความจะไม่เป็นความผิดบุคคลทั่วไปไม่สามารถพูดได้ แต่การนำข้อความเหล่านี้ไปแปะบนพระบรมฉายาลักษณ์ ถือเป็นการดูหมิ่น หมิ่นประมาท ไม่สมควรที่จะมีสิ่งใดบนพระบรมฉายาลักษณ์

ที่ปรึกษากฎหมายถามค้านต่ออีกว่า หากนำสติกเกอร์ ‘เรารักในหลวง’ หรือแปะหัวใจบนภาพพระบรมฉายาลักษณ์จะถือว่าเป็นความผิดหรือไม่ พยานตอบว่าผิด ยืนยันว่าไม่สมควรที่จะนำอะไรไปแปะบนพระบรมฉายาลักษณ์ นอกจากนี้คำถามดังกล่าวเป็นเพียงเหตุการณ์สมมติ

พยานยืนยันว่า การกระทำดังกล่าวถือเป็นการดูหมิ่น อาฆาตมาดร้าย เนื่องจากแสดงให้เห็นว่าจำเลยอาฆาตมาดร้าย  ไม่พอใจต่อบุคคล จึงเลือกไปกระทำต่อตัวรูปภาพ ทั้งนี้ พยานรับว่าเมื่อเห็นภาพดังกล่าวแล้ว ไม่ได้ทำให้ความจงรักภักดีของพยานลดน้อยลงแต่อย่างใด แต่สำหรับเยาวชนคนอื่นเมื่อเห็นแล้ว อาจสามารถนำไปเลียนแบบได้

.

ณฐพร โตประยูร อดีตที่ปรึกษาประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน เบิกความว่า พระมหากษัตริย์อยูในฐานะที่จะละเมิดมิได้ ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 6 และสำหรับพระบรมฉายาลักษณ์ในหลวงรัชกาลที่ 10 ผู้ใดจะกระทำการไม่บังควรบนพระบรมฉายาลักษณ์ไม่ได้

ณฐพรเห็นว่าการกระทำของจำเลยในคดีนี้ ถือเป็นการหมิ่นพระเกียรติ ทำให้เสื่อมค่า ด้อยค่า เจตนาจะล้มล้างสถาบันฯ เป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย นอกจากนี้ การเผาผ้าประดับพระบรมฉายาลักษณ์ส่อเจตนาที่ต้องการจะเผาพระบรมฉายาลักษณ์

ส่วนที่พยานถูกเรียกมาเป็นพยานในคดีนี้ เพราะว่าเคยไปเป็นผู้ร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญให้วินิจฉัยผู้เคลื่อนไหวล้มล้างการปกครองฯ มาก่อน พนักงานสอบสวนจึงเห็นว่าพยานมีความเชี่ยวชาญเกี่ยวกับเรื่องความมั่นคง จึงเรียกมาเป็นพยาน

ช่วงที่ปรึกษากฎหมายถามค้าน ณฐพรเดิมเป็นนักกฎหมาย และเป็นที่ปรึกษาของหน่วยงานในรัฐวิสหากิจและเอกชนหลายแห่ง รวมถึงเคยเป็นที่ปรึกษาเกี่ยวกับโครงการพระราชดำริ

พยานติดตามการเมืองมาตั้งแต่ปี 2557 จนถึงปัจจุบัน พยานทราบว่าเกี่ยวกับการชุมนุมในปี 2563-2564 ว่ามีข้อเรียกร้องในการขับไล่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา พยานเห็นว่าการออกมาเรียกร้องขับไล่นายกฯ เป็นสิทธิตามรัฐธรรมนูญ แต่ทั้งนี้ การใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญนั้นกำหนดไว้ว่าจะต้องไม่ไปลิดรอนสิทธิของผู้อื่น

เกี่ยวกับคดีนี้ พยานทราบว่าผู้กระทำผิดคือสายน้ำ เนื่องจากพยานเคยได้ส่งหนังสือขอข้อมูลกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ซึ่งพยานเองก็มีการรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับ “เครือข่ายล้มล้างการปกครอง” ด้วยเช่นกัน โดยข้อมูลดังกล่าวมีทั้งรูป ชื่อ และพฤติการณ์ของกลุ่มที่อยู่ในเครือข่ายดังกล่าว

.

สมาชิกกลุ่มอาชีวะปกป้องสถาบันฯ ทุกปากเบิกความเห็น “สายน้ำ” กระทำผิดจากไลฟ์สด จึงรวมตัวร่วมให้การ

อัครวุธ ไกรศรีสมบัติ แกนนำกลุ่มอาชีวะปกป้องสถาบัน เบิกความว่าตนจบการศึกษาระดับชั้น ปวส. ช่างกลปทุมวัน ในวันเกิดเหตุ พยานติดตามข่าวสารไลฟ์สดในเฟซบุ๊กเพจ “คณะราษฎร” พยานพบว่า มีการชุมนุมเรียกร้องให้ประยุทธ์ลาออกและปฎิรูปสถาบันฯ

พยานดูไลฟ์สดประมาณบ่ายโมงที่บ้านของตน พบว่าการชุมนุมดังกล่าวมีการกระจุกตัว จนกลายเป็นสถานที่แออัด และยังพบเห็นว่ามีผู้กระทำผิด รูปพรรณสันฐานคล้าย “สายน้ำ” สวมชุดดำและเครื่องปกปิดใบหน้า กำลังกระทำการเผาพระบรมฉายาลักษณ์และพ่นสีสเปรย์ สาเหตุที่พยานจำได้ว่าเป็น “สายน้ำ” เพราะว่าพยานเคยเห็นสายน้ำในกิจกรรมเดินแฟชั่นโชว์บนถนนสีลม

อัครวุธมองว่า การกระทำดังกล่าวถือเป็นความผิดตามมาตรา 112 ผู้กระทำผิดได้ขีดฆ่าคำว่า “ทรงพระเจริญ” บนฐานที่ตั้งพระบรมฉายาลักษณ์ ซึ่งหมายถึงไม่ต้องการให้มีคำนี้อยู่ และการพ่นคำไม่สุภาพถือเป็นการดูหมิ่น ทำให้พระมหากษัตริย์เสื่อมความเคารพ รวมถึงการแปะคำว่า “CANCEL LAW 112” ก็มีเจตนาล้มล้างสถาบันฯ

ช่วงที่ปรึกษากฎหมายถามค้าน อัครวุธเบิกความว่า ตนเป็นกรรมการกลุ่มอาชีวะปกป้องสถาบัน มีหน้าที่ปกป้องสถาบันและทำงานจิตอาสา

พยานรับว่าตนไม่ได้อยู่ในที่เกิดเหตุ เพียงแต่ดูเหตุการณ์ในไลฟ์สดเท่านั้น พร้อมกับมีเพื่อนของพยานนั่งดูอยู่ด้วยกันหลายคน ก่อนที่ตนจะถูว่าที่ร.ต.นรินทร์ ทนายความของกลุ่มศูนย์รวมประชาชนปกป้องสถาบัน (ศปปส.) เรียกไปให้การเป็นพยานในวันที่ 15 กันยายน 2564 รวมถึงได้ไปให้การต่อพนักงานสอบสวน โดยมีทนายความอยู่ด้วย

ที่ปรึกษากฎหมายได้ยื่นเอกสารรายงานข่าวของมติชนที่ระบุว่า กลุ่มอาชีวะปกป้องสถาบัน ทำร้ายผู้ชุมนุมที่มีความคิดปฎิรูปสถาบันฯ ทำร้ายสื่ออิสระ และทำร้ายนักศึกษา ให้พยานดู แล้วถามว่าเป็นกลุ่มของพยานใช่หรือไม่ อัครวุธตอบว่า ทราบว่ามีข่าวดังกล่าว แต่นั่นไม่ใช่กลุ่มของตน และพยานไม่ได้ร้องเรียนต่อสำนักข่าวดังกล่าวว่า เป็นการรายงานข่าวที่ผิดพลาด เพราะเห็นว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่

อัครวุธรับว่า เคยมีการกล่าวพาดพิงถึงจำเลยและพ่อของจำเลยในเฟซบุ๊กส่วนตัวว่าเป็นผู้ต้องหา ซึ่งอาจจะทำให้จำเลยเสียหายได้ เพราะคดียังไม่ถึงที่สุด และจำเลยยังไม่ได้รับการพิสูจน์ความบริสุทธิ์ ทั้งนี้อัครวุธรับว่า ตนเคยเป็นผู้ต้องหาในคดีอาญาเกี่ยวกับการชุมนุมมาก่อนเช่นกัน 

ในประเด็นเกี่ยวกับถ้อยคำ อัครวุธเบิกความเห็นว่า ถ้อยคำ “เอาช่วงเวลาชีวิตพวกกูคืนมา” และ “CANCEL LAW112” ดังกล่าวไม่เป็นความผิด สามารถพูดได้ทั่วไป แต่ไม่สมควรที่จะไปขีดเขียนบนพระบรมฉายาลักษณ์ 

ทนายจำเลยถามค้านว่า หากพ่นสีสเปรย์คำว่า “เรารักในหลวง” หรือ “ทรงพระเจริญ” บนพระบรมฉายาลักษณ์ จะผิดมาตรา 112 หรือไม่ พยานตอบว่า ไม่สมควรที่จะไปทำอะไรกับพระบรมฉายาลักษณ์ แต่การกระทำจะเข้าข่ายผิดมาตรา 112 หรือไม่ ต้องอาศัยการตีความ

พยานรับว่าไม่ได้แคปภาพถ่ายจากไลฟ์สดขณะที่อ้างว่าจำเลยกำลังกระทำผิดไว้ เนื่องจากไม่ได้คิดว่าตนจะถูกเรียกมาเป็นพยานในคดีนี้ ทั้งนี้พยานไม่ได้ให้การเรื่องเห็นเหตุการณ์การชุมนุม เพราะว่าพนักงานสอบสวนไม่ได้ถาม ถามแต่เรื่องความเห็นเกี่ยวกับการกระทำของจำเลยว่าเป็นความผิดตามมาตรา 112 หรือไม่

พยานรับว่าหากพิจารณาการพ่นสีสเปรย์บนพระบรมฉายาลักษณ์ดังกล่าว ไม่ได้ทำให้ความจงรักภักดีของพยานลดน้อยลง แต่หากคนที่ไม่รู้ เช่น ชาวต่างชาติ อาจทำให้พระมหากษัตริย์ไทยถูกมองว่าไม่ดี

.

เอกสิทธิ์ จันทร์เทพ สมาชิกกลุ่มอาชีวะปกป้องสถาบัน เบิกความว่า เมื่อวันที่ 18 ก.ค. 2564 พยานนั่งดูไลฟ์สดกับแฟนผ่านช่องยูทูป ซึ่งกลุ่มที่มาชุมนุมกันดังกล่าวมีข้อเรียกร้องให้ยกเลิกมาตรา 112 ด้วย

พยานได้ดูไลฟ์สดผ่านมือถือในช่วงเวลาบ่าย พบว่าบุคคลที่น่าจะเป็นจำเลยในคดีนี้ยืนหันหลัง และกำลังพ่นสีสเปรย์บนพระบรมฉายาลักษณ์ พร้อมกับเตรียมจุดไฟเผา การกระทำดังกล่าว พยานเห็นว่าเป็นการแสดงความอาฆาตมาดร้ายเชิงสัญลักษณ์ การกระทำต่อพระบรมฉายาลักษณ์เท่ากับเป็นการกระทำต่อตัวบุคคล การกระทำดังกล่าวถือเป็นการทำร้ายจิตใจประชาชนชาวไทย ก่อนที่พยานจะไปให้การกับพนักงานสอบสวน

ช่วงที่ปรึกษากฎหมายถามค้าน เอกสิทธิ์เบิกความว่า ในระหว่างที่นั่งดูไลฟ์สดอยู่ ตนได้พูดคุยกับเพื่อนๆ ในกลุ่มไลน์ซึ่งมีอุดมการณ์เดียวกัน พยานได้ไปให้การด้วยตัวเอง ไม่ได้ถูกชักชวนหรือยั่วยุแต่อย่างใด

พยานรับว่าในที่เกิดเหตุมีบุคคลหลายคนที่ใส่เสื้อสีดำและสวมหน้ากากอนามัย มีลักษณะเช่นเดียวกับผู้กระทำผิด พยานไม่ได้อยู่ที่เกิดเหตุ รวมถึงพยานไม่เคยเห็นตัว “สายน้ำ” จริงๆ หรือพบเจอตัวจริง แต่ในทางกลุ่มไลน์ที่เป็นเครือข่ายของพยานชี้ว่าเป็น “สายน้ำ”

ทั้งนี้เอกสิทธิ์เบิกความว่า เมื่อพบเห็นการกระทำดังกล่าวแล้ว ไม่ได้ทำให้ความจงรักภักดีน้อยลง แต่กระทบต่อความรู้สึกพยาน

เอกสิทธิ์รับว่าได้ถูกพนักงานสอบสวนเรียกไปให้การ โดยตนกับเพื่อนได้ให้การในลักษณะเดียวกัน โดยให้การอยู่ในห้องเดียวกันและเนื้อหาคล้ายกัน

.

สิทธิเดช หมัดโซ๊ะ  เกี่ยวกับคดีนี้ ในวันเกิดเหตุพยานได้ดูไลฟ์สดทางเพจเฟซบุ๊กเกี่ยวกับการชุมนุม พบเห็นผู้กระทำความผิดเอากระดาษไปแปะ พ่นสี และเผารูป พยานจำรูปพรรณสัณฐานของสายน้ำได้ เนื่องจากสายน้ำเป็นนักกิจกรรมที่เห็นหน้าเห็นตาบ่อย และในระหว่างที่กำลังกระทำ ผู้กระทำได้เปิดหน้ากากอนามัยบางส่วน เผยให้เห็นใบหน้า

เนื่องจากพยานเป็นคนที่มีความจงรักภักดีต่อสถาบัน การกระทำของจำเลยในความเห็นของพยานจึงถือว่า หมิ่นเกียรติ ดูหมิ่น สถาบันพระมหากษัตริย์ มีเจตนายกเลิก 112 พร้อมกับทำให้องค์พระมหากษัตริย์เสื่อมพระเกียรติ

พยานรู้สึกรับไม่ได้กับการกระทำของจำเลย จึงรวมตัวกันไปที่บ้านของอัครวุธและนั่งดูไลฟ์สดด้วยกัน หลังจากนั้นก็ประชุมปรึกษากันว่าจะไปให้การกับเจ้าหน้าที่ตำรวจในวันที่ 15 ก.ย. 64 พร้อมกับเพื่อนๆ ของพยานอีกจำนวนหนึ่ง

ช่วงที่ปรึกษากฎหมายถามค้าน พยานเบิกความว่าไม่ได้ไปที่เกิดเหตุ เพียงแต่ดูเหตุการณ์ผ่านไลฟ์สด โดยร้บว่าในที่เกิดเหตุมีการพ่นสีสเปรย์หลายจุด รวมถึงมีผู้ร่วมชุมนุมหลายคนก็แต่งกายชุดดำ

สิทธิเดชรับว่าวันที่ไปให้การกับตำรวจนั้น มีเนื้อหาแค่ในเรื่องความคิดเห็น ไม่ได้ให้การเรื่องพบเห็นจำเลยในวันเกิดเหตุ เนื่องจากพนักงานสอบสวนไม่ได้สอบถามพยานในประเด็นดังกล่าว ทั้งพยานได้ให้การในลักษณะเดียวกันกับพยานคนอื่นๆ ที่นั่งอยู่ในห้องสอบสวนเดียวกัน

นอกจากนี้ในวันให้การ เพื่อนของพยานได้ส่งมอบภาพถ่ายและคลิปวิดีโอที่คาดว่าเป็นจำเลยให้กับพนักงานสอบสวน พร้อมกับลงลายมือชื่อเอาไว้ แต่ทั้งนี้พยานไม่ทราบว่าใครเป็นคนมอบภาพให้ เพราะพยานมีเพื่อนหลายคน

ในส่วนของถ้อยคำ พยานเห็นว่าคำว่า “CANCEL LAW112” และ “เอาช่วงเวลาชีวิตพวกกูคืนมา” สามารถพูดได้ ไม่เป็นความผิด ส่วนหากมีกรณีที่มีการพ่นสีสเปรย์คำว่า ‘ทรงพระเจริญ’ และ ‘เรารักในหลวง’ ลงบนพระบรมฉายาลักษณ์ พยานคิดว่า คำเหล่านี้เป็นคำที่ดี ย่อมไม่ผิดมาตรา 112

.

คณะพนักงานสอบสวนมีความเห็นสั่งฟ้อง แม้กล้องวงจรปิดในที่เกิดเหตุเสียหาย ระบุตัวผู้กระทำผิดไม่ได้

พ.ต.ท.โสธร สำเนียง รองผู้กำกับสอบสวน สน.นางเลิ้ง เป็นหนึ่งในคณะทำงานสอบสวนคดีนี้ เบิกความว่า หลังยุติการชุมนุมในวันเกิดเหตุวันที่ 18 ก.ค. 2564 เวลาประมาณ 20.00 น. พยานได้ไปที่เกิดเหตุเพื่อตรวจสอบที่เกิดเหตุ พร้อมกับหน่วยเก็บหลักฐาน พยานพบเห็นพระบรมฉายาลักษณ์ในหลวงรัชกาลที่ 10 ถูกขีดเขียน และผ้าประดับพระบรมฉายาลักษณ์ถูกเผาไหม้

เกี่ยวกับขั้นตอนการเก็บหลักฐาน พยานได้รับมอบจากพนักงานเก็บหลักฐาน ก่อนที่พนักงานสอบสวนจะส่งจดหมายให้พนักงานตรวจพิสูจน์หลักฐานเพื่อตรวจสอบอีกครั้ง จากการตรวจสอบผ้าประดับ ไม่พบเชื้อเพลิงหรือวัตถุไวไฟแต่อย่างใด

หลังพยานได้รับหลักฐานจากพนักงานสืบสวนที่เป็นผู้กล่าวหาแล้ว พยานได้ร้องขอออกหมายจับจำเลยต่อศาลเยาวชนและครอบครัวกลาง ก่อนมีความเห็นสั่งฟ้องจำเลย 4 ข้อกล่าวหา โดยจำเลยได้ให้การปฎิเสธตลอดข้อกล่าวหา

ช่วงที่ปรึกษากฎหมายถามค้าน พ.ต.ท.โสธร เบิกความโดยสรุปว่า ตนไม่ได้อยู่ในที่เกิดเหตุระหว่างการชุมนุม หลังจากทราบว่ามีการชุมนุม ทาง สน.นางเลิ้ง ได้จัดเตรียมกำลังเพื่อรับมือการชุมนุมดังกล่าว

เกี่ยวกับข้อหา พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ พ.ต.ท.โสธรเบิกความโดยสรุปว่า สถานที่ดังกล่าวเป็นสถานที่เปิดโล่งกว้าง ไม่แออัด มีผู้ชุมนุมมากกว่า 80 คน พยานรับว่าการสวมหน้ากากอนามัยสามารถป้องกันโรคโควิด-19 ได้ แต่ไม่ได้ป้องกันได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ โดยทางตำรวจก็ไม่ได้แจ้งกระทรวงสาธารณสุขให้มาคัดกรองหรือตรวจสอบว่ามีผู้ติดเชื้อโควิดหรือไม่ 

เกี่ยวกับตัวผู้กระทำผิด พยานได้รับหลักฐานจากพนักงานสอบสวนว่า ในรายงานการสืบสวนไม่ปรากฎคลิปวิดีโอขณะจำเลยกระทำผิด พยานไม่ได้ขอภาพกล้องวงจรปิดในบริเวณสถานที่เกิดเหตุมาตรวจสอบ รวมถึงไม่ได้ตรวจสอบข้อมูลทะเบียนราษฎร์ และข้อมูลส่วนบุคคลของเพจ “ปราชญ์ สามสี” พยานรับว่าบริเวณที่เกิดเหตุมีผู้ชุมนุมหลายคน เดินผ่านไปผ่านมา

ที่ปรึกษากฎหมายถามค้านต่อว่า หากแปะคำว่า “รัก” หรือ “ทรงพระเจริญ” บนพระบรมฉายาลักษณ์จะเป็นความผิดหรือไม่ พยานตอบว่าเป็นความผิด เมื่อถามต่อว่าเป็นการกระทำมิบังควรเฉยๆ หรือผิดมาตรา 112 พยานตอบว่า ในกรณีนี้ตนมีความเห็นสั่งฟ้องไปแล้ว

เกี่ยวกับผ้าประดับพระบรมฉายาลักษณ์ที่ถูกไฟไหม้ พยานไม่ทราบว่าไฟดับเองหรือมีผู้มาดับไฟ อาจเป็นไปได้ทั้งสองทาง ทั้งนี้พยานไม่แน่ใจว่าได้ส่งตรวจลายนิ้วมือ หรือ DNA บนผ้าประดับ และตรวจสอบเปรียบเทียบลายนิ้วมือของผู้กระทำความผิด แต่ในรายงานสืบสวนไม่ปรากฎหลักฐานดังกล่าว

.

พ.ต.ท.อธิชย์ ดอนนันชัย อดีตพนักงานสอบสวน สน.นางเลิ้ง เบิกความว่าตนได้รับการแต่งตั้งร่วมเป็นคณะพนักงานสอบสวนในคดีนี้ โดยพยานได้ลงไปยังพื้นที่เกิดเหตุหลังการชุมนุมยุติลงแล้ว ระหว่างการชุมนุมมีพฤติการณ์วุ่นวายไม่เรียบร้อย และเป็นการชุมนุมที่แออัด ประชาชนบางส่วนไม่ได้สวมหน้ากากอนามัย นอกจากนี้ในการสืบสวนจากภาพของเฟซบุ๊กเพจชื่อ “ปราชญ์ สามสี” พบว่า “สายน้ำ” จำเลยในคดีนี้ กำลังอยู่ในลักษณะที่จะพ่นสีสเปรย์ตามข้อกล่าวหา

พ.ต.ท.อธิชย์ ได้เป็นผู้ส่งวัตถุพยานไปตรวจสอบ พบว่ามีลายนิ้วมืออยู่บนหลักฐาน แต่พยานไม่ได้นำไปตรวจสอบเปรียบเทียบลายนิ้วมือ จึงยังไม่ทราบตัวผู้กระทำผิดชัดเจน พยานได้สอบคำให้การพยานความคิดเห็นจากหลากหลายวิชาชีพ และได้ทำการสอบสวนจำเลย โดยจำเลยให้การปฎิเสธ

ช่วงที่ปรึกษากฎหมายถามค้าน พ.ต.ท.อธิชย์ เบิกความรับว่า เกี่ยวกับคดีนี้ไม่มีประจักษ์พยานพบเห็นเหตุการณ์ รูปที่นำมากล่าวหาจำเลยนั้น พยานนำมาจากเพจ “ปราชญ์ สามสี” ซึ่งพยานไม่เคยออกหมายเรียกผู้ดูแลเพจมาสอบสวนว่า รูปดังกล่าว ถ่ายได้จากที่ไหน อย่างไร และใครเป็นผู้ถ่าย

ทั้งนี้สาเหตุที่พยานไม่มีภาพขณะเกิดเหตุจากที่อื่นๆ เนื่องจากกล้องวงจรปิดในบริเวณนั้นถูกทำให้เสียหาย ถูกปัดมุมกล้อง ทำให้ไม่สามารถบันทึกเหตุการณ์ต่างๆ ได้ และแม้พยานได้ส่งวัตถุพยานไปตรวจสอบ แต่ทางกองพิสูจน์หลักฐานไม่ได้ส่งผลตรวจมาให้ว่าลายนิ้วมือที่ปรากฎดังกล่าวเป็นของผู้ใด

ในเรื่องประเด็นการชุมนุม จากการสืบสวนสายน้ำไม่ได้เป็นผู้จัดการชุมนุม แต่การจัดการชุมนุมให้เป็นไปตามมาตรการป้องกันโรคโควิด-19 นั้น พยานทราบว่าเป็นหน้าที่รับผิดชอบของผู้จัดกิจกรรม และพยานยังรับว่า ผู้เข้าร่วมชุมนุมขณะเกิดเหตุหลายคนสวมใส่หน้ากากอนามัย และกิจกรรมอยู่ในสถานที่โล่งแจ้ง อากาศถ่ายเทสะดวก

.

พ.ต.อ.ภูมิยศ เหล็กกล้า รองผู้บังคับการศูนย์ฝึกอบรม กองบัญชาการตำรวจนครบาล ในขณะเกิดเหตุพยานเป็นอดีตพนักงานสอบสวน สน.นางเลิ้ง และเป็นหนึ่งในคณะพนักงานสอบสวนคดีนี้ ในวันเกิดเหตุ พยานไม่ได้อยู่ในสถานที่ดังกล่าว แต่พยานได้รับรายงานจากฝ่ายสืบสวนว่ามีผู้กระทำผิดคือสายน้ำ ส่วนตัวพยานมีหน้าที่สอบปากคำพยานที่เรียกมาให้การเพิ่มเติม

พยานได้สอบปากคำพยานจากหลายกลุ่มสาขาวิชาชีพ โดยมีประชาชนทั่วไป ทนายความ นักภาษาศาสตร์ และพนักงานสืบสวน

ช่วงที่ปรึกษากฎหมายถามค้าน พ.ต.อ.ภูมิยศ เบิกความว่า หลักเกณฑ์ในการเลือกพยานมาสอบคำให้การ พยานเลือกจากผู้ประกอบอาชีพที่หลากหลายและเป็นประชาชนพลเมืองไทย ไม่ได้เลือกจากบุคคลที่มีแนวคิดปกป้องสถาบันฯ เป็นหลักแต่อย่างใด

พ.ต.อ.ภูมิยศ ไม่ทราบว่า พยานที่เรียกมาแต่ละบุคคลจะมีความคิดเห็นอย่างไร หรือแนวคิดทางการเมืองเป็นอย่างไร พยานยืนยันว่าไม่ได้เรียกบุคคลที่มีแนวคิดปกป้องสถาบันฯ มาสอบคำให้การเพื่อปรักปรำจำเลย อย่างไรก็ตาม พยานไม่ได้เรียกบุคคลที่มีความคิดเห็นทางการเมืองที่แตกต่าง อย่างเช่น “กลุ่มเยาวชนปลดแอก” มาสอบปากคำ เนื่องจากวันที่มาให้การ จำเลยให้การปฎิเสธและไม่ได้ร้องขอให้สอบคำให้การพยานคนใด

ทั้งนี้ พ.ต.อ.ภูมิยศ รับว่าตามระเบียบสำนักงานตำรวจแห่งชาติ การสืบสวนสอบสวนพยาน จะต้องทำแยกห้องกันเพื่อไม่ให้เกิดการชักจูงหรือพูดกันเป็นหมู่คณะ

.

“นักร้อง” ศรีสุวรรณ จรรยา เข้าแจ้งความสายน้ำ เบิกความว่าเป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสม 

ศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการและอุปนายกขององค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญ ผู้ร่วมกล่าวหาในคดีนี้ เบิกความว่า ตนมาแจ้งความดำเนินคดีต่อพนักงานสอบสวน สน.นางเลิ้ง เมื่อวันที่ 23 ก.ค. 2564 เนื่องจากพบเห็นการกระทำผิดของจำเลยตามสื่อโซเชียลมีเดีย พบว่ามีการพ่นคำหยาบคายและเผาพระบรมฉายาลักษณ์

พยานเห็นว่า พฤติการณ์การชุมนุมของจำเลยนั้น เป็นการฝ่าฝืนข้อกำหนด พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ เนื่องจากเกิดขึ้นระหว่างมีโรคระบาด และการชุมนุมก็ไม่ได้เป็นไปอย่างสงบเรียบร้อย พยานได้สืบข่าวจากโซเชียลมีเดีย และพบว่าชายผู้กระทำผิดรูปพรรณคล้ายสายน้ำ รวมถึงในสื่อโซเชียลมีเดียได้ยืนยันว่าผู้กระทำผิดดังกล่าวคือสายน้ำ เมื่อเห็นว่าการกระทำของจำเลยเป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสม จึงได้มาแจ้งความดำเนินคดีนี้

ช่วงที่ปรึกษากฎหมายถามค้าน ศรีสุวรรณเบิกความว่า หน้าที่ขององค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญ คือปกป้องรัฐธรรมนูญ หากพบเห็นการกระทำผิดกฎหมายรัฐธรรมนูญไม่ว่าจะมาตราไหน พยานก็จะติดตาม รวมไปถึงตรวจสอบการเลือกตั้ง หรือการออกเสียงประชามติทุกระดับให้เกิดความเป็นกลาง บริสุทธิ์ ยุติธรรม เสมอภาค ให้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม

สมาชิกกลุ่มของพยานมีจำนวนประมาณสิบคน เรื่องการดำเนินการแจ้งคดี 112 กับสายน้ำ พยานได้ดำเนินการในฐานะองค์กร แต่ไม่ได้มีการปรึกษาหรือนำเรื่องเข้าวาระการประชุมกับคนอื่นๆ เนื่องจากแต่ละคนมีอำนาจตัดสินใจ สามารถดำเนินการเองได้ แต่จะมีผลผูกพันกับคนทั้งองค์กร ทั้งนี้ องค์กรของพยานไม่ได้รับเงินบริจาค แต่เป็นการใช้เงินส่วนตัวออกเอง

พยานไม่รู้จักจำเลยเป็นการส่วนตัว ไม่ทราบว่าจำเลยเคลื่อนไหวในการเรียกร้องวัคซีน ในส่วนของการเรียกร้องการจัดหาวัคซีนที่มีคุณภาพนั้น พยานเห็นว่าเป็นข้อเรียกร้องที่ชอบธรรม แต่ไม่ใช่ด้วยวิธีการชุมนุม

ศรีสุวรรณเบิกความว่า ตนเคยไปฟ้องมาตรา 112 กับบุคคลหลายราย ในขณะเดียวกันก็เคยโดนร้องเรียนว่ากล่าวหาเท็จทำให้ผู้อื่นเสื่อมเสีย แต่คดีก็ยังไม่ถึงที่สุดเช่นกัน

.

“สายน้ำ” รับว่าไปร่วมชุมนุมกับกลุ่มเยาวชนปลดแอกเพื่อเรียกร้องวัคซีน แต่ไม่ได้กระทำตามที่ถูกกล่าวหา

“สายน้ำ” นักกิจกรรมเยาวชนอายุ 19 ปี ซึ่งถูกตำรวจ สน.ยานนาวา แจ้งระงับการออกพาสปอร์ต ส่งผลให้ไม่สามารถศึกษาต่อต่างประเทศได้

เกี่ยวกับคดีนี้ ในวันเกิดเหตุสายน้ำเป็นผู้เข้าร่วมชุมนุม ไม่ได้เป็นผู้จัดการชุมนุมแต่อย่างใด รวมถึงไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับกลุ่มเยาวชนปลดแอก ไม่รู้ว่าใครเป็นแกนนำและใครเป็นแอดมินของเพจเยาวชนปลดแอก ซึ่งโพสต์เชิญชวนให้มาร่วมชุมนุมวันที่ 18 ก.ค. 2564

สายน้ำเบิกความว่า จำเลยตระหนักว่าขณะนั้นมีสถานการณ์โควิด-19 แพร่ระบาด จำเลยจึงได้ป้องกันตัวเองโดยการสวมหน้ากากอนามัย ในที่ชุมนุมก็มีมาตรการป้องกันโรค มีซุ้มพ่นแอลกอฮอล์ มีคนคอยบีบเจลแอลกอฮอล์ สวมหน้ากากอนามัย และบอกให้เว้นระยะห่างไว้ ส่วนสาเหตุที่ออกไปชุมนุมเพราะตอนนั้นเห็นว่ารัฐบาลมีการจัดสรรวัคซีนได้ไม่เหมาะสม ขาดแคลน และล้มเหลวในการบริหารจัดการประเทศ

สายน้ำได้ไปถึงอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย.ประมาณ 14.00 น. พบว่ามีรถหลายคันมาร่วมชุมนุม มีการกล่าวปราศรัย ผู้ชุมนุมมีการฉีดพ่นสีสเปรย์บนถนน แล้วเคลื่อนตัวไปที่แยกผ่านฟ้า โดยสายน้ำได้ร่วมเดินขบวนไปตามเส้นทางดังกล่าว

เมื่อเดินไปถึงแยกผ่านฟ้า ได้พบว่ามีการล้อมรั้วเหล็กอยู่ก่อนแล้ว และมีเจ้าหน้าที่ตำรวจยิงแก๊สน้ำตาใส่กลุ่มผู้ชุมนุม เกิดการปะทะกันและมีผู้ได้รับบาดเจ็บ จำเลยถูกแก๊สน้ำตาจนเกิดอาการแพ้ แสบตา หายใจไม่ออก จนต้องใช้ผ้าชุบน้ำเกลือเช็ดหน้า ปิดจมูกปิดปาก

ต่อมา แกนนำได้ประกาศว่าจะเคลื่อนขบวนไปถนนนครสวรรค์ แต่จำเลยตัดสินใจไม่ไปต่อ และออกมาาจากบริเวณนั้น มุ่งหน้ากลับถึงบ้านประมาณ 17.00 น.

สาเหตุที่จำเลยออกมาเรียกร้องชุมนุมประท้วงคือ อยากให้ประชาชนทุกคนได้รับวัคซีนที่ดีมีคุณภาพ ให้เด็กและเยาวชนได้ไปเรียนโรงเรียน เรียนหนังสือ ให้ทุกคนได้ออกมาใช้ชีวิตตามปกติ นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้ออกมาเรียกร้องเรื่อยๆ แม้จะต้องถูกดำเนินคดีก็ตาม

ช่วงอัยการโจทก์ถามค้าน สายน้ำเบิกความโดยสรุปว่า หลังชุมนุมเสร็จตนได้นั่งวินมอเตอร์ไซต์กลับมาบ้าน แต่ไม่ได้ให้วินมอเตอร์ไซต์มาเป็นพยานเบิกความ เพราะจำเลยจำไม่ได้ว่าใครเป็นคนขับ และในระหว่างที่อยู่ในม็อบ ก็ไม่มีใครยืนยันได้ว่าสายน้ำอยูในการชุมนุมจริง เพราะไม่มีพยานบุคคลอยู่ด้วย

.

ผู้จัดการ iLaw ชี้ รูปภาพจากเพจ ‘ปราชญ์ สามสี’ ไม่น่าเชื่อถือ มีการปล่อยเฟคนิวส์ให้ร้ายผู้เห็นต่างทางการเมืองบ่อยครั้ง

ยิ่งชีพ อัชฌานนท์ ผู้จัดการโครงการอินเตอร์เน็ตเพื่อกฎหมายและประชาชน (iLaw) เป็นองค์กรทําหน้าที่เกี่ยวกับการติดตามและบันทึกข้อมูลการดําเนินคดีและการใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น รวมถึงจัดทำเว็บไซต์ Mob Data Thailand เก็บข้อมูลการใช้เสรีภาพการชุมนุมในประเทศไทย

ในวันเกิดเหตุ พยานและเจ้าหน้าที่รวม 5 ราย ได้ลงพื้นที่สังเกตการณ์ เห็นว่าในการชุมนุมดังกล่าวมีมาตรการป้องกันโควิด-19 ตัวอย่างเช่น ผู้ชุมนุมสวมหน้ากากอนามัย มีผู้ฉีดพ่นแอลกอฮอล์ มีการนำอุโมงค์ฉีดพ่นยาฆ่าเชื่อโควิดเข้าไปในพื้นที่ชุมนุม โดยพยานลงพื้นที่อยู่บริเวณแยกเทวกรรม ก่อนทราบว่าที่แยกนางเลิ้งสถานการณ์ไม่ค่อยปลอดภัย เพราะมีการยิงแก๊สน้ำตาใส่ผู้ชุมนุม พยานไม่ได้อยู่ในที่เกิดเหตุ และไม่เห็นสายน้ำในวันดังกล่าวแต่อย่างใด

ยิ่งชีพเบิกความว่า สาเหตุที่ประชาชนออกมาชุมนุมกันครั้งนี้ เพราะเรียกร้องต่อการบริหารจัดการโควิดที่ล้มเหลว และต้องการให้จัดหาวัคซีนชนิด mRNA เข้ามาในประเทศให้มากขึ้น

นอกจากนี้ ยิ่งชีพเบิกความถึง UN General Comment ลงวันที่ 17 กรกฎาคม 2563 ออกโดยคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (United Nations Human Rights Council: UNHRC) มติที่ 44/20 เรื่อง การส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชนในบริบทของการชุมนุมโดยสงบ ซึ่งวางหลักการหลายอย่างไว้คุ้มครองการชุมนุมทั้งในสถานการณ์ปกติ สถานการณ์พิเศษ และสถานการณ์โรคระบาด ระบุว่าไม่ควรใช้โรคระบาดมาจำกัดสิทธิเสรีภาพการชุมนุมโดยเบ็ดเสร็จ

นอกจากนี้ ยิ่งชีพเบิกความว่า ในกรณีของเพจ “ปราชญ์ สามสี” พบว่ามีการปล่อยเฟคนิวส์โจมตี iLaw อยู่หลายครั้ง รวมถึงมีการเชื่อมโยงว่าม็อบราษฎรได้รับการสนับสนุนจากเงินต่างชาติ รวมทั้งได้ยกตัวอย่างการเผยแพร่ข่าวปลอมจากเพจดังกล่าวอีกหลายกรณี

ยิ่งชีพเบิกความว่า ตนและทีมงานโต้กลับด้วยการฟ้องร้องต่อกองทัพบกและเจ้าหน้าที่รัฐ รวมถึงขณะนั้นในสภาก็มีการอภิปรายเรื่องการสอดส่องจากรัฐบาล โดยเพจ “ปราชญ์ สามสี” ก็เป็นหนึ่งในเพจที่สะท้อนถึงการสอดแนมและโจมตีผู้ที่มีความเห็นแตกต่างทางการเมือง

ช่วงอัยการโจทก์ถามค้าน ยิ่งชีพเบิกความว่าไม่ได้รู้จักสายน้ำเป็นการส่วนตัวมาก่อน แค่เคยเห็นหน้า ในส่วนเอกสาร UN General Comment พยานรับว่าเป็นกติการะหว่างประเทศ ไม่ได้มีสภาพบังคับ แต่ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ที่ประกาศใช้ในขณะนั้น มีสภาพบังคับเป็นกฎหมาย

.

ทั้งนี้ นอกจากคดีของสายน้ำ ในการชุมนุมวันที่ 18 ก.ค. 2564 ยังมีคดีของสิทธิโชค เศรษฐเศวต ไรเดอร์ผู้ถูกฟ้องในคดีมาตรา 112 กรณีถูกกล่าวหาว่านำของเหลวคล้ายว่าเป็นน้ำมันไปฉีดพ่นใส่กองเพลิงที่ลุกไหม้อยู่บริเวณฐานพระบรมฉายาลักษณ์ระหว่างการชุมนุมในวันดังกล่าว โดยคดีของสิทธิโชค ศาลอาญามีคำพิพากษาลงโทษจำคุก 2 ปี 4 เดือน และยังอยู่ระหว่างอุทธรณ์คำพิพากษา

.

X