3 พ.ค. 2565 ศาลจังหวัดธัญบุรีนัดอ่านคำพิพากษาในคดีของ “นิว” สิริชัย นาถึง นักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ถูกกล่าวหาว่าในข้อหาฝ่าฝืนพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทําความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ (พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ) มาตรา 18 และ 27 “ไม่ปฏิบัติตามคําสั่งของศาลหรือพนักงานเจ้าหน้าที่” สืบเนื่องจากกรณีปฏิเสธไม่ให้รหัสเข้าถึงอุปกรณ์สื่อสาร 2 ชิ้น กับเจ้าหน้าที่ตำรวจจากกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.ปอท.) หลังได้รับการประกันตัวจากคดีมาตรา 112 เมื่อวันที่ 14 ม.ค. 2564
คดีนี้ต่อเนื่องกันกับการเข้าจับกุมสิริชัยตามหมายจับในช่วงคืนของวันที่ 13 ม.ค. 2564 จากกรณีถูกกล่าวหาว่า พ่นสีสเปรย์ข้อความ “ภาษีกู”, “ยกเลิก 112” บนรูปของพระบรมวงศานุวงศ์ และป้ายหน้ามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ รังสิต รวม 6 จุด ทำให้เขาถูกแจ้งข้อหามาตรา 112 และมาตรา 358 “ทำให้ทรัพย์ผู้อื่นเสื่อมค่า” ทั้งเจ้าหน้าที่ยังบุกค้นห้องพัก และได้ยึดทรัพย์สินหลายรายการไปเป็นของกลาง รวมทั้งโทรศัพท์มือถือและแท็บเล็ต
ในวันต่อมา แม้สิริชัยจะได้รับการประกันตัวจากศาล แต่ในขณะที่กำลังทำเรื่องประกันตัวนี้เอง เจ้าหน้าที่จาก บก.ปอท. ได้เข้าแสดงหมายศาลขอเข้าถึงรหัสอุปกรณ์สื่อสารที่ตรวจยึดไป (พ.ต.ต.สุรโชค กังวานวาณิชย์ สารวัตรกองกำกับการกลุ่มงานสนับสนุน ของ บก.ปอท. เป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติการตามคำสั่งอนุญาตของศาล) แต่สิริชัยปฏิเสธที่จะทำตามคำสั่ง เนื่องจากยืนยันว่าเหตุในคดีแรกไม่ได้เกี่ยวข้องกับการใช้เครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์ ทำให้เขาถูกแจ้งข้อกล่าวหาฝ่าฝืน พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 18 ซึ่งมีโทษปรับไม่เกินสองแสนบาท และปรับเป็นรายวันอีกไม่เกินวันละห้าพันบาทจนกว่าจะปฏิบัติให้ถูกต้อง
ทั้งนี้ อัยการจังหวัดธัญบุรีได้มีคำสั่งฟ้องคดีไปตั้งแต่เมื่อวันที่ 7 เม.ย. 2564 และได้กำหนดนัดสืบพยานตั้งแต่วันที่ 27 ต.ค. 2564 และเสร็จสิ้นในวันที่ 30 มี.ค. 2565 เป็นคดีแยกต่างหากจากคดี มาตรา 112
สำหรับคำพิพากษา ศาลระบุโดยเท้าความเกี่ยวกับคำฟ้องในคดี ต่อมาได้พิเคราะห์ว่า ข้อต่อสู้ของจำเลยที่ว่า คดี 112 คดีแรกที่ถูกกล่าวหาเกี่ยวเนื่องกับการพ่นสีใส่รูปแต่เพียงอย่างเดียว ไม่เกี่ยวข้องกับการใช้ข้อมูลสื่อสาร ศาลระบุว่าจากรายงานของเจ้าพนักงานตำรวจ หลังจากถูกกล่าวหาว่ากระทำผิด มีการโพสต์ภาพขณะกระทำการในระบบคอมพิวเตอร์ ตำรวจจึงจำเป็นต้องตรวจข้อมูลในอุปกรณ์สื่อสารของจำเลย
ข้อต่อสู้ของจำเลยที่ว่า ภายในโทรศัพท์มีแอพพลิเคชั่นและข้อมูลส่วนตัวสำคัญ เช่น แอพพลิเคชั่นธนาคาร ไม่อาจให้เข้าถึงได้ ศาลระบุว่า แอพพลิเคชั่นสำคัญจะกำหนดให้ต้องเข้ารหัสไว้อยู่แล้ว เห็นว่าจำเลยเรียนปริญญาตรี ย่อมต้องรู้วิธีเข้าไปเปลี่ยนรหัส เมื่อเจ้าหน้าที่ตรวจแล้วก็สามารถเปลี่ยนรหัสได้ ข้ออ้างนี้จึงฟังไม่ขึ้น
ข้อต่อสู้ที่ว่า จำเลยอยู่ในฐานะผู้ต้องหาคดีอาญา ย่อมมีสิทธิไม่ให้การ หรือกระทำการใดที่อาจเป็นปฏิปักษ์ต่อตนเอง จึงเป็นสิทธิตามกฎหมาย การที่เจ้าหน้าที่ตำรวจมาขอเอารหัส เป็นการขอให้จำเลยกระทำการที่อาจเป็นปฏิปักษ์ต่อตนเอง ข้อนี้ ศาลไม่ได้พิเคราะห์ถึง
พิพากษาว่า จำเลยกระทำความผิด ลงโทษปรับเป็นเงิน 40,000 บาท และลงโทษปรับอีกวันละ 100 บาท นับจากวันที่ถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิด ถึงจนกว่าจะกระทำการให้ถูกต้อง
ต่อมา ทนายได้ยื่นคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราวในชั้นอุทธรณ์ พร้อมทั้งขอผ่อนจ่ายค่าปรับ ศาลอนุญาตตามคำขอ ให้ปล่อยตัวชั่วคราวจำเลยโดยให้สาบานตน หลังจากก่อนหน้านี้เคยวางหลักทรัพย์ประกันในชั้นพิจารณาไปแล้วเป็นเงิน 50,000 บาท จากกองทุนราษฎรประสงค์
.
อ่านรายงานข่าวก่อนหน้านี้
อ่านคำฟ้องทั้ง 2 คดี: เปิดคำฟ้องคดี 112 – พ.ร.บ.คอมฯ ‘นิว’ สิริชัย นศ.มธ. เหตุพ่นสี ‘ยกเลิก 112’ – ไม่ให้รหัสเครื่องมือสื่อสารกับจนท. ก่อนได้ประกันตัวระหว่างพิจารณาฯ
.
ทบทวนการสืบพยาน: โจทก์ระบุยื่นคำร้องขอเข้าถึงข้อมูลในโทรศัพท์/แท็บเลตของจำเลย เนื่องจากปรากฏโพสต์ภาพการกระทำความผิดในเพจแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม
คดีนี้เริ่มสืบพยานโจทก์ปากแรกวันที่ 27 ต.ค. 2564 คือ พ.ต.ต.สุรโชค กังวานวาณิชย์ จาก บก.ปอท. และเป็นผู้กล่าวหาในคดีนี้ ให้การว่า ตนได้รับคำสั่งจากผู้บังคับบัญชา ให้ขอคำสั่งศาลเพื่อเข้าถึงโทรศัพท์มือถือและแท็บเล็ตของจำเลย หน่วยงานที่ขอให้ศาลมีคำสั่งอนุญาต คือ สภ.คลองหลวง เมื่อจำเลยปฏิเสธการให้เข้าถึง จึงได้มาแจ้งความที่ สภ.ธัญบุรี
พยานเบิกความว่า ที่ยื่นคำร้องต่อศาลนั้นเพราะมีข้อเท็จจริงว่า มีการโพสต์รูปการพ่นสีสเปรย์ลงบนพระฉายาลักษณ์ผ่านทางเพจแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุมบนเฟซบุ๊ก ต้องการตรวจสอบว่าจำเลยเป็นคนโพสต์หรือไม่ จำเป็นต้องขอรหัสเพื่อเข้าถึงเครื่องมือสื่อสารทั้ง 2 ชิ้น ทั้งนี้ ยังมีการทำบันทึกเหตุอันควรเชื่อไว้ด้วย โดยมีพยานเป็นเจ้าหน้าที่รายอื่นที่อยู่ในเหตุการณ์ แต่จำเลยปฏิเสธที่จะลงลายมือชื่อ
อย่างไรก็ตาม ทนายจำเลยได้ถามค้านทวนความจำพยานว่า สำหรับในคดีพ่นสี ไม่มีการบันทึกไว้ในบันทึกจับกุมว่า จำเลยมีพฤติการณ์ไปโพสต์ภาพในเฟซบุ๊ก มีแค่เรื่องการพ่นสี ทั้งในคำขอท้ายฟ้องเองก็ไม่ได้มีข้อกล่าวหาระบุว่า จำเลยกระทำความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ ของกลางที่ยึดไปก็ไม่ปรากฏว่ามีเครื่องมือสื่อสาร 2 ชิ้นนี้ ซึ่งจำเลยได้มอบให้เจ้าหน้าที่ตั้งแต่ตอนถูกจับกุมในคดีแรกแล้ว
ทนายยังถามค้านว่า ในส่วนบันทึกเหตุอันควรเชื่อ ระบุว่า เจ้าหน้าที่ได้ตรวจสอบพระฉายาลักษณ์ที่ถูกพ่นสี แต่ไม่พบข้อความที่ว่า ผู้ต้องหาเอามือถือไปถ่ายรูปแล้วโพสต์ลงเฟซบุ๊ก ไม่ได้มีหมายเหตุไว้ด้วยว่า ได้อธิบายเรื่องโพสต์ข้อความกับรูปให้จำเลยฟัง ส่วนเฟซบุ๊กที่โพสต์ภาพก็คือเพจแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม ไม่ใช่เฟซบุ๊กส่วนตัวของจำเลย
ทนายถามต่อไปว่า ปกติแล้ว ในการตรวจสอบข้อมูลต้องมีการทำสำเนาข้อมูลเพื่อไปตรวจพิสูจน์แยก กันไม่ให้ปนเปื้อนกับต้นฉบับ และถ้าจำเลยให้รหัสปลดล็อก อาจทำให้ผู้อื่นสามารถเข้าถึงและแก้ไขข้อมูลในแอพพลิเคชั่นต่างๆ ได้ พยานตอบกลับว่า หากมีการแก้ไขเปลี่ยนแปลง ย่อมสามารถตรวจดูรายละเอียดการเปลี่ยนแปลงนั้นๆ ได้ และหากมีการลบอีเมล์ ก็สามารถกู้คืนข้อมูลได้
ทนายถามพยานว่า ในคำสั่งศาลที่พูดถึงผู้ครอบครอง หมายรวมถึงบริษัทซึ่งถือว่าเป็นผู้ครอบครองตามความหมายด้วยหรือไม่ ศาลได้ระบุว่า คำสั่งศาลหมายถึงตัวผู้ถูกกล่าวหาโดยตรง พยานตอบว่า เคยมีคดีที่ไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลในโทรศัพท์มือถือได้ จึงติดต่อไปทางบริษัทแอปเปิ้ล ประเทศไทย แต่บริษัทแจ้งกลับมาว่า ไม่สามารถรับประกันการเข้าถึงข้อมูลและข้อมูลที่ได้อาจเสียหาย ทั้งยังมีค่าใช้จ่ายสูง พยานจึงไม่ได้ส่งหนังสือไปสอบถามอีก
พยานให้ข้อมูลว่า มีวิธีอื่นในการเข้าถึงข้อมูลโดยไม่ต้องปลดล็อครหัส แต่อาจไม่เป็นที่ยอมรับและอาจทำให้ข้อมูลเสียหาย ทนายยังสอบถามเรื่องข่าวสารที่ว่า ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) เคยจะสั่งซื้อเครื่องมือเทเลไบรด์สำหรับตรวจสอบข้อมูลในโทรศัพท์มือถือ พยานตอบว่า เป็นเพียงประกาศเท่านั้น ยังไม่มีการจัดซื้อจริง พยานไม่ยืนยันว่าเครื่องมือดังกล่าวสามารถดึงข้อมูลออกมาได้ เพราะโทรศัพท์มือถือในปัจจุบันเองก็มีการอัพเดทตลอดเวลา เครื่องมือในตอนนี้อาจจะไม่สามารถเจาะข้อมูลได้เช่นเดิม เครื่องมือบางชนิดสามารถใช้เจาะข้อมูลได้ แม้ไม่มีรหัสผ่าน แต่ไม่สามารถทำสำเนาข้อมูลได้ จึงไม่ได้รับการยอมรับ รหัสผ่านจึงยังจำเป็นอยู่ แม้ว่าจะมีเครื่องมือ เพื่อที่จะได้ข้อมูลที่ครบถ้วนและทำสำเนาได้
อัยการถามติงว่า สามารถตรวจสอบได้หรือไม่ว่าใครเป็นผู้แก้ไข หากมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูล พยานตอบว่า รู้เพียงแค่ว่ามีการเปลี่ยนแปลงหรือไม่ แต่จะตรวจว่าใครเป็นคนทำนั้นต้องใช้การสอบสวนอย่างอื่นประกอบ
ในส่วนของเพจแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม อัยการถามว่าเกี่ยวข้องกับจำเลยอย่างไร พยานเบิกความตอบว่าจำไม่ได้ ในส่วนบันทึกข้อความที่ทนายบอกว่า ไม่ได้ระบุว่ามีเอกสารแนบท้ายไปด้วย พยานตอบว่า ความจริงพนักงานสอบสวนได้ทำบันทึกการสอบสวนส่งให้พยานแล้ว พร้อมคำร้อง
ในวันเดียวกันนั้น พยานโจทก์ปากที่ 2 ที่เป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ ไม่ได้ขึ้นสืบพยาน โดยให้การในทำนองเดียวกันกับพยานปากแรก เพราะอยู่ร่วมในเหตุการณ์
ก่อนที่จะสืบพยานโจทก์ปากที่ 3 อัยการนำพยานวัตถุเพิ่มเติมมาด้วยเป็นซีดีบันทึกเหตุการณ์ในวันที่ 14 ม.ค. 2564 ทนายขอคัดค้านการส่งโดยให้เหตุผลว่า บันทึกวิดีโอนั้นเป็นพยานวัตถุที่อยู่ในครอบครองของโจทก์อยู่แล้ว ดังนั้นโจทก์สามารถมายื่นหรือทำสำเนามาเสนอต่อศาลได้เลยนับแต่วันที่ตรวจพยานหลักฐาน จึงไม่ใช่เหตุที่เพิ่งทราบว่ามีพยานหลักฐานนั้นอยู่ การยื่นพยานหลักฐานเพิ่มเติมจึงทำให้จำเลยเสียเปรียบในคดี อัยการกล่าวว่า พนักงานสอบสวนเพิ่งส่งมาให้วันนี้ ตนไม่ทราบมาก่อน ศาลรับวิดีโอไว้พิจารณา
พยานโจทก์ปากที่ 3 ที่ขึ้นเบิกความคือ พ.ต.ท.ภุมเรศ อินทร์คง พนักงานสอบสวน สภ.ธัญบุรี เบิกความด้วยเสียงที่เบามาก ถึงรายละเอียดการเป็นผู้รับแจ้งความจากผู้กล่าวหา
ต่อมาตอบคำถามค้านของทนายจำเลยที่ว่า ในคำให้การไม่ได้มีการบอกว่าจำเลยใช้โทรศัพท์มือถือและไอแพดในการกระทำความผิด พยานตอบว่า ยืนยันตามคำให้การเดิม
ทนายถามว่า ในคำให้การไม่ได้มีการอ้างถึงเอกสารบันทึกการสอบสวน พยานตอบว่า มีเอกสารอยู่ในสำนวนอยู่แล้ว โดยผู้กล่าวหาเป็นผู้นำมาให้ โดยพยานไม่ได้มีหนังสือสอบถามไปยัง สภ.คลองหลวง หนังสือที่ผู้กล่าวหาเอามาให้ ก็เป็นเพียงสำเนา ไม่ใช่ต้นฉบับ
ทนายถามค้านต่อว่า พยานทราบไหมว่าใครเป็นแอดมินเพจแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม แต่พยานไม่ได้เบิกความตอบ ส่วนคำถามว่าเพจโพสต์ถึงเนื้อหาประมาณไหน อย่างไร พยานก็ไม่ทราบเช่นเดียวกันเพราะไม่เห็นเอกสารเนื้อหาโพสต์ของเพจ ทนายถามอีกว่า ในคลิปวิดีโอ ไม่มีช่วงที่ผู้กล่าวหาอธิบายให้จำเลยฟังว่าใช้โทรศัพท์มือถือหรือแท็บเล็ตในการกระทำความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ ใช่หรือไม่ พยานเบิกความยืนยันตามเนื้อหาที่ปรากฏอยู่ในคลิป
ทนายเท้าความว่า ตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ มาตรา 18 วรรค 2 ต้องเป็นกรณีที่มีการใช้อุปกรณ์สื่อสารหรือคอมพิวเตอร์เป็นส่วนหนึ่งในการใช้กระทำความผิด เจ้าหน้าที่จึงจะมีหน้าที่ตามกฎหมาย พยานตอบว่า กฎหมายจะเป็นอย่างไรให้ศาลเป็นผู้ใช้ดุลยพินิจพิจารณา
ทนายจำเลยถามทิ้งท้ายว่า ในคดีมาตรา 112 ของ สภ.คลองหลวง เป็นความผิดที่เกิดจากการพ่นสี ไม่ได้เกี่ยวข้องกับ พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ฯ และในบันทึกการจับกุมยังไม่ระบุว่า มีพฤติการณ์การใช้โทรศัพท์มือถือและแท็บเล็ตในการกระทำความผิด และพยานวัตถุหรือคลิปวิดีโอก็ไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่ามีการตัดต่อหรือไม่อย่างไร พยานรับว่าใช่
พยานตอบอัยการถามติง ระบุว่า ในคำให้การ ที่ไม่ได้ระบุถึงบันทึการสอบสวนมาด้วยนั้น เพราะตนอาจจะถามรายละเอียดเรื่องเอกสารไม่ครบ และเหตุที่ดำเนินคดีจำเลยนั้น พยานเบิกความว่า เพราะมีคำสั่งศาลเรื่องการให้เข้าถึงข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์จึงเชื่อว่าจำเลยมีความผิด เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดดังกล่าว และศาลน่าจะต้องดูรายงานสอบสวนแล้ว จึงเห็นสมควรมีคำสั่งศาลออกมาได้
.
สืบพยานจำเลย: ยืนยันว่าเหตุคดี มาตรา 112 ไม่เกี่ยวข้องกับการใช้เครื่องมือสื่อสาร จึงไม่มีความจำเป็นต้องให้รหัสเพื่อเข้าถึง ประกอบกับมีข้อมูลส่วนตัวสำคัญ จึงไม่ให้
ต่อมาวันที่ 30 มี.ค. 2565 ศาลจังหวัดธัญบุรีนัดสืบพยานจำเลยคือตัวสิริชัยเอง พยานเบิกความว่า ตนถูกจับกุมในคดีมาตรา 112 โดยในบันทึกการจับกุมก็ไม่ปรากฏข้อความว่า พยานได้ใช้โทรศัพท์หรือแท็บเล็ตในการกระทำความผิด อีกทั้งยังไม่มีข้อกล่าวหาตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ ในคดีดังกล่าว
สิริชัยเล่าถึงเหตุการณ์ตอนถูกจับกุมว่า ตนถูกจับกุมในคดีมาตรา 112 เมื่อเวลาราว 21.00 น. ของวันที่ 13 ม.ค. 2564 ตำรวจได้ทำการตรวจยึดโทรศัพท์มือถือ 1 เครื่อง กุญแจรถจักรยานยนต์ และกระเป๋าสะพายข้าง 1 ใบ โดยพยานยินยอมให้ตรวจยึดสิ่งของทั้งหมดแต่โดยดี หลังถูกจับกุมพยานถูกพาตัวไปที่กองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดนภาค 1 (บก.ตชด. ภาค 1) จากนั้นตำรวจได้พาตัวพยานกลับมาที่หอพัก ก่อนทำการตรวจยึดกระป๋องสีสเปรย์, แท็บเล็ต และเสื้อผ้า โดยจำเลยยินยอมให้ตรวจยึดไปแต่โดยดี
วันต่อมา ตำรวจได้นำตัวพยานไปยื่นขอฝากขังต่อศาลจังหวัดธัญบุรี ในระหว่างที่พยานถูกควบคุมตัวในห้องขังใต้ถุนศาลเพื่อรอการปล่อยตัวชั่วคราว พบว่ามีตำรวจ บก.ปอท. นำคำสั่งศาลมายื่นและอ่านให้พยานฟัง โดยได้ร้องขอรหัสเพื่อเข้าถึงข้อมูลในอุปกรณ์ที่ตรวจยึดไป โดยตำรวจ บก.ปอท. ไม่ได้อธิบายว่าการขอรหัสเพื่อเข้าถึงอุปกรณ์สื่อสารดังกล่าวมีความเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดในคดีมาตรา 112 ที่ถูกกล่าวหาอย่างไร
พยานเบิกความยืนยันว่า คำสั่งศาลที่ตำรวจ บก.ปอท. นำมาอ่านให้ฟังไม่ได้ระบุว่า จะต้องมอบรหัสเพื่อเข้าถึงอุปกรณ์สื่อสาร พยานจึงไม่ได้ให้รหัสเพื่อเข้าถึงอุปกรณ์สื่อสารกับตำรวจไป แต่ก่อนหน้านั้นได้ยินยอมให้ตำรวจตรวจยึดอุปกรณ์สื่อสารไปแล้ว อีกทั้งในคดีที่ถูกกล่าวหาด้วยข้อกล่าวหาตามมาตรา 112 ไม่ได้มีการกล่าวหาถึลงการใช้อุปกรณ์สื่อสารร่วมด้วย และเมื่อถูกตั้งข้อกล่าวหา บุคคลย่อมมีสิทธิที่จะให้การหรือกระทำการที่ไม่เป็นปฏิปักษ์ต่อตนเอง
พยานยังเบิกความอีกว่า อุปกรณ์สื่อสารของตนมีข้อมูลส่วนตัวมากมาย ตัวอย่างเช่น แอพพลิเคชั่นธนาคาร ซึ่งถือว่าเป็นข้อมูลส่วนบุคคล ปัจจุบันนี้ข้อมูลส่วนบุคคลต่างๆ ประชาชนทั่วไปก็มักจะเก็บไว้ในมือถือ เพราะอยู่ในยุคออนไลน์แล้ว
พยานเบิกความตั้งคำถามและข้อสังเกตว่า คดีนี้ที่พยานถูกกล่าวหาเป็นคดีอาญา ในกรณีเดียวกัน หากว่าในอนาคตมีคดีขับรถชนคนตาย ซึ่งเป็นคดีอาญาเช่นเดียวกัน ผู้กระทำความผิดในคดีดังกล่าวจำเป็นจะต้องถูกตรวจยึดโทรศัพท์มือถือด้วยหรือไม่ การขับรถชนเป็นพฤติการณ์ที่ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับการกระทำผิดบนโทรศัพท์มือถือ จะถูกตรวจยึดโทรศัพท์มือถือและขอรหัสเพื่อเข้าถึงอุปกรณ์ด้วยหรือไม่
หลังได้รับการประกันตัวในคดีมาตรา 112 ในวันเดียวกันนั้น ตำรวจ สภ.ประตูน้ำจุฬาลงกรณ์ ได้นำตัวจำเลยไปยัง สภ.ธัญบุรี ต่อมาทราบว่าตำรวจ บก.ปอท. ชุดเดียวกันที่ไปขอรหัสพยานเพื่อเข้าถึงอุปกรณ์สื่อสาร ได้เดินทางไปแจ้งความในข้อหาตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ ไว้เป็นคดีนี้ โดยในชั้นสอบสวน จำเลยได้ให้การปฏิเสธและได้ให้การไว้ตามที่ได้เบิกความต่อศาลนี้
ทั้งนี้ แม้พยานจะไม่ได้บอกรหัสเพื่อเข้าถึงอุปกรณ์สื่อสารของพยานในวันนั้น แต่ตำรวจก็ได้ตรวจยึดอุปกรณ์สื่อสารเป็นโทรศัพท์มือถือและแท็บเล็ตไปแล้วตั้งแต่วันที่ถูกจับกุม โดยตำรวจสามารถใช้เทคโนโลยีอย่างอื่นเพื่อเข้าถึงอุปกรณ์ดังกล่าวได้ โดยไม่ต้องร้องขอรหัสเพื่อเข้าถึงอุปกรณ์สื่อสาร
ต่อมา อัยการถามค้าน โดยจำเลยเบิกความตอบว่า ในคดีนี้ ตามที่ได้ให้การในชั้นสอบสวน จำเลยเข้าใจข้อกล่าวหา พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ ดีแล้ว ขณะตำรวจ บก.ปอท. นำคำสั่งศาลจังหวัดธัญบุรีมาอ่านให้ฟัง ในตอนแรก จำเลยเข้าใจว่าเป็นคำสั่งของศาลอาญา เนื่องจากตำรวจได้อ่านคำสั่งดังกล่าวและได้อ่านว่าเป็น “คำสั่งของศาลอาญา” แต่ภายหลังทราบว่าคำสั่งดังกล่าวเป็นคำสั่งของศาลจังหวัดธัญบุรี และคำสั่งดังกล่าวไม่ได้ระบุว่าพยานจะต้องให้รหัสเพื่อเข้าถึงอุปกรณ์สื่อสาร แต่ตำรวจมีการร้องขอรหัสเพื่อเข้าถึงอุปกรณ์สื่อสารด้วย ในระหว่างที่ตำรวจนำคำสั่งศาลมาอ่านให้ฟังนั้น ทนายจำเลยอยู่ในเหตุการณ์ด้วย
ตั้งแต่วันเกิดเหตุในคดีที่ถูกกล่าวหาตามมาตรา 112 จนถึงปัจจุบัน พยานได้ติดตามและดูข่าวสารจากเพจเฟซบุ๊กแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุมตลอดมา โดยเมื่อวันที่ 10 ม.ค. 2564 เพจเฟซบุ๊กแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุมมีการโพสต์ภาพเป็นภาพพระบรมฉายาลักษณ์และพระรูปซึ่งถูกพ่นสีสเปรย์เป็นข้อความ “ยกเลิก 112” และ “ภาษีกู” ซึ่งเป็นพฤติการณ์ที่จำเลยถูกกล่าวหาตามมาตรา 112 เป็นอีกคดีหนึ่ง
พยานเบิกความว่า เห็นภาพที่เพจเฟซบุ๊กดังกล่าวโพสต์ แต่ไม่ได้เห็นในวันที่โพสต์ทันที โดยเห็นภาพดังกล่าวในภายหลัง ตั้งแต่เกิดเหตุในคดีที่ถูกกล่าวหาตามข้อหามาตรา 112 จำเลยได้ใช้งานโทรศัพท์มือถือทั้งสองเครื่องที่ถูกตรวจยึดไป และจำไม่ได้ว่าได้ไปล็อกอินบัญชีบัญชีโซเชียลอื่นๆ ไว้ในอุปกรณ์ของบุคคลใดบ้าง
ทนายจำเลยถามติง พยานตอบทนายว่า ในคดีมาตรา 112 ที่ถูกกล่าวหา พยานได้ให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหาทั้งในชั้นสอบสวนและในชั้นพิจารณาคดี โดยเอกสารที่อัยการโจทก์ประสงค์นำส่งต่อศาล ก็เป็นพยานเอกสารที่อัยการโจทก์ใช้นำสืบในคดีตามมาตรา 112 และจำเลยรวมถึงทนายก็ได้นำสืบหักล้างข้อเท็จจริงไปจนสิ้นแล้ว จึงไม่มีความจำเป็นที่อัยการโจทก์จะนำส่งศาลและให้จำเลยยอมรับข้อเท็จจริงอีก
สุดท้ายพยานเบิกความยืนยันว่า ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเพจเฟซบุ๊กแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม และขณะที่ตำรวจ บก.ปอท. นำคำสั่งศาลไปอ่านให้ฟังและร้องขอรหัสเพื่อเข้าถึงอุปกรณ์สื่อสาร ตำรวจก็ไม่ได้แจ้งว่าพยานมีความเกี่ยวข้องกับเพจเฟซบุ๊กดังกล่าวอย่างไร
.
ฐานข้อมูลคดี
คดี 112 “นิว สิริชัย” เหตุพ่นสีข้อความ “ยกเลิก 112” ซ้ำโดน พ.ร.บ.คอมฯ อีกคดี