บันทึกทนายเยี่ยม “ประสงค์” ผู้ต้องขัง ม.112 : ผมอยากกลับบ้านไปกินข้าวกับแม่แล้ว

ตั้งแต่ ประสงค์ โคตรสงคราม หรือ “โด่ง” ถูกคุมขังที่เรือนจำชั่วคราวทุ่งน้อย จังหวัดนครปฐม ตั้งแต่วันที่ 9 กรกฎาคม 2564 ทนายความได้พยายามติดต่อเจ้าหน้าที่เรือนจำเพื่อขอเข้าเยี่ยม แต่ก็ถูกปฏิเสธ โดยอ้างว่าประสงค์ต้องถูกควบคุมในห้องกักกันโรคเป็นเวลา 21 วัน ซึ่งเป็นมาตรการในการควบคุมและป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิดตามคำสั่งของกระทรวงยุติธรรม และเมื่อครบกำหนด 21 วัน เขาจะถูกส่งตัวไปคุมขังต่อที่เรือนจำพิเศษธนบุรี

ในวันที่ 19 กรกฎาคม 2564 หลังประสงค์ถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำเป็นเวลา 11 วันทนายความเดินทางไปขอเข้าเยี่ยมกับเจ้าหน้าที่เรือนจำอีกครั้ง ถึงเรือนจำชั่วคราวทุ่งน้อย ซึ่งอยู่ภายในพื้นที่เรือนจำมณฑลทหารบกที่ 11

ทนายเดินทางไปถึงในเวลาประมาณ 11.00 น. และได้แจ้งขอเข้าเยี่ยมประสงค์ โดยได้ร้องขอว่าหากไม่สามารถเข้าเยี่ยมแบบเจอตัวได้ ก็ขอเปลี่ยนเป็นการพูดคุยผ่านวิดีโอคอนเฟอร์เรนซ์ หรือการโทรเสียง ได้หรือไม่ 

ด้านเจ้าหน้าที่เรือนจำตอบกลับว่ามีคำสั่งให้งดการเข้าเยี่ยมในทุกกรณี เพราะด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิดขณะนี้ จำเป็นต้องควบคุมตัวผู้ต้องขังไว้ในห้องกักกันโรค อีกทั้งเรือนจำแห่งนี้เป็นเพียงเรือนจำชั่วคราว จึงไม่มีความพร้อมทางด้านอุปกรณ์สื่อสารให้เยี่ยมแบบวิดีโอคอนเฟอร์เรนซ์หรือวิธีอื่นใดเลย  โทรศัพท์มือถือหนึ่งเครื่อง นับว่าเป็นอุปกรณ์สื่อสารชิ้นเดียวที่เรือนจำแห่งนี้มีอยู่ และอนุญาตให้ใช้สำหรับเจ้าหน้าที่เพื่อติดต่อสื่อสารระหว่างกันเท่านั้น 

เจ้าหน้าที่ของเรือนจำแจ้งอีกว่า หากต้องการใช้โทรศัพท์มือถือเพื่อติดต่อกับผู้ต้องขังให้ไปทำเรื่องขออนุญาตกับผู้บัญชาการเรือนจำกลางนครปฐมก่อน  ซึ่งอยู่ห่างไปประมาณ 10 กิโลเมตร เนื่องจากเป็นเรือนจำเจ้าของสังกัดเรือนจำชั่วคราวนี้ ถึงจะอนุญาตให้วิดีโอคอนเฟอร์เรนซ์หรือโทรคุยกับประสงค์ได้

เมื่อเจ้าหน้าที่ปฏิเสธการให้เยี่ยมประสงค์ ทนายจึงยื่นหนังสือต่อหัวหน้าเรือนจำชั่วคราวทุ่งน้อย ว่าด้วยเรื่องสิทธิที่ผู้ต้องหาจะได้รับการคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 และประมวลกฎหมายพิจารณาความอาญา มาตรา 7/1 ซึ่งบัญญัติไว้ถึง สิทธิที่ผู้ถูกจับหรือผู้ต้องหาสามารถพบและปรึกษาผู้ซึ่งเป็นทนายความเป็นการเฉพาะตัว และมีสิทธิได้รับการเยี่ยมหรือติดต่อญาติได้ตามสมควร

หลังรอกว่า 1 ชั่วโมง เจ้าหน้าที่ของเรือนจำแจ้งว่าอนุญาตให้สามารถเข้าเยี่ยมประสงค์ได้ โดยเรือนจำชั่วคราวทุ่งน้อยได้เจรจาขอใช้ห้องเยี่ยมญาติของเรือนจำ มทบ.11 ซึ่งอยู่ในพื้นที่เดียวกัน เพื่อให้ทนายใช้เข้าเยี่ยมเป็นกรณีพิเศษ

จนเวลาประมาณ 13.30 น. เจ้าหน้าที่ได้พาทนายความไปยังห้องเยี่ยมญาติ ภายในห้องมีลักษณะเป็นเหมือนห้องเยี่ยมญาติของเรือนจำทั่วไป แต่มีกระจกกั้นระหว่างผู้เข้าเยี่ยมและผู้ต้องหาถึง 2 ชั้น แต่ละชั้นห่างกันประมาณ 2 เมตรได้ อีกทั้งไม่มีโทรศัพท์ให้ยกหูคุยตอบโต้ระหว่างกันแต่อย่างใด ทำให้ต้องตะโกนพูดคุยกัน

ไม่นานประสงค์ก็มาถึงในชุดผู้ต้องขังสีน้ำตาล สวมหน้ากากอนามัยถึง 2 ชั้น สวมหน้ากากใสคลุมหน้า มือทั้งสองข้างสวมถุงมือพลาสติกสีขาวอยู่ และทรงผมของเขาตอนนี้สั้นเกรียน มองโดยรวมสีหน้าและแววตาของชายหนุ่มยังคงดูสดใสดี

ขณะนี้ภายในห้องเยี่ยมญาติมีเจ้าหน้าที่ 2 คน ยืนอยู่กับทนาย และอีก 1 คนอยู่อีกฟากกับประสงค์ ทนายเริ่มบทสนทนาจากการถามไถ่ความเป็นอยู่ทั่วไป 

“กินข้าวกลางวันหรือยัง กินอิ่มไหม” ทนายถาม “ผมไม่อยากกินเยอะหรอก เดี๋ยวผมจะอ้วน” เขาตอบอย่างมีอารมณ์ขัน 

ประสงค์เล่าว่า เขาต้องอยู่รวมกับเพื่อนประมาณ 40 คน ในห้องกักโรค ซึ่งเป็นเรือนนอนของทหาร ทุกๆ วันเขาจะต้องอยู่บนเรือนนอนนั้น ไม่ได้ออกไปไหน โดยเจ้าหน้าที่ของเรือนจำจะนำอาหารมาวางให้หน้าห้องในแต่ละมื้อ 

ทนายความอธิบายถึงสถานการณ์คดีที่ประสงค์ตกเป็นผู้ต้องหาอยู่ ว่าได้ยื่นขอประกันตัวต่อศาลไปแล้วทั้งหมดสามครั้ง แต่ศาลไม่อนุญาตให้ประกันตัว โดยอ้างว่า “พฤติการณ์ในคดีร้ายแรง เกรงว่าจะหลบหนี” และไม่รู้ว่าหากยื่นขอประกันตัวอีกหลังจากนี้ ศาลจะอนุญาตหรือไม่

“แค่ทนายมาเยี่ยมวันนี้ก็ดีแล้วครับ” เขาตอบกลับด้วยรอยยิ้ม

ชายหนุ่มถามถึงสถานการณ์ภายนอกว่าเป็นอย่างไรบ้าง ทนายตอบกลับว่าวันที่ 18 กรกฎาคมที่ผ่านมามีการชุมนุมใหญ่เกิดขึ้น มีคนเข้าร่วมค่อนข้างมาก แต่ก็เหตุการณ์ฉีดน้ำใส่ผู้ชุมนุม บางคนถูกยิงด้วยกระสุนยาง และหลายคนก็ถูกแก๊สน้ำตา ส่วนสถานการณ์ผู้ติดเชื้อโควิดก็เพิ่มสูงขึ้นเป็นหลักหมื่นคนต่อวันแล้ว

“แม่เป็นยังไงบ้าง” ประสงค์ถาม

ก่อนจะเข้าเยี่ยมประสงค์ ทนายความได้โทรศัพท์คุยกับแม่ของประสงค์ เพื่อถามว่าอยากจะฝากบอกอะไรถึงลูกชายไหม ซึ่งเธอก็ไม่ได้ฝากข้อความอะไรถึงลูกชายเป็นพิเศษ เพียงแต่ฝากความคิดถึงและความเป็นห่วงเท่านั้น ทนายจึงส่งต่อข้อความให้กับประสงค์ได้รู้ 

“คิดถึงแม่เหมือนกัน อยากกลับบ้านไปกินข้าวกับแม่แล้ว” ประสงค์บอก

ทนายเล่าต่อว่า แม่ของเขาเพิ่งได้ให้สัมภาษณ์เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับตัวประสงค์ไป และก็มีคนเข้ามาให้กำลังใจจำนวนไม่น้อย รวมถึงมีการเรียกร้องให้ปล่อยตัวเขาด้วย

ประสงค์จึงฝากถ้อยคำมาว่า “ตอนนี้ผมยังมีกำลังใจดีอยู่ ฝากขอบคุณทุกคนที่ยังพูดถึงผม”

ทนายเล่ามุมมองว่าประสงค์ค่อนข้างเป็นคนพูดน้อย แต่บุคลิกชายหนุ่มจะดูร่าเริง แจ่มใส ไม่มีท่าทีตึงเครียด 

การเข้าเยี่ยมสิ้นสุดลงในเวลาประมาณ 14.00 น. รวมเวลาราวครึ่งชั่วโมง การสนทนาเกิดขึ้นภายใต้การจับตาของเจ้าหน้าที่ ก่อนประสงค์จะถูกพาตัวกลับไปยังห้องกักกันโรคดังเดิม 

เมื่อออกมาจากห้องเยี่ยม ทนายได้สอบถามเจ้าหน้าที่ว่าการที่ประสงค์มาพบทนายวันนี้ เขาจะถูกเพิ่มจำนวนวันในการกักโรคไหม เจ้าหน้าที่เรือนจำยืนยันว่าไม่มีผลต่อจำนวนวันในการกักโรคแต่อย่างใด และแจ้งว่าประสงค์น่าจะถูกย้ายไปควบคุมตัวต่อที่เรือนจำพิเศษธนบุรี ในช่วงวันที่ 2-3 สิงหาคม 2564 นี้

ทั้งนี้เรือนจำชั่วคราวทุ่งน้อย ถูกตั้งขึ้นตามคำสั่งกระทรวงยุติธรรมที่ 144/2553 ลงวันที่ 17 พฤษภาคม 2553 โดยระบุว่าเพื่อใช้เป็นสถานที่ควบคุม อบรม และฝึกอาชีพกับผู้ต้องขัง โดยเฉพาะในคดีความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงของรัฐ และคดีอื่นที่เกี่ยวเนื่อง แม้จะถูกระบุว่า “ชั่วคราว” แต่ปัจจุบันเรือนจำนี้ตั้งขึ้นมากว่า 11 ปีแล้ว 

.

อ่านเรื่องที่เกี่ยวข้อง

“ถ้าประเทศนี้เป็นประชาธิปไตยจริงๆ เขาก็มีสิทธิที่จะพูดไม่ใช่เหรอ” คำถามเคล้าเสียงสะอื้นจากแม่ของ “ประสงค์” หนุ่มผู้ถูกคุมขังคดี 112

ศาลตลิ่งชันไม่ให้ประกัน “หนุ่มลพบุรี” หลังวานนี้ถูกตร.จับกุม-แจ้งข้อหา ม.112 เหตุโพสต์เฟซบุ๊กวิจารณ์กษัตริย์

ไม่ให้ประกัน! คดี ม.112 กล่าวหา “ประสงค์” โพสต์เฟซบุ๊กวิจารณ์กษัตริย์ หลังยื่นประกันครั้งที่ 3 อ้างพฤติการณ์คดีร้ายแรง

.

X