ศาลให้ฝากขังเก็ทต่ออีก 7 วัน แม้คัดค้านว่าต้องออกไปสอบใบประกอบฯ ตร.อ้างรอผู้บังคับบัญชาพิจารณาสั่งฟ้อง ก่อนศาลสั่งไต่สวนคำร้องขอประกัน 31 พ.ค. นี้

27 พ.ค. 2565 เวลา 10.00 น. ศาลอาญานัดไต่สวนคำร้องขอคัดค้านการฝากขัง “เก็ท” โสภณ สุรฤทธิ์ธำรง ในผัดที่ 4 ในคดีตามมาตรา 112 กรณีปราศรัยในการชุมนุม #ทัวร์มูล่าผัว เมื่อวันที่ 22 เม.ย. 2565 ซึ่งต่อมาศาลมีคำสั่งให้ฝากขังต่ออีก 7 วัน ตั้งแต่วันที่ 28 พ.ค. จนถึง 3 มิ.ย. 2565  แต่นัดให้มีการไต่สวนคำร้องขอประกันตัวในวันที่ 31 พ.ค. นี้ เวลา 10.00 น.

คดีนี้ โสภณถูกจับกุมตามหมายจับในช่วงค่ำเมื่อวันที่ 1 พ.ค. 2565 ในคดีตามมาตรา 112 กรณีปราศรัยในการชุมนุม #ทัวร์มูล่าผัว และถูกฝากขังระหว่างสอบสวนในผัดที่ 1 มาตั้งแต่วันที่ 2 พ.ค. เรื่อยมา จนครบกำหนดฝากขังในวันนี้

เช้าวันนี้พนักงานสอบสวน สน.สำราญราษฎร์ จึงได้ยื่นคำร้องขอฝากขังโสภณต่อเป็นผัดที่ 4 ต่อไปอีก 12 วัน ขณะที่ทนายความได้ยื่นคัดค้านการฝากขังต่อ ศาลจึงนัดไต่สวนคำร้องของพนักงานสอบสวน

ไต่สวนค้านฝากขัง ตร.ขอฝากขังอีก 12 วัน ยังอ้างเหตุ “รอผู้บังคับบัญชาพิจารณาสำนวนคดี” เช่นเดียวกับครั้งก่อน 

ณ ห้องพิจารณาคดี 916 มีผู้เข้าร่วมสังเกตการณ์ประมาณ 10 คน โดยมีตัวแทนจากสถานทูตประเทศเบลเยียมและสวีเดนเข้าร่วมสังเกตการณ์ด้วย รวมถึงยังมีพ่อและแม่ของโสภณเข้าร่วมการไต่สวนเป็นครั้งแรกด้วย

10.17 น. โสภณปรากฏตัวผ่านจอภาพวิดีโอคอนเฟอร์เรนซ์ แต่พบปัญหาขัดข้องเทคนิคด้านเสียง โดยที่ศาลอาญาไม่ได้ยินเสียงที่ถ่ายทอดจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ เจ้าหน้าที่พยายามแก้ไขปัญหาดังกล่าวอยู่ประมาณ 20 นาที จึงกลับมาติดต่อสื่อสารกันได้ตามปกติ 

ทั้งนี้พบว่า ที่ศาลอาญาประสบปัญหาด้านเทคนิคและสัญญาณการถ่ายทอดสัญญาณหลายครั้ง ซึ่งเป็นเหตุผลสำคัญที่ทนายความยื่นคำร้องขอให้ศาลเบิกตัวผู้ต้องหาหรือจำเลยมาที่ศาลแทนการประชุมผ่านจอภาพ แต่ศาลก็ไม่ได้อนุญาต โดยอ้างเหตุผลว่าไปเป็นตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19

การไต่สวนเริ่มต้นขึ้น โดยวันนี้มีพยาน 1 ปาก คือ ร.ต.อ.โยธี เสริมสุขต่อ พนักงานสอบสวน สน.สำราญราษฎร์ในฐานะผู้ร้อง เบิกความว่า วันนี้ได้ยื่นคำร้องขอฝากขังผู้ต้องหาในผัดที่ 4 ต่อไปอีก 12 วัน ตั้งแต่วันที่ 28 พ.ค. จนถึงวันที่ 8 มิ.ย. 2565 เนื่องจากยังทำการสอบสวนยังไม่แล้วเสร็จ 

ขณะนี้อยู่ระหว่างพิจารณาของผู้บังคับบัญชาระดับกองบังคับการตามคำสั่งกองบังคับการตำรวจนครบาล 6 ที่ 166/2565 ลงวันที่ 29 เม.ย. 2565 และหากเสร็จสิ้นจะต้องเสนอผู้บังคับบัญชาระดับกองบัญชาการตำรวจนครบาลเพื่อพิจารณาสั่งการต่อไป

ร.ต.อ.โยธี ตอบทนายถามค้านพยานว่า ทราบว่าผู้ต้องหาสำเร็จการศึกษาแล้ว แต่ไม่ทราบว่ายังมีสถานะเป็นนักศึกษาอยู่ โสภณแถลงต่อว่า ตนเองสำเร็จการศึกษาจากคณะแพทยศาสตร์วชิรพยาบาล ภาควิชารังสีเทคนิค มหาวิทยาลัยนวมินทราธิราช และขณะนี้กำลังรอสอบใบประกอบโรคศิลปะสาขารังสีเทคนิคอยู่ แต่ขณะเดียวกันก็ยังมีสถานะเป็นนักศึกษาอยู่ด้วยเช่นกัน เนื่องจากกำลังศึกษาอยู่ชั้นปีที่ 2 คณะนิติศาสตร์มหาวิทยาลัยรามคำแหง เป็นปริญญาอีกใบหนึ่งด้วย

ในคดีนี้ ร.ต.อ.โยธี ทราบว่าผู้ต้องหามีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง แต่ไม่ทราบรายละเอียดเกี่ยวกับการจับกุมผู้ต้องหา เพราะมีหน้าที่เป็นพนักงานสอบสวนเท่านั้น และยอมรับว่า แม้ศาลจะมีคำสั่งอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวหรือไม่อนุญาตให้ฝากขังผู้ต้องหา ก็สามารถทำสำนวนและรอความเห็นผู้บังคับบัญชาต่อไปได้ และไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อการทำสำนวนคดีแต่อย่างใด แต่หากเมื่อต้องสรุปความเห็นส่งพนักงานอัยการมีความจำเป็นต้องมีตัวผู้ต้องหาอยู่ด้วย ไม่เช่นนั้นอัยการจะไม่รับฟ้อง

ร.ต.อ.โยธี เบิกความอีกว่า ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการรอความเห็นการพิจารณาจากผู้บังคับบัญชาเนื่องจากคดีนี้เป็นคดีเกี่ยวกับความมั่นคง ซึ่งมีการแต่งตั้งคณะกรรมการเพื่อมีความเห็นสั่งฟ้อง โดยต้องรอความเห็นดังกล่าวก่อน ซึ่งไม่ทราบแน่ชัดว่าจะใช้ระยะเวลานานเท่าใด

พ่อเก็ทแถลงในฐานะทันตแพทย์ ไม่อยากให้ลูกชายพลาดโอกาสสำคัญในการสอบเป็นบุคคลทางการแพทย์ เพื่อรับใช้ประเทศชาติต่อไป

จากนั้นทนายความของผู้ต้องหาแถลงขออนุญาตให้พ่อของโสภณได้แถลงต่อศาล เพื่อประกอบดุลยพินิจการมีคำสั่งว่าจะอนุญาตให้ฝากขังโสภณหรือไม่ในวันนี้ ซึ่งศาลได้อนุญาต

พ่อขอโสภณแถลงว่า ตนเป็นทันตแพทย์ชำนาญการสังกัดกรุงเทพฯ ไม่กี่วันก่อนหน้านี้ ตนได้เดินทางไปพบกับอาจารย์ภาควิชารังสีเทคนิค ที่วชิรพยาบาล โดยอาจารย์ได้บอกว่าในวันที่ 3, 4, 5, 24 และ 25 มิ.ย. 2565 จะมีการทบทวนความรู้เพื่อเตรียมสอบขึ้นทะเบียนใบประกอบโรคศิลปะรังสีเทคนิค และอาจารย์ได้มีหนังสือเป็นเอกสาร พร้อมลงชื่อผู้รับผิดชอบของคณะแพทย์ศาสตร์ได้นำส่งศาลแล้ว

พ่อโสภณเบิกความอีกว่า โสภณต้องไปเตรียมทบทวนกับอาจารย์เพื่อเตรียมสอบใบประกอบโรค หากถูกขังไว้จะเป็นการเสียโอกาสโดยไม่จำเป็น โดยจะทำให้ไม่สามารถฟังบรรยายดังกล่าวได้

นอกจากนี้วันที่ 1 มิ.ย. 2565 เป็นต้นไป สถานพยาบาลและกระทรวงสาธารณสุขกำหนดให้นักศึกษารังสีเทคนิคทุกคนต้องเข้ารับการตรวจร่างกายและรับใบรับรองผลตรวจ รวมถึงต้องส่งเอกสารประกอบการสมัครขึ้นทะเบียนใบประกอบโรคศิลปะรังสีเทคนิค ซึ่งเป็นความจำเป็นต่อการประกอบวิชาชีพและการทำหน้าที่บุคลากรทางการแพทย์ของประเทศไทยต่อไป

พ่อของโสภณเบิกความทิ้งท้ายว่า “ในฐานะทันตแพทย์คนหนึ่ง ไม่อยากให้โสภณเสียโอกาสการสอบเป็นบุคลากรทางการแพทย์ในครั้งนี้ไปโดยไม่จำเป็น และไม่ควรถูกขังไว้อีกต่อไป”

โสภณแถลงทิ้งท้ายว่า “ตำรวจให้ฝากขังนานถึง 27 วันแล้ว ยังทำสำนวนไม่แล้วเสร็จอีกหรือ เรื่องนี้สะท้อนให้เห็นถึงความล้มเหลวของกระบวนการยุติธรรมอย่างชัดเจนมากๆ”

พ่อของโสภณบอกกับเก็ทว่า “พ่อแม่มาหาความยุติธรรมให้กับลูกนะครับ” แม่ของโสภณบอกว่า “คิดถึงนะเก็ท แม่มาหาทุกวันเลย ไว้เจอกันนะครับ”

จากนั้นศาลได้นัดฟังคำสั่งในเวลา 13.30 น.

ศาลให้ฝากขังต่ออีก 7 วัน อ้างพนักงานสอบสวนยังทำสำนวนไม่แล้วเสร็จถือเป็นกรณีจำเป็นให้ขังต่อ

เวลา 13.30 น. ตามกำหนดที่ศาลนัดฟังคำสั่งว่าจะอนุญาตให้ฝากขังโสภณต่อไปหรือไม่นั้น เมื่อเจ้าหน้าที่ศาลถ่ายทอดสัญญาณจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ กลับพบปัญหาทางเทคนิคอีกครั้ง โดยพบว่าไม่สามารถถ่ายทอดสัญญาณภาพได้ เจ้าหน้าที่ศาลจึงได้พยายามทำการแก้ไขปัญหาดังกล่าวนานถึง 1 ชั่วโมง ก่อนจะกลับมาใช้งานการประชุมทางจอภาพได้ปกติ

14.30 น. ศาลมีคำสั่งอนุญาตให้ฝากขังโสภณต่อไปอีก 7 วัน มี รายละเอียดคำสั่งโดยสรุปดังนี้

เห็นว่าการที่พนักงานสอบสวนยื่นคำร้องขอฝากขังผู้ต้องหาในผัดที่ 4 นี้ เนื่องจากรอผู้บังคับบัญชาพิจารณาสองระดับ โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการเสนอต่อผู้บังคับบัญชาระดับกองบังคับการ และเมื่อแล้วเสร็จจะต้องเสนอสำนวนให้ผู้บังคับบัญชาระดับกองบัญชาการพิจารณาอีก ซึ่งเป็นไปตามนโยบายเกี่ยวกับคดีความมั่นคงกรณีจึงเป็นเหตุจำเป็นให้ฝากขังต่อไปได้

กรณีที่ฝั่งผู้ต้องหาคัดค้านว่ามีที่อยู่เป็นหลักแหล่งและไม่มีพฤติการณ์ไปยุ่งเกี่ยวหรือยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐานนั้น ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 71 วรรค 1 บัญญัติไว้ว่าให้สามารถออกหมายขังผู้ต้องหาในระหว่างสอบสวนไว้ได้ เนื่องจากคดีนี้ผู้ต้องหาถูกกล่าวหาด้วยข้อกล่าวหาตามมาตรา 112 ระวางโทษจำคุก 3 – 15 ปี จึงเป็นกรณีให้สามารถออกหมายขังตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 71 ไว้ได้ ซึ่งศาลได้เคยวินิจฉัยมีคำสั่งในครั้งก่อนแล้ว

ทั้งนี้ ตามประมวลวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 134 และมาตรา 130 บัญญัติไว้ว่า ไม่ให้คุมขังผู้ต้องหาไว้นานเกินสมควรและให้เร่งรัดการสอบสวนโดยไม่ชักช้า และศาลเห็นว่าการสอบสวนใกล้แล้วเสร็จแล้ว ไม่น่าจะใช้เวลานานถึง 12 วัน จึงอนุญาตให้ฝากขังต่อไปในผัดที่ 4 นี้เพียง 7 วัน ตั้งแต่วันที่ 28 พ.ค. ถึงวันที่ 3 มิ.ย. 2565 แต่ทั้งนี้ไม่ตัดสิทธิ์ในการให้ผู้ต้องหายื่นขอประกันตัว

หลังศาลมีคำสั่ง โสภณได้ถามศาลว่า “ฝากขังผัดที่ 2 ศาลบอกจะให้ฝากขังเป็น ‘ครั้งสุดท้าย’ ครั้งที่ 3 ก็บอกแบบนี้ นี่ครั้งที่ 4 ยังจะผัดต่อไปอีก ผมไม่เข้าใจว่าศาลมีจุดยืนไหม จะให้มีความเชื่อมั่นต่อศาลต่อไปได้อย่างไร”

ศาลตอบว่า “ต้องพิจารณาตามคำร้องขอฝากขังเป็นครั้งๆ ไปว่ามีความจำเป็นหรือไม่ และครั้งนี้ศาลก็ได้วินิจฉัยไปแล้วว่ามีความจำเป็นให้ฝากขัง”

โสภณตอบว่า “แล้วผมจะเชื่ออะไรศาลได้อีก ศาลบอกว่าจะให้ฝากขังเป็นครั้งสุดท้ายไม่มีอยู่จริงเลย ฟังคำว่า ‘ครั้งสุดท้าย’ มาหลายครั้งแล้ว …” 

โสภณยังไม่ทันพูดจบ แต่เจ้าหน้าที่ศาลก็ได้ตัดสัญญาณการถ่ายทอดไปในทันที จากนั้นผู้พิพากษาก็รีบลุกเดินออกไปจากห้องพิจารณาทันทีเช่นกัน

พ่อแม่ของเก็ทเผย ลูกชายต้องเริ่มทำงานตั้งแต่ 19 พ.ค. ที่ผ่านมา แต่ถูกขังอยู่ ขณะ มิ.ย.นี้ต้องติวสอบใบประกอบรังสีเทคนิค แม่เครียดแทนจนน้ำหนักลด ทำงานไม่ได้ ด้านพ่อยันพร้อมทำทุกทางให้ลูกได้สอบใบประกอบ ปลายปีนี้วางแผนเรียนต่อแพทย์อีก 4 ปี

แม่ของโสภณเปิดเผยว่า โสภณสอบสัมภาษณ์และมีสิทธิ์เข้าทำงานด้านรังสีเทคนิคที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ โดยจะต้องเริ่มต้นงานวันแรกเมื่อวันที่ 19 พ.ค. ที่ผ่านมา แต่ขณะนั้นโสภณยังถูกฝากขังอยู่ในเรือนจำ และไม่แน่ใจว่าหากโสภณถูกปล่อยตัวออกมาแล้ว โรงพยาบาลจะยังรับเข้าทำงานอยู่หรือไม่

ขณะเดียวกันในเดือนมิถุนายน โสภณจะต้องเข้ารับการทบทวนความรู้กับอาจารย์ที่คณะแพทย์วชิรพยาบาลเพื่อเตรียมสอบใบประกอบโรคศิลปะรังสีเทคนิคในเดือนกรกฎาคม ซึ่งเปิดให้สมัครและสอบคัดเลือกเพียงปีละ 1 ครั้งเท่านั้น 

ทั้งนี้ปลายปีนี้โสภณและครอบครัวยังวางแผนไว้ว่า จะให้โสภณเรียนต่อในคณะแพทยศาสตร์หลักสูตร 4 ปี ถึง 4 ปี ครึ่ง สำหรับผู้สำเร็จการศึกษาสายสุขภาพเพื่อสำเร็จการศึกษาเป็นแพทย์ต่อไป

แม่ของโสภณเล่าอีกว่า หลังลูกชายถูกจับกุม แม่ไปให้กำลังใจโสภณที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ทุกวัน แม้จะเข้าเยี่ยมหรือพบหน้าไม่ได้ก็ตาม แต่แค่ได้ไปให้กำลังใจอยู่ด้านนอกอย่างใกล้ที่สุดก็เพียงพอแล้ว 

วันนี้ระหว่างไต่สวน โสภณเล่าว่าอดอาหารจนน้ำหนักตัวลดลงจนเห็นเส้นเลือดปูดตามร่างกายชัดเจน เรื่องนี้แม่แสดงความเป็นห่วงโดยเล่าว่า ก่อนหน้านี้โสภณเคยอ่านหนังสือสอบจนไม่ได้กินข้าวหลายวัน เมื่อต้องกินข้าวมื้อแรกเพียงไม่กี่คำ ก็เกิดอาการปวดท้องจนต้องพาตัวส่งโรงพยาบาล 

ประกอบกับเดิมโสภณมีโรคกระเพาะเป็นโรคประจำตัวอยู่แล้ว แม่จึงแสดงความกังวลว่าลูกชายจะเผชิญอาการเหล่านี้หนักขึ้นไปอีก เมื่อต้องอดอาหารในช่วงที่ผ่านมา 

จากความกังวลข้างต้น แม่ได้พยายามส่งยารักษาโรคกระเพาะและยาธาตุน้ำขาวให้โสภณ แต่ถูกทางเรือนจำปฏิเสธไม่สามารถนำยาเหล่านั้นเข้าให้โสภณได้ 

ทั้งนี้ พ่อและแม่ของโสภณยังเล่าอีกว่า ปู่ของโสภณรักและเป็นห่วงมาก ถามหาโสภณทุกวัน โดยเมื่อคืนที่ผ่านมาปู่ถึงขนาดกับร้องไห้ เพราะเป็นห่วงและคิดถึงหลานชายมาก

เรื่องที่เกี่ยวข้อง 

บันทึกเยี่ยมเก็ท โสภณ: “ถ้าไม่ได้ออกไปสอบ ผมจะประกอบอาชีพนี้ไม่ได้ไปหนึ่งปีเลย”

“เก็ท” #โมกหลวงริมน้ำ : จากนักศึกษาแพทย์รังสี สู่ผู้ถูกคุมขังในคดีความมั่นคงของรัฐ

X