บันทึกจากศาลทหาร: เมธินเผยชีวิตในคุกทหาร ถูกตรวนหนัก 3 กก. ตลอดเวลา ก่อนศาลพิพากษาคดี 112 จำคุก 5 ปี ดับฝัน “นายสิบ” รับราชการไม่ได้ตลอดชีวิต 

เมื่อวันที่ 11 ส.ค. 2565 เวลา 08.00 น. ที่ ศาลทหารกรุงเทพ นัดสอบคำให้การในคดีมาตรา 112 ของ “เมธิน” (นามสมมติ) กรณีพูดพาดพิงถึงรัชกาลที่ 10 ขณะโต้เถียงกับคู่กรณีที่ขับรถยนต์มาเฉี่ยวชนกลางดึก เมื่อวันที่ 7 ก.พ. 2565 ซึ่งเมธินให้การรับสารภาพ และในวันเดียวกันศาลอ่านคำพิพากษาต่อโดยทันที โดยพิพากษาจำคุก 5 ปี แต่รับสารภาพจึงลดโทษเหลือ จำคุก 2 ปี 6 เดือน

ย้อนกลับไปในวันที่ศาลอ่านคำพิพากษาชี้ชะตาพลทหารหนุ่ม วัย 21 ปี (ในขณะนั้น) ครอบครัวได้พบหน้ากันเป็นครั้งที่ 2 ในรอบกว่า 4 เดือน สายใยรักแม่ลูก-พี่สาวน้องชาย ผูกโยงเชื่อมแน่นกว่าที่เคยเป็น

ทว่าในช่วงเวลาแห่งความสุขชั่วขณะนั้นกลับถูกพลิกเป็นหลังมือ เมื่อเข้าห้องพิจารณาคดีในนัดสอบคำให้การ และหลังเมธินให้การรับสารภาพ ศาลได้อ่านคำพิพากษาต่อทันทีอย่างรวดเร็ว 

เราชวนย้อนอ่านบันทึกเหตุการณ์ในวันนั้น วันที่พลทหารเมธินขึ้นศาลครั้งที่ 2 ตั้งแต่ถูกดำเนินคดีและถูกขังนานกว่า 4 เดือน วันที่ได้พบหน้าครอบครัวเป็นครั้งที่ 2 เช่นกัน และเป็นวันเดียวกันที่กระบวนยุติธรรมของศาลทหารเร่งรีบผลักเขาเข้าสู่กรงขังอีกครั้งแบบถาวร  

1.   

พบหน้าครอบครัว

แม่และพี่สาวของเมธิน พร้อมคณะทนายความเดินทางมารอที่ศาลทหารกรุงเทพ ตั้งแต่เวลาเช้าตรู่ แต่ทว่าเมื่อถึงเวลา 08.00 น. ตามนัดหมาย เมธินก็ยังคงเดินทางมาไม่ถึง เจ้าหน้าที่ศาลให้เหตุผลว่า วันนี้ที่เรือนจำ มทบ.11 มีพิธีบางอย่างในช่วงเช้า จึงทำให้การเดินทางล่าช้ากว่ากำหนด 

เวลาล่วงเลยมาถึงประมาณ 09.40 น. เจ้าหน้าที่ศาลเดินมาบอกว่า “ตอนนี้เมธินถูกพาตัวมาถึงศาลแล้ว ขอให้ครอบครัวและทนายความเข้าไปรอในห้องก่อน แล้วผู้คุมจะพาเมธินไปหา” จากนั้นเจ้าหน้าที่ศาลเชิญครอบครัวและทนายเดินเข้าไปในห้องประชุมเล็กๆ ขนาด 6 คนนั่งล้อมโต๊ะสี่เหลี่ยมคุยกันได้ 

“คุณพ่อเมธินไม่ได้มาด้วยเหรอ” เราถามแม่เมธิน

เพราะครั้งก่อนที่เมธินถูกเบิกตัวมาศาลเป็นครั้งแรก พ่อของเมธินก็ไม่ได้มาด้วย โดยครั้งนั้นพ่อให้เหตุไว้ว่า ไม่อยากเห็นลูกชายในสภาพ ‘นักโทษ’ กลัวจะเข้มแข็งไม่พอและร้องไห้ออกมาต่อหน้าครอบครัว

แม่เล่าว่า วันนี้พ่อไม่ได้มาด้วยอีกตามเคย เพราะพ่อประเมินตัวเองแล้วว่า หากศาลมีคำพิพากษาในวันนี้ ร่างกายและสภาพจิตใจคงจะแบกรับไม่ไหว

แม่เล่าอีกว่า ตั้งแต่เมธินถูกคุมขังในคดีนี้ พ่อก็เริ่มมีอาการเครียดจนนอนไม่หลับ และต้องเผชิญกับภาวะความดันโลหิตสูงเรื่อยมาถึงตอนนี้ 

โดยเฉพาะเมื่อคืนที่ผ่านมา (10 ส.ค.) พ่อความดันพุ่งขึ้นสูงอีกขึ้น พร้อมทั้งมีอาการนอนไม่หลับ เพราะรู้สึกกังวลกับสิ่งที่จะขึ้นกับลูกชาย เกือบตลอดทั้งคืนพ่อนำสารพัดอาหารมาทำพิธีเซ่นไหว้บรรพบุรุษเพื่ออธิษฐานขอให้บรรพบุรุษคุ้มครองลูกชายและขอให้ศาลเมตตาไม่ลงโทษจำคุกเมธินในวันนี้ด้วย

ครึก ครึก ครึก เสียงโลหะดังกระทบกันเป็นจังหวะ

เสียงนั้นดังขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งเมธินย่างก้าวมาปรากฏตัวอยู่หน้าห้องที่เรานั่งรอกันอยู่

เขาสวมชุดเสื้อยืดลำลองทหารแขนสั้น สีเขียวเข้ม ด้านหน้าเสื้อสกรีนข้อความว่า “กองทัพ อาญา กอง รจ.มทบ.11” และสวมกางเกงขาสั้นสีกรม ขากางเกงด้านหน้าข้างซ้าย สกรีนข้อความเดียวกับเสื้อที่สวมอยู่ 

เมื่อก้มดูท่อนล่าง พบว่าต้นตอของเสียงโลหะกระทบกันนั้นมาจาก ‘ตรวนที่พันธนาการชายหนุ่มไว้อยู่ ข้อเท้าทั้งซ้ายขวาถูกให้ใส่ห่วงเหล็กหนา ระหว่างห่วงถูกร้อยด้วยโซ่เหล็กเส้นใหญ่ โซ่นั้นยาวจนเมธินต้องใช้สองมือรวบดึงกึ่งกลางโซ่ขึ้นมาอยู่เหนือเอวขณะเดินด้วย 

เขาค่อยๆ ย่างเดินเข้ามาในห้องที่พวกเรานั่งรออยู่ เยื้องย่างในท่าคล้ายขากะเผลก เพื่อไม่ให้เหล็กตรวนกระทบกับข้อเท้าแรงจนเกินไป 

ในที่นี้เราขอเรียก ทั้งห่วงข้อเท้าและโซ่เหล็กยาวที่พันธนาการเมธินอยู่รวมกันว่า ‘ตรวน’  

เมธินนั่งลงกับเก้าอี้ ขนาบข้างซ้ายเป็นแม่ ข้างขวาเป็นพี่สาว ทั้งสองผลัดกันเข้าสวมกอดเมธิน นี่คือการพบหน้ากันของทั้งสามเป็นครั้งที่ 2 ตั้งแต่เมธินถูกคุมขังมาตั้งแต่วันที่ 19 มี.ค. 2565 ทั้งแม่และพี่สาวกุมมือเมธินไว้แนบสนิทคนละข้าง ก่อนจะเริ่มสลับกันเอ่ยประโยคคำถามถึงความเป็นอยู่ในเรือนจำ

“เป็นยังไงบ้าง เจ็บตรงไหนหรือเปล่า เขาทำอะไรน้องไหมครับ” แม่และพี่สาวถาม พร้อมมองสำรวจร่างกายเมธินตั้งแต่หัวจรดเท้า 

เนื่องจากก่อนหน้านี้มีการเผยแพร่ข่าวที่เมธินถูกคุมขังพร้อมถูกตรวนตลอด 24 ชั่วโมง จนเป็นที่รับรู้ของคนในสังคมเป็นวงกว้าง ต่อมาครอบครัวเมธินได้รับการติดต่อจากนายทหารระดับผู้บังคับบัญชาต้นสังกัดของเมธินหลายสายตลอดทั้งวัน เพื่อขอความร่วมมือให้บอกกับสำนักข่าวที่เผยแพร่ข่าวกรณีของเมธินให้ลบชื่อหน่วยงานต้นสังกัดในข่าวออก 

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ครอบครัวจึงกังวลว่า เมธินอาจถูกลงโทษและได้รับบาดเจ็บบ้างหรือไม่ เมธินตอบว่า เขาไม่ได้ถูกลงโทษหรือรับบาดเจ็บอะไรเลย

เพียงแต่ถูกผู้คุมเรียกไปสอบถามในทำนองว่า “เคยเปลี่ยนชื่อหรือเปล่า, ตอนนี้เอ็งดังอยู่นะรู้ตัวมั้ย” เพราะในข่าวที่เผยแพร่สู่สาธารณชนใช้ชื่อว่า “เมธิน” ซึ่งเป็นนามสมมติที่ใช้แทนชื่อจริงของเขา เจ้าหน้าที่จึงถามว่า ‘เมธินที่เป็นข่าวนั้นใช่เขาหรือไม่’ 

แต่ผู้คุมก็ไม่ได้ถามลักษณะคาดคั้นเอาเป็นเอาตายขนาดนั้น เพราะพวกเขารู้ดีแก่ใจว่า เมธินที่เป็นข่าวอยู่คือคนเดียวกันกับเขา เนื่องจากไม่มีผู้ต้องขังคนอื่นอีกที่ถูกขังเพราะ ม.112   

ระหว่างสนทนากันอยู่ พ่อของเมธินได้วิดีโอคอลมาหา ก่อนจะได้คุยและเห็นหน้าลูกชายแบบทางไกลผ่านหน้าจอมือถือเป็นครั้งที่ 2 ตั้งแต่เมธินถูกคุมขัง พ่อเมธินพูดให้กำลังใจลูกชายในทำนองว่า “ขอให้อดทนนะ พ่อรักลูกมาก” ขณะเดียวกันก็มีน้ำตาและสะอื้นไปด้วยตลอดการสนทนา

เมธินเองก็พยายามกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลออกมาอย่างสุดความสามารถ จนตาของเขาแดงก่ำ และเมื่อกะพริบตาน้ำตาถึงได้ไหลออกมาให้เห็น

ช่วงท้ายที่เมธินบอกพ่อว่า “น้องก็รักเตี่ย (พ่อ) นะ ดูแลตัวเองดีๆ รอน้องกลับบ้านนะ” ก่อนจะวางสาย

เขายกมือขึ้นมาปาดน้ำตาที่เปื้อนแก้มอยู่

2.

ตีตรวน

พี่สาวเมธินก้มลงไปจับตรวน แล้วเงยหน้าขึ้นถามว่า “แล้วตรวนนี่ล่ะ ต้องใส่ตลอดเวลามั้ย ใส่มานานแค่ไหนแล้ว” 

เมธินบอกว่า ตอนแรกที่ถูกคุมขังในคดีนี้ ตั้งแต่ 19 มี.ค. 2565 เขาถูกให้ใส่ห่วงแหวนเพียง 1 ห่วง ที่ข้อเท้าข้างซ้าย โดยไม่มีการถูกให้ใส่โซ่ตรวนด้วย

แต่เมื่อประมาณเดือน มิ.ย. 2565 เมธินถูกโยงกับเหตุทะเลาะวิวาทกันของกลุ่มผู้ต้องขังในเรือนจำ ตั้งแต่นั้นเขาจึงถูกลงโทษให้ใส่ห่วงแหวนที่ข้อเท้าข้างขวาเพิ่มอีกข้างหนึ่ง พร้อมกับถูกให้ใส่โซ่ด้วย เป็นเวลาตลอด 24 ชั่วโมง ตั้งแต่ตื่นนอน อาบน้ำ ทำงานขุดดิน และกลับมาเข้านอนจนลืมตาตื่นอีกครั้ง

จากเหตุทะเลาะวิวาทครั้งนั้นมีผู้ต้องขังถูกลงโทษให้ใส่ตรวน รวมทั้งสิ้น ประมาณ 11 คน

เราก้มลงไปจับตรวนและวัดดูขนาดของมันอย่างเร็วๆ พบว่า ห่วงเหล็กที่ข้อเท้าทั้งสองข้างหนาประมาณ 1 เซนติเมตร ปลายทั้งสองด้านของห่วงเหล็กไม่บรรจบสนิทกัน แต่ยาวเหลื่อมกันไปประมาณ 7 เซนติเมตร

โซ่เหล็กที่ร้อยระหว่างห่วง ยาวประมาณครึ่งวาได้ แต่ละห่วงเล็กของเส้นโซ่เป็นเหล็กหนายาวประมาณ 8 เซนติเมตร หนาประมาณ 2 เซนติเมตร

เฉพาะโซ่ เมธินบอกว่ามีน้ำหนักประมาณ 2.5 กิโลกรัม ส่วนห่วงเหล็กทั้งสองข้างน้ำหนักรวมกัน ประมาณ 0.5 กิโลกรัม

นั่นหมายความว่า เขาถูกถ่วงลากด้วยตรวนที่มีหนักกว่า 3 กิโลกรัม 

เมื่อมองให้ดีอีก พบว่าเหนือตาตุ่มขาข้างซ้ายปรากฏเป็นรอยแผลถลอก รอบๆ แผลผิวเปลี่ยนเป็นสีม่วงคล้ำ ซึ่งเกิดจากการเสียดสีและกระแทกของห่วงเหล็ก เมธินจึงต้องก้าวเดินแปลกๆ ในลักษณะคล้ายขากะเผลก เพื่อลดแรงกระแทกของห่วงเหล็กกับข้อเท้า 

การต้องอยู่กับสิ่งแปลกปลอม ซึ่งเป็นโลหะหนัก 3 กิโลกรัมตลอดเวลานี้ ทำให้เขาปรับตัว หาวิธีจำใจอยู่กับมันให้ได้ อย่างแรก เมื่ออยู่ในเรือนจำเขาจะใช้เศษผ้าจากเสื้อผ้าตัวเก่ามาพันรอบๆ ข้อเท้าเพื่อป้องกันไม่ให้ได้รับบาดเจ็บจากการเสียดสีและกระแทกของตรวน

อย่างที่สอง เมธินใช้เศษผ้ายาวคล้ายเชือก มัดเป็นปมระหว่างกลางโซ่ เวลาเดินเขาจะรวบดึงเชือกผ้าที่ผูกโซ่ขึ้นมาอยู่บริเวณเหนือเอว พร้อมก้าวเดินไปด้วย เพื่อรับน้ำหนักโซ่และกันมือลื่นจากโซ่ เชื่อว่าใครๆ ก็รู้ว่า เมื่อเราจับของที่เป็นโลหะนานๆ มือจะเริ่มมีเหงื่อออกและทำให้ลื่นได้ และนี่คือการแก้ปัญหาของเมธิน

อย่างสุดท้าย เขาลงมือขัดตรวนให้ไร้สนิม เพื่อลดแรงเสียดทานของมันไม่ให้ข่วนสร้างแผลได้ และหากมีแผลเกิดขึ้นจริง ก็จะได้ไม่มีสนิม มาทำให้แผลบานปลายกลายเป็นบาดทะยักได้

“ผู้คุมทำตรวนให้ใหม่รึเปล่า ทำไมมันดูใหม่จัง”

“ผมขัดเอา” เมธินบอก

เขาเล่าว่า ตรวนที่ล่ามอยู่นี้ตอนแรกเป็นแค่เหล็กเก่าธรรมดา ขึ้นสนิมสีน้ำตาลเขรอะ แต่เขามักจะใช้เวลาขัดมันอยู่เสมอตอนอาบน้ำ ด้วยวิธีดึงตรวนขึ้นแล้วฟาดมันเข้าด้วยกัน ให้เหล็กกระทบกันแรงๆ นับสิบๆ ครั้ง เขาเรียกวิธีนี้ว่า ‘การตีตรวน’ เพื่อตีสนิมให้หลุดออก จากนั้นก็จะล้างด้วยน้ำ ตอนกลางวัน เมื่อมีเวลาว่างจากการทำงานเขาก็จะใช้กระดาษทรายขัดตรวนช่วยอีกวิธีหนึ่ง 

จนตอนนี้แทบไม่รู้เลยว่าตรวนที่ล่ามเมธินอยู่เคยเป็นเหล็กเก่าขึ้นสนิมเขรอะมาก่อน

การขัดให้ตรวนขึ้นมันและแวววาวก็เป็นอีกวิธีหนึ่งเพื่อลดการบาดเจ็บ เพราะยิ่งมีสนิมเยอะ พื้นผิวของตรวนก็จะยิ่งขรุขระและเป็นตัวการสร้างบาดแผลได้ ทั้งเมื่อเกิดแผลบริเวณข้อเท้า สนิมก็อาจทำให้เป็นบาดทะยักได้ 

เราถามต่ออีกว่า “ถูกโซ่ตรวนข้อเท้าทั้งสองข้างแบบนี้ เมธินใส่กางเกงยังไง” เมธินตอบว่า กางเกงในเขาไม่ให้ใส่ ไม่มีแจก ไม่มีขาย ส่วนกางเกง แม้จะถูกตรวนก็สามารถใส่ได้ วิธีคือจะต้องม้วนขากางเกงเป็นวงเล็กๆ คล้ายเลข 8 แล้วสอดขากางเกงเข้าห่วงเหล็กทีละข้าง ก็จะสามารถใส่ได้

3. 

ชีวิตในคุกทหาร

แม่เมธินบอกว่า ลูกชายดูสีผิวคล้ำขึ้นกว่าตอนที่เป็นทหารเกณฑ์ สีผิวเข้มขึ้นชัดเจน เมธินเล่าว่า เป็นเพราะตอนกลางวันต้องทำงานตากแดดแทบจะตลอดเวลา

ตอนแรกเขาถูกสั่งให้ไปช่วยงานห้องพยาบาล แต่หลายเดือนมานี้เขาถูกสั่งให้ไปช่วยงานเกษตรกรรม มีหน้าที่ขึ้นแปลงปลูกผัก เตรียมดินสำหรับเพาะปลูก ลงต้นอ่อนผักสวนครัว ถางวัชพืช ตัดหญ้า ฯลฯ 

ภายในเรือนจำ มทบ.11 เมธินเล่าว่าแยกได้เป็น 2 แดน ได้แก่

  1. แดนวินัย เป็นพื้นที่ของ ‘ผู้ต้องขังวินัย’ คือ ทหารที่ถูกลงโทษคุมขังชั่วคราว เพราะประพฤติผิดวินัยทหาร 9 ข้อ ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยวินัยทหาร พ.ศ. 2476 เช่น ใช้สารเสพติด ก่อให้แตกความสามัคคีในหมู่ทหาร หนีทหาร ทะเลาะวิวาทรุนแรง เป็นต้น แดนนี้มีตั้งแต่พลทหาร นายสิบ จนถึงนายทหาร เมธินเล่าว่า ผู้ต้องขังวินัย มีเพียงประมาณ 17 คน
  1. แดนอาญา เป็นพื้นที่ของ ‘ผู้ต้องขังอาญา’ คือ ทหารที่ถูกดำเนินคดีอาญาระหว่างรับราชการทหาร เช่น คดียาเสพติด คดีทำร้ายร่างกาย คดีลักทรัพย์ เป็นต้น ผู้ต้องขังอาญาจะถูกขังรวมกันในแดนนี้ทั้งหมด ตั้งแต่ชั้นสอบสวน ชั้นพิจารณาคดี รวมถึงนักโทษเด็ดขาดที่ศาลมีคำพิพากษาแล้ว แต่เฉพาะนักโทษเด็ดขาดที่ศาลพิพากษาลงโทษจำคุกมากกว่า 5 ปี จะถูกย้ายไปคุมขังที่เรือนจำแห่งอื่นต่อไป เมธินเล่าว่า ผู้ต้องขังคดีอาญามีประมาณ 79 คน

อย่างไรก็ตาม ทั้งสองแดนไม่ได้มีรั้วกั้นแยกอาณาบริเวณออกจากกันเป็นกิจจะลักษณะ ผู้ต้องขังวินัยและผู้ต้องขังอาญายังสามารถพบเจอกันได้ขณะถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำแห่งนี้ 

แต่เมธินบอกว่า ผู้คุมมีกฎสั่งห้าม ‘ไม่ให้ผู้ต้องขังวินัยและอาญาพูดคุยและเป็นเพื่อนกัน’ เพราะผู้ต้องขังวินัยสามารถออกไปทำงานข้างนอกเรือนจำได้ระหว่างถูกคุมขัง เช่น ไปตัดหญ้าที่บ้านนายทหารชั้นผู้ใหญ่นอกเรือนจำ แต่ผู้ต้องขังอาญาไม่สามารถออกนอกเรือนจำได้เลย ยกเว้นไปศาลหรือโรงพยาบาล เรือนจำจึงเกรงว่า หากผู้ต้องขังทั้งสองประเภทพูดคุยกัน อาจจะมีการเจรจาต่อรองให้นำสิ่งของหรือข่าวสารจากภายนอกเข้ามาแสวงหาประโยชน์ในเรือนจำได้

ด้านอาคารและสิ่งปลูกสร้าง ทั้งสองแดนมีสิ่งปลูกสร้างทุกอย่างคล้ายกัน แต่เราให้เมธินลงรายละเอียดเฉพาะแดนอาญา เขาบอกว่า โรงนอนมีลักษณะเป็นอาคารแนวยาว 2 ชั้น 

ชั้น 1 เป็นลานโล่งกว้างไว้สำหรับทำกิจกรรม เช่น ดูทีวี พูดคุย รวมแถวในร่ม ฯลฯ 

ชั้น 2 เป็นห้องขังไว้สำหรับนอนและคุมขังผู้ต้องขังในเวลาตั้งแต่เย็นจนถึงเช้าของอีกวัน 

ชั้น 2 เป็นอาคารแนวยาว ถูกซอยแบ่งเป็น 4 ห้อง – 2 ห้องตรงกลางเป็นห้องขนาดใหญ่ที่สุด ขนาดประมาณ 12X12 เมตร 2 ห้องนี้ใช้สำหรับคุมขังผู้ต้องขังเด็ดขาด 1 ห้อง อีก 1 ห้องสำหรับผู้ต้องขังที่ศาลยังไม่มีคำพิพากษา ตั้งแต่ชั้นสอบสวนจนถึงชั้นพิจารณาคดี 

ส่วนอีก 2 ห้องจะเป็นห้องขังขนาดเล็ก อยู่ริมสุดของแต่ละฝั่ง มีไว้สำหรับ ‘ขังเดี่ยว’ ลงโทษผู้ต้องขังที่ขัดคำสั่งผู้คุมและก่อความวุ่นวายในเรือนจำ หรือในบางครั้งก็จะถูกใช้เพื่อกักกันผู้ต้องขังที่ป่วยเป็นโรคติดต่อ เช่น วัณโรค โรคผิวหนัง ฯลฯ  

ห้องขังใหญ่ 2 ห้อง มีโทรทัศน์ห้องละ 1 เครื่อง ลักษณะของห้อง ด้านหน้าเป็นซี่ลูกกรง ด้านตรงข้ามกันเป็นผนังมีหน้าต่างที่ติดตั้งลูกกรงเช่นกัน ผนังอีกสองฝั่งที่เหลือจะเป็นผนังทึบสูงจรดฝ้า มีห้องน้ำในตัว จำนวน 5 โถส้วม ด้านหน้าและด้านข้างของแต่ละโถถูกกั้นด้วยผนังขนาดเตี้ยๆ สูงประมาณครึ่งเอว 

ห้องสำหรับอาบน้ำจะถูกแยกอยู่หลังอาคารโรงนอน เวลาในการอาบน้ำจะมากหรือน้อยขึ้น เมธินบอกว่า อยู่กับอารมณ์ของผู้คุมแต่ละคนในแต่ละวัน ซึ่งมีตั้งแต่ให้เอาตัวลงไปจุ่มในอ่างเพียง 1 ครั้งแล้วขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเลย หรือให้อาบน้ำได้เพียง 5 ขัน ไปจนถึงให้อาบได้ตามความพอใจ

4. 

ยกเลิก 112 

จะว่าไปเมธินก็เป็นเพียงเด็กหนุ่มธรรมดาคนหนึ่งที่ชอบเล่นเกม ติดเพื่อน เมื่อเรียนจบชั้น ม.3 สมัครเข้าเรียนต่อหลักสูตรนักเรียนพาณิชย์นาวี แต่เรียนไปได้ไม่นานก็ต้องหยุดกลางคันเสียก่อน เพราะครอบครัวมีปัญหาทางการเงิน 

ตั้งแต่นั้นเมธินจึงต้องเริ่มทำงานเรื่อยมา ตั้งแต่ส่งพิซซ่า เสิร์ฟอาหาร และช่วงหลังได้กลับมาช่วยธุรกิจร้านอาหารเล็กๆ ของครอบครัว โดยเมธินทำหน้าที่เป็นไรเดอร์คอยขับรถส่งอาหารให้กับลูกค้าถึงที่ 

เมธินยอมรับว่า ชีวิตวัยรุ่นของเขาไม่ได้สนใจเรื่องการเมืองมากนัก แม้กระทั่งตอนนี้ที่เขาตกอยู่ในสถานะผู้ต้องขังคดีมาตรา 112 เมื่อรู้ดังนั้น เราจึงเริ่มแลกเปลี่ยน เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับสถานการณ์ทางการเมืองและผู้ต้องขังคดีการเมืองในปัจจุบันให้เมธินฟัง โดยเฉพาะกรณีของผู้ต้องขังในคดีมาตรา 112 

เมธินบอกว่า เคยได้ยินเรื่องราวมาบ้างผ่านๆ เมื่อได้ฟังรายละเอียดเพิ่มเติม เมธินก็ตอบกลับว่า เห็นด้วยกับข้อเรียกร้องให้ยกเลิกมาตรา 112 เพราะเป็นข้อกฎหมายที่ให้อำนาจประชาชนคนไหนไปแจ้งความเอาผิดก็ได้ คนบางกลุ่มจึงนำไปใช้เป็นเครื่องมือเพื่อกลั่นแกล้งผู้ที่เห็นต่างทางการเมือง สุดท้ายเมธินย้ำว่ามาตรา 112 ระวางโทษจำคุก 3-15 ปี ซึ่งเป็นโทษที่สูงเกินไป  

“ผมเห็นด้วยนะ ที่ให้ยกเลิก 112 โทษมันสูงเกินไปมาก ผมพูดแค่ประโยคเดียว แต่ร้ายแรงเหมือนไปฆ่าคนตาย”

5.

คำอธิษฐานในวันเกิดปีที่ 22 

ขณะที่เราคุยกับเมธินอยู่นั้น นับไปอีก 2 วันจะถึงวันคล้ายวันเกิดปีที่ 22 ของเขา ในวันที่ 13 ส.ค. เราถามเมธินว่า “ถ้าขอพรในวันเกิดปีนี้ได้ 1 อย่าง อยากได้อะไรที่สุด”

“วันเกิดปีนี้ ผมขออธิษฐานให้ศาลรอการลงโทษไว้ (รอลงอาญา) ขอให้ผมได้กลับไปอยู่กับพ่อและแม่ด้วยครับ” เมธินตอบเสียงเบาๆ

แต่ทว่าคำอธิษฐานนี้ไม่อาจเป็นไปดังใจปรารถนา เพราะหลังจากนั้นเพียงประมาณ 20 นาที ศาลก็ออกพิจารณาคดีในนัดสอบคำให้การ โดยเมธินได้ให้การรับสารภาพตามที่ถูกฟ้องว่า เวลากลางดึก เมื่อวันที่ 7 ก.พ. 2565 ได้พูดพาดพิงรัชกาลที่ 10 ขณะโต้เถียงกับคู่กรณีที่ขับรถยนต์มาเฉี่ยวชนกลางดึกจริง

แต่ได้ให้การเพิ่มเติมว่า ขณะเกิดเหตุมึนเมาด้วยฤทธิ์แอลกอฮอล์ จึงไม่สามารถควบคุมสติสัมปัชชัญญะได้อย่างที่ควรจะเป็น นอกจากนี้ทนายความยังได้ยื่นคำร้องให้บรรเทาโทษเมธิน โดยเป็นหลักฐานที่แสดงให้ศาลเห็นว่า เมธินมีความสามารถโดดเด่นเรื่องกีฬา เป็นผู้ประพฤติดี ได้รับรางวัลหลายอย่างในสมัยเป็นนักเรียน 

หลังเมธินให้การรับสารภาพ ไม่ถึงชั่วอึดใจ ศาลได้อ่านคำพิพากษาต่อทันที ซึ่งดูรวดเร็วอย่างน่าใจหาย ทั้งๆ ที่นี่เป็นเพียงครั้งที่ 2 ที่เมธินถูกพาตัวมาศาลเพื่อเข้าร่วมกระบวนยุติธรรมในคดีนี้

แต่เพราะเมื่อเมธินให้การรับสารภาพ จึงไม่มีการสืบพยาน รวมทั้งไม่มี “กระบวนการสืบเสาะ” พฤติการณ์ของจำเลยเพิ่มเติมได้เหมือนในศาลพลเรือน อันเป็นขั้นตอนสำคัญที่ศาลใช้พิจารณาประกอบ เพื่อบรรเทาโทษหรือรอการลงโทษในคดีต่างๆ ได้ 

ศาลทหารพิพากษาจำคุกเมธิน 5 ปี โดยไม่รอลงอาญา แต่ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง เนื่องจากรับสารภาพ คงเหลือจำคุก 2 ปี 6 เดือน และยกคำร้องส่วนที่ขอให้บรรเทาโทษ เนื่องจากศาลเห็นว่า เป็นการลงโทษสถานเบาแล้วและไม่มีพฤติการณ์พิเศษอื่นที่จะให้บรรเทาโทษ

เมธินตัดสินใจหลังฟังคำพิพากษาในเบื้องต้นว่าไม่ประสงค์ที่จะยื่นอุทธรณ์คดีต่อไป ทำให้กระบวนการทุกอย่างดูเหมือนจะสิ้นสุดลง 

เมธินต้องถูกคุมขังในเรือนจำ มทบ.11 ต่อไปจนกว่าจะครบเวลาตามกำหนดโทษ และเมื่อวันที่ 13 ส.ค. มาถึง เขาก็ต้องให้วันคล้ายวันเกิดปีที่ 22 ผ่านไปเสมือนวันธรรมดาวันหนึ่ง ไม่มีเค้กวันเกิด อาหารมื้อพิเศษ คำอวยพรจากเพื่อนและครอบครัว

อีกหนึ่งสิ่งที่ถูกพรากไปพร้อมกับอิสรภาพ นั่นคือ ‘ความฝัน’ ความฝันที่เมธินวาดหวังไว้ว่า ในอนาคตอันใกล้นี้อยากจะเลื่อนชั้นขึ้นไปเป็น ‘ทหารยศนายสิบ’ ซึ่งเป็นความฝันที่มีมาแต่เด็ก

แต่เมื่อเขากลายเป็น ‘นักโทษเด็ดขาด’ ที่ศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้ว เมธินจึงจะไม่สามารถรับราชการได้ตลอดชีวิต 

อิสรภาพถูกพรากไป ความฝันหล่นหาย ถูกตีตราละเมิดความเป็นมนุษย์ซ้ำด้วยโซ่ตรวนตั้งแต่ก่อนศาลยังไม่พิพากษาว่ามีความผิด ถูกจองจำในแดนที่เหมือนดั่งเขาวงกต ไม่ให้ติดต่อครอบครัว ไม่รู้ความเป็นไปของวันคืน

เพียงเพราะเอ่ยหนึ่งประโยคสั้นๆ ขณะกำลังเมาและถูกถ่ายคลิปไปแจ้งความ

เรื่องที่เกี่ยวข้อง

เผยกรณี “เมธิน” พลทหารถูกธำรงวินัยร่วมเดือน ก่อนถูกส่งขังคุกทหาร คดี  ม.112 เหตุพูดพาดพิง ร.10 ขณะโต้คู่กรณีขับรถเฉี่ยวชน

บันทึกจากศาลทหารกรุงเทพ – “เมธิน” พลทหารผู้ต้องคดี ม.112 พบหน้าครอบครัวครั้งแรกในรอบกว่า 2 เดือนที่ขาดการติดต่อ เพราะถูกลงโทษซ้ำในเรือนจำทหาร

บันทึกเยี่ยม “เมธิน” ผู้ต้องคดี ม.112 เผยถูกตรวนข้อเท้าตลอด 24 ชม. ขณะถูกจองจำในคุกทหาร แม้ศาลจะยังไม่มีคำพิพากษา

ศาลทหารพิพากษาจำคุก 5 ปี “พลทหารเมธิน” คดี ม.112 เหตุพูดพาดพิง ร.10 ขณะเถียงคู่กรณีขับรถเฉี่ยวชน แม้ให้เหตุผลว่าขณะเกิดเหตุมึนเมาจนไม่มีสติ

X