ศาลลำปางยกฟ้อง 5 จำเลย คดีติดป้าย “งบสถาบันกษัตริย์>วัคซีนCOVID-19” ชี้ไม่เป็นการหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรืออาฆาตมาดร้ายกษัตริย์

วันที่ 31 ม.ค. 2566 ศาลจังหวัดลำปางอ่านคำพิพากษาในคดีของนักศึกษาและประชาชนรวม 5 คน เหตุจากการแขวนป้ายผ้าที่มีข้อความ “งบสถาบันกษัตริย์>วัคซีนCOVID19” บริเวณสะพานรัษฎาภิเศก เมื่อวันที่ 30 ธ.ค. 2563 ที่ถูกฟ้องด้วยข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และ พ.ร.บ.รักษาความสะอาดฯ โดยมีพินิจ ทองคำ ที่ถูกฟ้องข้อหาตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14 (3) เพิ่มเพียงคนเดียว จากข้อกล่าวหาว่าเป็นผู้โพสต์ภาพป้ายผ้าดังกล่าวลงในเพจ “พิราบขาวเพื่อมวลชน”

สำหรับจำเลยที่ถูกฟ้องในคดีนี้ ได้แก่ พินิจ ทองคำ นักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์ลำปาง เป็นจำเลยที่ 1, “หวาน” (นามสมมติ) นักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์ลำปาง เป็นจำเลยที่ 2, ภัทรกันย์ แข่งขัน นักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏลำปาง เป็นจำเลยที่ 3, วรรณพร หุตะโกวิท บัณฑิตจากมหาวิทยาลัยนเรศวร เป็นจำเลยที่ 4  และ ยุพดี กูลกิจตานนท์ แม่ค้าในจังหวัดลำปาง เป็นจำเลยที่ 5  

บรรยากาศก่อนฟังคำพิพากษาเป็นไปอย่างคึกคักเนื่องจากเพื่อนของจำเลยทั้งห้า, ส.ส.พรรคก้าวไกล, นักกิจกรรมทางการเมือง และอาจารย์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์ลำปาง รวมประมาณ 15 คน เดินทางมาให้กำลังใจจำเลยทั้งห้า นอกจากนั้น ยังพบว่ามีเจ้าหน้าที่ตำรวจนอกเครื่องแบบหลายนายมาติดตามมาฟังผลคำพิพากษา รวมทั้งผู้กล่าวหาในคดีนี้ คือ ร.ต.อ.วิเชียร ดอนชาไพร รองสารวัตรสืบสวน สภ.เมืองลำปาง ก็เดินทางมาติดตามผลคดีที่ศาลด้วย 

.

.

เวลาประมาณ 10.10 น. ทนายความ จำเลยทั้งห้า และเพื่อนที่มาให้กำลังใจบางส่วน ได้เข้าห้องพิจารณาคดีที่ 4 เพื่อฟังคำพิพากษา ศาลอ่านคำพิพากษาโดยสรุปว่า

พิจารณาพยานหลักฐานฝ่ายโจทก์แล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าเมื่อวันที่ 30 ธ.ค. 2563 มี “คนร้าย” นําแผ่นป้ายผ้าของกลางมีข้อความว่า “งบสถาบันกษัตริย์>วัคซีนCOVID19” ติดแขวนที่สะพานรัษฎาภิเศก จังหวัดลำปาง และมี “คนร้าย” นําภาพแผ่นป้ายผ้าของกลางที่ติดแขวนสถานที่ดังกล่าวไปลงประกาศในบัญชีเฟซบุ๊กชื่อ “พิราบขาวเพื่อมวลชน” คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า จําเลยทั้งห้ากระทําความผิดตามฟ้องหรือไม่

สําหรับความผิดฐานร่วมกันหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112

โจทก์มี ร.ต.อ.วิเชียร ดอนชาไพร เบิกความว่าได้ตรวจสอบกล้องวงจรปิดบริเวณใกล้เคียงกับที่เกิดเหตุ กล้องวงจรปิดตามเส้นทางที่เดินทางไปบริเวณที่เกิดเหตุและกล้องวงจรปิดบริเวณใกล้เคียงกับที่ทําการคณะก้าวหน้า ซึ่งเป็นสถานที่ที่จําเลยทั้งห้าใช้เป็นสถานที่พบปะร่วมกันในการทํากิจกรรม จากการตรวจสอบพบจําเลยทั้งห้ามีส่วนร่วมรู้เห็นในการจัดทําแผ่นป้ายผ้าของกลางและนําไปแขวนติดบริเวณที่เกิดเหตุ

นอกจากนั้นยังมีเจ้าหน้าที่ตำรวจอีกสามนาย เป็นพยานโจทก์เบิกความสนับสนุนว่า บุคคลตามภาพจากกล้องวงจรปิดคือจำเลยทั้งห้า

เห็นว่า พยานโจทก์ดังกล่าวเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติงานตามหน้าที่ ได้รับมอบหมายจากผู้บังคับบัญชาเฝ้าติดตามความเคลื่อนไหวของจําเลยทั้งห้าเป็นเวลานานพอสมควร พยานดังกล่าวย่อมต้องคุ้นเคยรู้จักและจดจําจําเลยทั้งห้าได้เป็นอย่างดี คําเบิกความของพยานดังกล่าวก็เบิกความเป็นลําดับขั้นตอน จึงมีเหตุผลและมีน้ำหนักให้รับฟังได้ว่า พยานโจทก์ดังกล่าวเบิกความไปตามข้อเท็จจริงที่รู้เห็นอันเนื่องมาจากการปฏิบัติหน้าที่

ส่วนจําเลยทั้งห้ามีจําเลยที่ 1 เบิกความรับว่า จําเลยทั้งห้ากับพวกอีก 5-6 คน นําป้ายผ้าไปติดที่สะพานรัษฎาภิเศก ส่วนจําเลยที่ 2 เบิกความว่า เป็นคนเอาป้ายผ้าไปให้เพื่อนของจำเลยที่ 1 ที่สะพานรัษฎาภิเศก เพียงแต่อ้างว่าตนมิได้ไปร่วมติดป้ายผ้าด้วย พยานหลักฐานของจำเลยเจือสมกับพยานหลักฐานของโจทก์

ข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้ว่า จําเลยทั้งห้ามีส่วนเกี่ยวข้องรู้เห็นกับการจัดทําแผ่นป้ายผ้าของกลาง และนําแผ่นป้ายผ้าของกลางไปติดแขวนบริเวณที่เกิดเหตุจริง

ส่วนข้อความในป้ายผ้าดังกล่าว โจทก์มีนางจันทร์สม เสียงดี เบิกความว่าข้อความดังกล่าวเป็นถ้อยคำที่พาดพิงถึงสถาบัน เป็นการล่วงละเมิดสถาบันพระมหากษัตริย์ ทำให้คนเสื่อมความศรัทธาและเสื่อมความนับถือ ผศ.ภานุวัฒน์ ชัยชนะ เบิกความว่า ข้อความดังกล่าวจะทำให้คนอ่านน่าจะมีเหตุให้เกิดการเกลียดชังกษัตริย์มากขึ้น และอาจมองไปในทางที่ไม่ดี แต่ไม่มีพยานโจทก์ปากใดยืนยันว่าข้อความดังกล่าวเป็นการแสดงความอาฆาดมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี ทั้งข้อความดังกล่าว ก็ไม่ปรากฏว่าจะมีลักษณะเช่นว่านั้น

ศาลวินิจฉัยต่อว่า การหมิ่นประมาท หมายถึง การใส่ความผู้อื่นต่อบุคคลที่สาม โดยประการที่น่าจะทําให้ผู้อื่นนั้นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นหรือถูกเกลียดชัง ส่วนการดูหมิ่นคือการด่า ดูถูก เหยียดหยาม ดังนั้น การใส่ความหรือการดูหมิ่นย่อมจะต้องได้ความว่าหมายถึงบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะ 

เมื่อข้อความที่ระบุบนแผ่นป้ายผ้าของกลางระบุว่าสถาบันพระมหากษัตริย์ ไม่ได้กล่าวถึงองค์พระมหากษัตริย์หรือพระราชินีโดยเฉพาะ ซึ่งพยานโจทก์ทั้งสองปากก็ไม่ได้เบิกความยืนยันชัดแจ้งว่า สถาบันพระมหากษัตริย์จะหมายถึงพระมหากษัตริย์และพระราชินี การเข้าใจข้อความดังกล่าวจึงขึ้นอยู่กับการตีความ ความรู้สึกและความคิดของแต่ละบุคคล

ข้อความดังกล่าวไม่อาจถือได้ว่าเป็นการยืนยันข้อเท็จจริง การที่จําเลยทั้งห้าทําแผ่นป้ายผ้าของกลางและนําไปติดแขวนบริเวณที่เกิดเหตุจึงไม่ใช่เป็นการหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้าย พระมหากษัตริย์ พระราชินี พยานหลักฐานของโจทก์ที่นำสืบไม่มีน้ำหนักเพียงพอให้รับฟังได้ว่าจําเลยทั้งห้ากระทําความผิดฐานดังกล่าวตามฟ้อง

.

สําหรับความผิดฐานนําเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ อันเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร หรือความผิดเกี่ยวกับการก่อการร้ายตามประมวลกฎหมายอาญา ตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14 (3)

ศาลเห็นว่า พยานโจทก์ที่นําสืบต่อศาลไม่มีพยานปากใดยืนยันข้อเท็จจริงได้ว่า จําเลยที่ 1 เป็นผู้นําภาพแผ่นป้ายผ้าไปเผยแพร่ในบัญชีเฟซบุ๊ก “พิราบขาวเพื่อมวลชน” และไม่มีหลักฐานใดยืนยันได้ว่าจําเลยที่ 1 เป็นผู้นําภาพแผ่นป้ายผ้าดังกล่าวไปเผยแพร่ในบัญชีเฟซบุ๊ก 

พยานหลักฐานที่โจทก์นําสืบไม่มีน้ำหนักเพียงพอให้รับฟังได้ ทั้งข้อความดังกล่าวเมื่อไม่ถือว่าเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา จำเลยที่ 1 จึงไม่มีความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14 (3)

.

สำหรับความผิดฐานโฆษณาด้วยการปิด ทิ้ง หรือโปรยแผ่นประกาศหรือใบปลิวในที่สาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาต ตาม พ.ร.บ.รักษาความสะอาดฯ

พยานโจทก์ ร.ต.อ.วิเชียร เบิกความว่า จากการตรวจสอบกล้องวงจรปิดบริเวณใกล้เคียงกับที่เกิดเหตุพบจำเลยที่ 1 กับพวกเดินถือแผ่นป้ายผ้าเดินขึ้นไปบนสะพานที่เกิดเหตุและเดินกลับลงมาจากสะพานโดยไม่มีแผ่นป้าย เชื่อว่าจําเลยที่ 1 กับพวกนําแผ่นป้ายผ้าของกลางไปติดบนสะพานที่เกิดเหตุ 

พยานหลักฐานโจทก์มีเหตุผลและน้ำหนักรับฟังได้ว่าบุคคลตามภาพเป็นจําเลยที่ 1 จริง ข้อเท็จจริงรับฟังได้ โดยปราศจากข้อสงสัยว่าจําเลยที่ 1 กับพวกร่วมกันถือป้ายผ้าของกลางนําไปติดแขวนไว้ที่สะพานที่เกิดเหตุจริง การกระทำของจำเลยมีความผิดฐานโฆษณาด้วยการปิด ทิ้ง หรือโปรยแผ่นประกาศหรือใบปลิวในที่สาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาต ตาม พ.ร.บ.รักษาความสะอาดฯ มาตรา 10 วรรคหนึ่ง ลงโทษปรับ 5,000 บาท และให้ยึดป้ายผ้าของกลางในคดีดังกล่าว

.

หลังจากฟังคำพิพากษาแล้ว กลุ่มจำเลยและเพื่อนที่มาให้กำลังใจได้แสดงความยินดีต่อกัน โดยจำเลยที่ 1 ได้ถูกนำตัวไปควบคุมไว้ภายในห้องขังของศาล เพื่อรอการจ่ายค่าปรับตามคำพิพากษา ทั้งนี้อัตราค่าปรับดังกลา่ว เป็นโทษเต็มของความผิดในมาตราดังกล่าวของ พ.ร.บ.ความสะอาดฯ อีกด้วย

หลังจากนั้นประมาณ 1 ชั่วโมง เมื่อทนายความได้วางเงินที่ได้รับความช่วยเหลือจากกองทุนราษฎรประสงค์ชำระเป็นค่าปรับเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จำเลยที่ 1 จึงได้รับการปล่อยตัว 

จากนั้นจำเลยทั้งห้าได้ถ่ายรูปร่วมกันพร้อมกับถือ “ดอกทานตะวัน” ไว้ในมือ ก่อนจะแยกย้ายกันเดินทางกลับ 

.

ย้อนอ่านบันทึกการสืบพยานและต่อสู้ในคดีนี้

ก่อนพิพากษาคดีติดป้ายผ้า “งบสถาบันกษัตริย์>วัคซีนCOVID-19” สืบสู้เป็นข้อความทั่วไป สื่อถึงการบริหารงานรัฐบาล ไม่เข้า ม.112

.

X