เมื่อวันที่ 30 ม.ค. 2566 ทนายความได้เดินทางเข้าเยี่ยม “เก็ท” โสภณ สุรฤทธิ์ธำรง นักกิจกรรมกลุ่มโมกหลวงริมน้ำ ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ผ่านไป 22 วันแล้วที่เขาถูกคุมขังหลังจากถูกเพิกถอนประกันในคดี มาตรา 112 กรณีถูกกล่าวหาว่าฝ่าฝืนเงื่อนไขการประกันตัว จากการเข้าร่วมกิจกรรมประท้วงระหว่างการประชุม APEC2022 เมื่อช่วงเดือนพฤศจิกายน 2565
ทนายความได้อ่านจดหมายที่คนด้านนอกเรือนจำฝากมาให้เก็ท เขานั่งลงฟังอย่างตั้งใจ พออ่านถึงท่อนที่ “ตะวัน” ฝากบอก “เก็ท-ใบปอ” ว่าขอให้รักษาตัวให้ดีๆ อยู่ไปนานๆ เก็ทก็ยิ้มขื่นแล้วถอนหายใจ เขาบอกว่าช่วงที่เคลื่อนไหวบ่อยๆ เพื่อนมักจะบอกว่า ตะวันก็เหมือนเก็ทในร่างผู้ชาย ส่วนเก็ทก็เหมือนตะวันในร่างผู้หญิง ไม่ควรทำกิจกรรมร่วมกัน เพราะจะไม่มีใครห้ามใครทั้งนั้น
“แล้วเราจะได้เห็นดีกัน” คำพูดที่เก็ทฝากตะวันไว้ตอนเขาปราศรัยครั้งแรก เก็ทเล่าแล้วยิ้มออกมา
ท่ามกลางสถานการณ์การอดน้ำอดอาหารของ ”แบม-ตะวัน” เพื่อเรียกร้องสิทธิประกันตัวให้ผู้ต้องขังทางการเมืองคนอื่น สำหรับเก็ทที่คอยฟังข่าวคราวอยู่ในเรือนจำทางนี้ ความรู้สึกโกรธเกรี้ยว หม่นหมอง คุ้มคลั่ง ของเขาก็เหมือนกับระเบิดเวลาที่ค่อยๆ เดินถอยหลัง
“ผมอยู่ในนี้ก็เลือดร้อนขึ้นเรื่อยๆ เพราะทางการแพทย์ ทุกวินาทีมีค่า ผมห่วงตะวันกับแบมมาก ทางเดียวที่จะทำให้ตะวันกับแบมหยุดอดอาหารได้ คือทำตามข้อเรียกร้องของทั้งคู่ ถ้าศาลกลัวเสียหน้า ก็บอกว่าจะรับคำร้อง แล้วเอาไปพิจารณาดูก็ได้”
“ความอิสระและเป็นกลาง ควรจะอยู่ในสามัญสำนึกของคนเรียนนิติอยู่แล้ว กว่าจะขึ้นมาเป็นผู้พิพากษาได้ต้องสอบกี่รอบ”
“ถ้าเพื่อนกับน้องผมเป็นอะไรไป ผมเป็นด้วย ผมพร้อมยกระดับแน่”
เก็ทเล่าให้ฟังว่าตอนนี้ เขากับเพื่อนๆ ที่อยู่ในแดน 1-8 จะรวมตัวกัน และในอีก 10 วันข้างหน้าจะมีจดหมายจากผู้ต้องขัง 100 ฉบับส่งไปให้ พูดเรื่องข้อเรียกร้อง 3 ข้อของแบม-ตะวัน รวมไปถึงข้อเรียกร้องของสิทธิโชค ซึ่งถูกขังระหว่างอุทธรณ์คำพิพากษาในคดีข้อหาหลักตามมาตรา 112
“ตะวันกับแบมเอาชีวิตเป็นเดิมพันขนาดนี้ ถ้าศาลยังไม่ยอมรับ มันจะหนักขึ้นเรื่อยๆ ถ้าไม่อยากให้ผมเคลื่อนไหว ก็ฆ่าผมเลย จับผมมาขังไว้ในนี้ก็หยุดผมไม่ได้หรอก”
“ผมเสียศักดิ์ศรีได้นะถ้ามันคุ้ม แต่เรื่องตะวันกับแบมมันไม่ใช่ศักดิ์ศรี มันคือจิตสำนึกความเป็นคน”
เก็ทยังเล่าให้ฟังว่า ในเรือนจำ ช่วงค่ำๆ หลังดูหนังจบ เก็ทกับเพื่อนๆ ที่แดนสี่ก็จะร้องบทเพลงของสามัญชนท่อนฮุกทุกคืน ตอนเช้าก็จะร้องเพลงแสงดาวแห่งศรัทธา เพื่อเป็นกำลังใจและหล่อเลี้ยงความหวังให้ผ่านวันคืนอันโหดร้ายไปได้
“ช่วงนี้ที่แดน 4 จะมีการอภิปรายเรื่องแนวคิดต่างๆ ในห้องสมุด ก้องก็จะเอาทฤษฎีต่างๆ มาหักล้างถกเถียงกัน เขาแซวกันว่า ถ้า ‘จิตร ภูมิศักดิ์’ เป็นมหาลัยลาดยาว เราก็เป็นมหาลัยพิเศษกรุงเทพ” เก็ทเล่าแล้วหัวเราะ
“ทุกวินาทีในเรือนจำคือการต่อสู้ มันจะหนักขึ้น ต่อให้ผมถูกขังเดี่ยวหรือใส่ตรวน ผมก็จะสู้ให้ถึงที่สุด ถ้าตะวันกับแบมตายจริงๆ ผมไม่รับปากว่าผมจะทำมากขนาดไหน”
สุดท้ายก่อนจากลา เก็ทได้ฝากข้อความถึงแบมกับตะวันว่า “ถึงตะวันกับแบม ไอ respect ในตัวยู เราต้องออกไปกินเหล้าข้างนอกด้วยกันนะ รู้ว่าตายได้ แต่ห้ามตายเด็ดขาด”
“เมื่อคืนก่อน ผมฝันถึงตะวันกับแบม ฝันว่าเราได้ไปนั่งกินเหล้าด้วยกันที่ The Ordinary bar กำลังสนุกเลย แล้วผมก็นึกขึ้นได้ว่า ตอนนี้ผมอยู่ในคุกนี่ ส่วนตะวันกับแบมก็อยู่ที่โรงพยาบาล ทั้งสองคนก็มองหน้าผม แล้วพูดว่า ‘ก็มึงฝันอยู่ไง’ แล้วผมก็ตื่นขึ้นมาตอนตีสอง ส่วนคนอื่นๆ จะฝันเหมือนกันหมดว่า ได้ออกจากเรือนจำ” เก็ททิ้งท้ายถึงเรื่องความฝันในยามค่ำคืนของชาวมหาลัยพิเศษกรุงเทพ