อัยการสั่งไม่ฟ้อง 2 ผู้ถูกกล่าวหาคดี พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ “หละปูนคาร์ม็อบ” แต่ให้ ตร. ปรับฐานใช้เครื่องเสียง 100 บาท

วันที่ 27 ก.ค. 2565 ที่สถานีตำรวจภูธรเมืองลำพูน หาญศักดิ์ เบญจศรีทักษ์ หรือพิชิต ตามูล อดีตแกนนำ นปช. แดงเชียงใหม่ และชยันต์ ใจมุข ประชาชนในชาวลำพูน ซึ่งถูกดำเนินคดีด้วยข้อกล่าวหาฝ่าฝืนข้อกำหนดตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ และใช้เครื่องขยายเสียงโดยไม่ได้รับอนุญาต เหตุจากเข้าร่วมชุมนุมและปราศรัยใน #หละปูนคาร์ม็อบ ที่จัดขึ้นเมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2564 เพื่อเรียกร้องให้ประยุทธ์ลาออกและเรียกร้องให้มีการบริหารจัดการวัคซีนที่ดี

ผู้ถูกกล่าวหาทั้งสองได้เดินทางเข้าพบพนักงานสอบสวนตามที่ได้รับแจ้งจากอัยการจังหวัดลำพูนว่า ได้มีคำสั่งไม่ฟ้องผู้ถูกกล่าวหาทั้งสองในข้อกล่าวหาฝ่าฝืนข้อกำหนดตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ และฝ่าฝืนคำสั่งคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดลำพูน แต่ยังคงเหลือข้อกล่าวหาใช้เครื่องขยายเสียงโดยไม่ได้รับอนุญาต ที่มีอัตราโทษปรับ ซึ่งทางตำรวจสามารถเปรียบเทียบปรับให้คดีสิ้นสุดได้ ทั้งสองคนจึงเดินทางไปจ่ายค่าปรับที่ สภ.เมืองลำพูน โดยทั้งสองถูกพนักงานสอบสวนปรับเป็นเงินคนละ 100 บาท

ต่อมาได้นำใบเสร็จการจ่ายค่าปรับไปยื่นที่สำนักงานอัยการจังหวัดลำพูน แต่ได้รับแจ้งว่ายังไม่สามารถออกหนังสือคำสั่งไม่ฟ้องคดีถึงที่สุดให้ได้ในวันนี้ เนื่องจากทางอัยการยังต้องรอหนังสือตอบกลับมาจากพนักงานสอบสวน และต้องมีการเสนอคำสั่งไม่ฟ้องผู้ถูกกล่าวหาทั้งสองไปยังอัยการจังหวัด และเสนอต่อไปยังอัยการภาคต่อไป โดยอัยการได้นัดหมายให้ผู้ถูกกล่าวหาทั้งสองมารายงานตัวเพื่อติดตามคำสั่งไม่ฟ้องอีกครั้งในวันที่ 25 ส.ค. 2565 ต่อไป

.

ภาพขณะผู้ถูกกล่าวหาทั้งสองจ่ายค่าปรับที่สภ.เมืองลำพูน 27 ก.ค. 2565

หลังผู้ถูกกล่าวหาทั้งสองได้รับทราบว่าคดีของพวกเขาได้เดินทางมาถึงช่วงท้าย โดยไม่ต้องไปถึงขั้นการพิจารณาคดีโดยศาลแล้ว ทั้งสองได้ให้ความเห็นต่อการถูกดำเนินคดีเป็นเวลาเกือบ 1 ปี อีกทั้งหลังการส่งสำนวนให้อัยการเมื่อวันที่ 24 ส.ค. 2564 ทั้งคู่มีภาระในการต้องเดินทางไปรายงานตัวต่ออัยการเดือนละ 1 ครั้ง

ชยันต์ ระบุว่า สำหรับเขาแล้วมันเป็นการตั้งใจออกมาต่อสู้ เราก็ช่วยกันต่อสู้และพร้อมที่จะสู้ต่อไป เรื่องติดขัดเดียวที่เขาต้องพบเจอ คือเรื่องที่ต้องเดินทางไปตามกำหนดนัดหมายของทั้งตำรวจและอัยการตลอด ซึ่งสำหรับคนที่ไม่มีการสนับสนุนใดๆ มันมีค่าใช้จ่ายอยู่ ยิ่งในสถานการณ์เศรษฐกิจไม่ดีแบบนี้ด้วย ก็สร้างความลำบากไม่น้อยทีเดียว ส่วนเรื่องอื่นๆ เขาไม่ได้มีปัญหา เพราะคิดว่าตนเองไม่ได้กระทำความผิดใด

หาญศักดิ์ ระบุว่า สำหรับเขาแล้วมองว่าคดีนี้มันเป็นคดีมโนสาเร่ หรือเรียกอีกอย่างว่า “คดีไร้สาระ” มาตั้งแต่ต้นแล้ว ยิ่งผลสุดท้ายผลออกมาว่าเพียงแค่จ่ายค่าปรับก็จบ แทนที่ตำรวจจะมีอำนาจในการพิจารณาข้อกฎหมายเหล่านี้มาตั้งแต่แรก เปรียบเทียบปรับไปตั้งแต่แรกก็ได้ ไม่ควรปล่อยให้เลยเถิดกันมาแบบนี้

อีกประการหนึ่ง เขาอยากให้มองเรื่องระยะเวลาตลอด 1 ปี ที่คนๆ หนึ่งที่ถูกกล่าวหาในคดีอาญา มีกำหนดนัดหมายต่างๆ ที่ต้องมา มีต้นทุนค่าใช้จ่ายที่ต้องเสีย เขามองว่านี่คือความเสียหายที่สูงของคนที่ถูกกล่าวหาต้องแบกรับ แล้วไม่อาจเยียวยาคืนมาได้ การดำเนินคดีนี้ไม่ได้สร้างประโยชน์ให้ประเทศเลย มีแต่รับใช้ผู้มีอำนาจเท่านั้น ถ้าเป็นคนที่มีงานประจำทำอยู่แล้วต้องเสียการเสียงานมา อาจต้องผลกระทบต่ออาชีพของบุคคลนั้นได้ แม้ในท้ายที่สุดจะไม่มีความผิดใดเลยก็ตาม

ทั้งนี้ คดีนี้นับเป็นคดีจากการจัดกิจกรรมคาร์ม็อบคดีที่ 8 แล้ว ที่พนักงานอัยการมีคำสั่งไม่ฟ้องคดีในข้อหา พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ขณะที่คดีที่ไปถึงชั้นศาล ก็มีคดีที่ศาลมีคำพิพากษายกฟ้องไปแล้ว ไม่น้อยกว่า 7 คดี ขณะที่อีกหลายรายยังรอการพิจารณาในชั้นศาลอยู่ โดยยังไม่มีคดีใดที่ต่อสู้คดีและศาลเห็นว่ามีความผิดแต่อย่างใด ชี้ให้เห็นปัญหาการใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ เป็นเครื่องมือในปราบปรามการแสดงออกทางการเมืองของผู้คัดค้านต่อต้านรัฐบาล

>> สถิติคดี พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ที่ศาลยกฟ้อง-อัยการสั่งไม่ฟ้อง

>> 1 ปี คาร์ม็อบไล่ประยุทธ์: สรุปคดีทั่วไทยไม่น้อยกว่า 109 คดี ศาลยกฟ้องไป 5 คดี อัยการสั่งไม่ฟ้อง 4 คดี

.

X