นักกิจกรรม “นครพนมสิบ่ทน” แจ้ง ตร.ลงประจำวันเป็นหลักฐาน หลังชายหัวเกรียนปีนรั้วเข้าบ้านยามวิกาล-นั่งประชิดในรถตู้สาธารณะ

4 พ.ค. 2565 วารียา โรจนมุกดา นักศึกษาและนักกิจกรรม “นครพนมสิบ่ทน” พร้อมทนายความ เดินทางไปที่ สภ.เมืองนครพนม เพื่อลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐาน กรณีถูกชายคล้ายเจ้าหน้าที่แต่ไม่ทราบสังกัด คุกคามถึงบ้านและประชิดตัวขณะเดินทาง  

วารียาให้รายละเอียดกับร้อยเวร คือ ร.ต.อ.พยุง ศรีโฮง รอง สว.(สอบสวน) สภ.เมืองนครพนม ว่า เมื่อวันที่ 29 เม.ย. 2565 เวลา 23.00 น. ขณะที่เธอกําลังนอนหลับอยู่ภายในบ้านพักใน อ.เมืองนครพนม เพียงคนเดียว ก็มีเสียงเพื่อนบ้านตะโกนร้องว่ามีโจรเข้าบ้าน พร้อมทั้งตะโกนเรียกเธอ ทำให้เธอรู้สึกตัวตื่นขึ้นมา ก่อนได้ยินเสียงผู้ชายอยู่บริเวณประตูบ้าน แต่ไม่ทราบว่าเป็นผู้ใด และไม่ได้ออกมาดู เนื่องจากเพื่อนบ้านคนเดิมตะโกนบอกเธอว่าไม่ต้องออกมา 

จากการสอบถามเพื่อนบ้านในช่วงเช้า เพื่อนบ้านเล่าให้ฟังว่า มีชายหัวเกรียน 3 คน ปีนข้ามรั้วบ้านเธอเข้ามา เพื่อนบ้านจึงส่องไฟไปดู ชายดังกล่าวแจ้งว่าเป็นตํารวจแวะมาทักทายเฉยๆ แล้วก็พากันปีนรั้วกลับออกไปขึ้นรถตู้สีบรอนซ์เงินออกไป โดยเพื่อนบ้านมองไม่เห็นหมายเลขทะเบียนของรถคันนั้น 

วารียาระบุอีกว่า ต่อมาในวันที่ 30 เม.ย.2565 เวลาประมาณ 09.00 น. ขณะเธอเดินทางไป จ.มุกดาหาร ด้วยรถตู้โดยสาร ได้มีชายหัวเกรียน 2 คน ซึ่งนั่งอยู่บนรถได้เข้ามานั่งประชิดเธอคนหนึ่ง อีกคนนั่งเบาะด้านหน้าเธอ คนที่นั่งประชิดสอบถามว่า เธอจะจัดชุมนุมที่นครพนมเหรอ จัดที่ไหน เมื่อไหร่ และเธอจะไปทำอะไรที่มุกดาหาร 

และเมื่อไปถึงสถานีขนส่งจังหวัดมุกดาหาร ชาย 2 คนดังกล่าวได้ลงจากรถตู้โดยสารไปขึ้นรถตู้อีกคัน ซึ่งเธอมองเห็นว่าข้างในรถคันนั้นมีชายแต่งเครื่องแบบทหารนั่งอยู่ ทำให้เธอเกรงว่า บุคคลดังกล่าวซึ่งยังไม่ทราบว่าเป็นผู้ใดจะมาคุกคามและประทุษร้ายเธออีกในภายหลัง จึงมาพบพนักงานสอบสวนเพื่อบันทึกเหตุการณ์ดังกล่าวไว้เป็นหลักฐาน 

ร.ต.อ.พยุง ได้รับแจ้งความและลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐาน 

ชายหัวเกรียนในรถตู้นั่งอยู่เบาะหน้าวารียา

ภายหลังเข้าพบตำรวจ วารียาให้ข้อมูลกับศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนเพิ่มเติมอีกว่า ก่อนหน้าเหตุการณ์ดังกล่าวราวสัปดาห์กว่าๆ เธอสังเกตว่า ขณะเธอออกไปวิ่งออกกำลังกายที่ทางวิ่งริมแม่น้ำโขงในช่วงตี 4 ซึ่งเป็นเวลาที่มีคนมาออกกำลังกายเป็นปกติ ในบางวันจะมีชายหัวเกรียนมาวิ่งตามเธออยู่ห่างๆ ตลอดการวิ่ง โดยไม่ทราบวัตถุประสงค์ที่แน่ชัด และแต่ละครั้งดูเหมือนจะไม่ใช่คนเดียวกัน เท่าที่เธอจำได้ในช่วงเวลาสัปดาห์กว่าๆ นั้น เธอถูกติดตามถึง 4 วัน 

วารียาเล่าด้วยว่า ข้อมูลการถูกติดตามขณะไปวิ่งนั้น เธอก็ได้เล่าให้ร้อยเวรทราบเพื่อให้ลงบันทึกเช่นกัน แต่ร้อยเวรไม่ได้บันทึก และขณะที่ร้อยเวรให้เธออ่านบันทึกประจำวันก่อนลงลายมือชื่อ เธอเองก็รีบๆ อ่าน จึงไม่ได้สังเกตว่า ร้อยเวรไม่ได้บันทึกเหตุการณ์ในช่วงนั้นลงไปด้วย  

อีกทั้งในระหว่างการรับแจ้งเหตุ พนักงานสอบสวนยังพูดในทำนองว่า ทำไมต้องส่งชายหัวเกรียนเหมือนตำรวจไปติดตามด้วย ทำให้ตำรวจเสียหาย ซึ่งวารียารู้สึกว่า ตำรวจให้ความสำคัญกับภาพลักษณ์ของตัวเอง มากกว่าความปลอดภัยของประชาชนอย่างเธอ

วารียายังตั้งข้อสังเกตว่า ชายหัวเกรียนที่ขึ้นรถตู้มา ได้พูดกับเธอด้วยว่า คนที่ไปที่บ้านเธอเมื่อคืนไม่ใช่พวกเขา แสดงว่า หากทั้งสองกลุ่มไม่ได้เป็นหน่วยงานเดียวกันตามที่เขาอ้าง ก็ต้องเป็นขบวนการเดียวกัน เพราะรู้ว่ามีคนไปที่บ้านเธอกลางดึก โดยที่เธอไม่ได้โพสต์เล่าเรื่องดังกล่าวเลย 

เหตุการณ์คุกคามอย่างต่อเนื่องในครั้งนี้ ซึ่งมีลักษณะคุกคามกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา และวารียาเองไม่สามารถคาดหมายได้เลยว่าจะมีเหตุที่รุนแรงกว่านี้อีกหรือไม่ สร้างความหวาดกลัวและวิตกกังวลให้กับเธอเป็นอย่างมาก วารียาเปิดเผยว่า หลังการบุกถึงประตูบ้านพักยามวิกาลของบุคคลไม่ทราบกลุ่มในคืนนั้น เธอรู้สึกไม่ปลอดภัยจนไม่อาจนอนหลับได้สนิทอีกเลย 

วารียายังไม่ทราบซ้ำด้วยว่า การคุกคามครั้งนี้มีสาเหตุจากอะไร เพราะช่วง 4-5 เดือนมานี้ เธอและกลุ่ม “นครพนมสิบ่ทน” ไม่ได้เคลื่อนไหวหรือจัดกิจกรรมอะไรเลย เนื่องจากเป็นช่วงเตรียมสอบของเธอ ส่วนคนอื่นๆ ก็มีภาระในการทำงานหารายได้ 

อาจเป็นไปได้ว่า เกี่ยวโยงกับการเสด็จของรัชกาลที่ 10 ที่จังหวัดอุบลฯ เมื่อวันที่ 30 เม.ย. ที่ผ่านมา แม้นครพนมจะห่างไกลจากอุบลฯ เกือบ 300 กม. เพราะช่วงปลายปี 64 นักกิจกรรมนครพนมก็ถูกติดตามจากตำรวจ เมื่อครั้งประยุทธ์ลงพื้นที่ จ.อุดรฯ ซึ่งห่างจากบ้านพวกเขาถึง 250 กม.   

ก่อนหน้านี้ ไม่ว่ากลุ่มนครพนมสิบ่ทนจะจัดกิจกรรมหรือมีบุคคลสำคัญมาที่นครพนม แม้แต่มีกิจกรรมในจังหวัดอื่นซึ่งพวกเขาไม่รู้เรื่องมาก่อน ก็จะมีตำรวจไปพบถึงบ้านหรือที่ทำงานของสมาชิก เพื่อสอบถามถึงกิจกรรมและถ่ายรูป บางคนถูกนั่งเฝ้าอยู่ครึ่งวัน ล่าสุดหลังกลุ่มไปตั้งโต๊ะให้ประชาชนร่วมลงชื่อเสนอกฎหมายยกเลิกมาตรา 112 บริเวณหน้าตลาดอินโดจีน เมื่อเย็นวันที่ 1 ม.ค. 2665 ก็มีชายหัวเกรียน 3 คน แต่งกายคล้ายสายสืบ ขับรถกระบะไปจอดเปิดไฟสาดใส่ซอยบ้านวารียาอยู่พักใหญ่โดยไม่ทราบสาเหตุ 

นอกจากการถูกคุกคามจากเจ้าหน้าที่รัฐ วารียายังถูก ศุภชัย โพธิ์สุ ส.ส.นครพนม ซึ่งเป็น ส.ส.พรรครัฐบาล และเป็นรองประธานสภาผู้แทนราษฎร รวมทั้งนักการเมืองท้องถิ่นที่เป็นเครือญาติของศุภชัย แจ้งความดำเนินคดีในฐานะแอดมินเพจ “นครพนมสิบ่ทน” ในข้อหา ดูหมิ่นด้วยการโฆษณา, หมิ่นประมาทโดยการโฆษณา และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ จากโพสต์ในเพจรวม 4 โพสต์ คดียังอยู่ระหว่างการพิจารณาสั่งฟ้องหรือไม่ฟ้องของพนักงานอัยการจังหวัดนครพนม

X