“เก็ท” ฝืนตื่นประท้วงวันที่ 11 เผยทุกวันนี้อยู่ได้ด้วยกาแฟกับเครื่องดื่มชูกำลัง: “ผมใช้ชีวิตทุกวินาทีอย่างภูมิใจ เพราะทุกวินาทีของผมมันคือการสู้หมดตัวแล้วจริงๆ”

วันที่ 17 ก.พ. 2566 ทนายความได้เดินทางยังเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ เพื่อเข้าเยี่ยม “เก็ท” โสภณ สุรฤทธิ์ธำรง นักกิจกรรมกลุ่มโมกหลวงริมน้ำ ที่ปฏิบัติการ “ฝืนตื่นประท้วง” ภายในเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ เข้าสู่วันที่ 11 แล้ว  

จากการสังเกตของทนายความ พบว่า วันนี้เก็ทมีอาการมึนเบลออย่างเห็นได้ชัด ใต้ตาดำคล้ำ ดวงตาดูลอยๆ ไม่โฟกัสกับสิ่งตรงหน้า ตอบสนองช้า ไม่สามารถนั่งตัวตรงได้ เวลาพูดคุยกันเก็ทจะอ่อนแรงจนนอนราบไปกับโต๊ะ หลายครั้งไม่สามารถฝืนให้เปลือกตาเบิกโพงได้คล้ายจะวูบหลับไป มือสั่นมาก เมื่อลุกขึ้นยืนจะมีอาการเซ ทรงตัวไม่ค่อยอยู่

“ทุกวันนี้อยู่ได้ด้วย ‘กาแฟ’ กับ ‘คาราบาว’” เก็ทบอกว่าผลข้างเคียงจากการฝืนตื่นประท้วงหนักขึ้นเรื่อยๆ ทำให้เขารู้สึกจุกเสียดหน้าอกมาก บางครั้งมีอาการใจสั่น กินข้าวได้น้อยเพราะกลืนไม่ค่อยลง มีการวูบช่วงกลางคืน เมื่อตื่นมาก็จะตาค้าง แต่จะอ่านหนังสือไม่รู้เรื่อง”

“ตอนตี 4 ทุกคนหลับกันหมด จู่ๆ ผมก็รู้สึกเจ็บหน้าอกมาก เจ็บต้องนอนขดตัวกับพื้น ไม่มีแรงทำอะไรเลย แม้แต่จะเรียกเพื่อน นอนขดอยู่อย่างนั้นสักพักจนมันดีขึ้น ผมปวดหัว รู้สึกเหมือนจะวูบได้ตลอด ตอนคุยกับทนายก็รู้สึกเหมือนภาพจะตัด ตอนนี้ไม่ใช่แค่กลางคืนที่อาการน่าเป็นห่วง กลางวันผมก็อาการหนักมากๆ เหมือนกัน”

“2-3 วันนี้ ทุกครั้งที่ผมวูบหลับแล้วตื่นขึ้นมา ผมจะนึกถึงห้วงสุดท้ายของชีวิตเสมอ ภาพความทรงจำเก่าๆ มันจะแฟลชแบ็คขึ้นมา อย่างเมื่อวานก็คิดถึงครูภาษาอังกฤษที่ชื่อ ‘ครูอัญชลี’ เขาเป็นครูที่ดีมาก คอยปกป้องนักเรียนเสมอเวลาที่พวกเราตั้งคำถามกับผู้ใหญ่ ผมเคยสัญญากับครูอัญชลีไว้ว่า ถ้าผมจบมาเป็นหมอ ผมจะรักษาครูฟรีเลยนะ”

“แต่ครูเสียไปตอนผมเรียนปี 2 หรือปี 3 นี่แหละ เพราะเป็นมะเร็ง ผมคิดว่าถ้าได้เจอครูอีก ครูก็คงแปลกใจ ไม่คิดว่าผมจะมาไกลขนาดนี้ เขาคงสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นกับผม” เก็ทพูดเสร็จก็หัวเราะเบาๆ 

เก็ทเผยผู้คุมมองการวูบระหว่างประท้วงเป็นเรื่องตลก พร้อมเล่าประสบการณ์นาทีชีวิตผู้ต้องขัง แต่ผู้คุมเข้าช่วยอะไรไม่ได้เลย

ตอนนี้เก็ทไม่ได้ทำหน้าที่จ่ายยาโรคจิตเวชที่หน้าแดนแล้ว เพราะมีอาการเบลอจากการประท้วงมาก จนกลัวว่าจะรับมือกับผู้ป่วยจิตเวชไม่ไหว หรืออาจจะจ่ายยาผิดพลาด ทุกคนจึงให้เก็ทพัก และให้มาทำงานอยู่ที่ห้องสมุดแทน โดยจะมีผู้ต้องขังในเรือนจำคนหนึ่งคอยดูแล 

เก็ทดีใจมากๆ ที่แก๊ง 4 พล ทะลุแก๊ส (จตุพล, ณัฐพล, พลพล และวัชรพล) ได้ออกจากเรือนจำสักที แต่ในขณะเดียวกันเก็ทก็มีข้อกังวลเกี่ยวกับการต่อสู้ของเขาต่อจากนี้ด้วย 

“ผมรู้สึกว่าผู้คุมมองการวูบของผมเป็นเรื่องตลก ทุกวันนี้เขายังแซวผมว่า ‘เห็นนั่งหลับอยู่นะ’ ซึ่งจริงๆ มันคือการฝืนร่างกายจนวูบ ไม่ใช่การหลับเฉยๆ เขาไม่เข้าใจว่ามันอันตรายยังไง ผมก็เลยกังวลว่า ถ้าผมเป็นอะไรขึ้นมา อาจจะหลับไม่ตื่นหรือใหลตาย เขาจะช่วยผมได้มั้ย ในเมื่อเขาไม่เข้าใจอาการของผมเลย”

“มันเคยเกิดเหตุการณ์ที่ผู้ต้องขังคนหนึ่งมีอาการชัก พวกผู้คุมก็วิ่งมาดูกันหมด แต่ทำอะไรไม่ได้ เพราะหมอยังแต่งตัวไม่เสร็จ ดังนั้นผมจึงไม่มั่นใจเลยว่าถ้ามีเหตุฉุกเฉินเกิดขึ้นกับผม เรือนจำจะสามารถตอบโต้ได้ทันเวลาหรือเปล่า ทุกวันนี้ผมถูกผู้คุมมอนิเตอร์หนักมาก แต่เขากลับเห็นการประท้วงของผมเป็นเรื่องตลกหมดเลยนะ”

“พอไม่มีคนช่วยดู (แก๊ง 4 พล) ผมก็ลำบาก ตอนนี้ได้ย้ายห้องแล้ว มีผู้ต้องขังคนหนึ่งบอกว่าจะช่วยดูแลผม ถ้ามีอะไรก็สะกิดได้เลย แต่ผมก็รู้สึกว่ายังไหวนะ ต่อให้ผมได้ไปรักษาตัวต่อที่โรงพยาบาล ผมก็จะฝืนตื่นประท้วงอยู่ดี จนกว่าข้อเรียกร้องจะสำเร็จ”

“ในขณะที่ผู้คุมมองว่าสิ่งที่ผมทำเป็นเรื่องไร้สาระ แต่ผู้ต้องขังด้วยกัน กลับเป็นห่วงผมยิ่งกว่าผู้คุมเสียอีก”

สารภาพหลายครั้งคิดอยากหลับ แต่ยืนยันจะไม่หยุดฝืนตื่นประท้วง จนกว่าข้อเรียกร้องจะถูกตอบรับ

อาการต่างๆ อันเนื่องจากการฝืนตื่นประท้วงที่เผชิญอยู่ตลอดมานั้น เก็ทบอกว่าทำใจไว้แล้วว่ามันจะต้องเกิดขึ้นกับตัวเอง และพูดอีกว่า “บางทีมองลูกกรงแล้วภาพมันเบลอ สั่น รู้สึกแน่นหน้าอกขึ้นมา ผมก็คิดกับตัวเองว่า ‘ต้องมากเท่าไหร่ ต้องเจ็บปวดอีกเท่าไหร่ ศาลถึงจะตอบรับ’ มันเกิดคำถามวนไปวนมาว่า ‘เราพยายามไม่พอรึเปล่า’…”

“หลายครั้งมันมีความคิดผุดขึ้นมาว่า ‘อยากนอน’ แต่อีกใจหนึ่งถ้าผมนอน ก็เท่ากับผมหยุดสู้ เหมือนการวิ่งอยู่ตลอดเวลา มันเหนื่อย แต่ก็พักไม่ได้ เพราะการพักของเรามันเท่ากับการหยุดสู้ …”

“ขอบคุณทุกคนที่เป็นห่วงผม ผมรู้ว่าทำแบบนี้จะทำให้คนรอบข้างกังวล แต่มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับผม มันอยู่ที่ศาล ถ้าศาลยอมรับข้อเรียกร้อง ผมก็จะหยุดประท้วงเอง ปกติการอดนอนเขานับกันเป็นหลักชั่วโมงนะ แต่นี่ผมอดนอนเข้าวันที่ 11 แล้ว แบมกับตะวันก็อดอาหารมานานเป็นเดือนแล้ว ศาลที่กินอิ่มนอนหลับ ยังคิดแถลงการณ์ดีๆ มาตอบรับข้อเรียกร้องพวกเขาไม่ได้อีกเหรอ”

“ผมขอแสดงจุดยืนว่า ‘ผมพร้อมสู้จนตัวตาย’ วูบไปกี่ครั้งก็จะลุกขึ้นมาใหม่ การรักษาชีวิตไว้น่ะผมทำแน่ แต่ผมมีชีวิตเดียว ถ้าผมต้องตายหรือจะต้องมีร่างกายที่ไม่เหมือนเดิม ผมก็ถือว่าได้ใช้ชีวิตแบบที่อยากใช้แล้ว”

“ผมใช้ชีวิตทุกวินาทีอย่างภูมิใจ เพราะทุกวินาทีของผมมันคือการสู้หมดตัวแล้วจริงๆ”

เรื่องที่เกี่ยวข้อง

ฝืนตื่นประท้วง: วงจรแห่งความทรมาน การต่อต้านด้วยความทนทุกข์

X