“ถ้าประเทศนี้เป็นประชาธิปไตยจริงๆ เขาก็มีสิทธิที่จะพูดไม่ใช่เหรอ” คำถามเคล้าเสียงสะอื้นจากแม่ของ “ประสงค์” หนุ่มผู้ถูกคุมขังคดี 112

“ประสงค์ โคตรสงคราม” หรือ “โด่ง” ชายหนุ่มวัย 26 ปี ผู้ถูกจับกุมตามหมายจับของศาลอาญาตลิ่งชัน ในช่วงเช้าของวันที่ 8 กรกฎาคมที่ผ่านมา ที่บ้านพักในจังหวัดลพบุรี ด้วยข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 จากการโพสต์เฟซบุ๊กวิจารณ์กษัตริย์ จำนวน 3 ข้อความ ก่อนที่พนักงานสอบสวน สน.บางพลัด จะนำตัวเขาไปขอฝากขังในวันถัดมา และศาลไม่อนุญาตให้ประกันตัวระหว่างสอบสวน

ขณะนี้ประสงค์ถูกคุมขังอยู่ที่เรือนจำชั่วคราวทุ่งน้อย จังหวัดนครปฐม ซึ่งอยู่ภายในพื้นที่เรือนจำมณฑลทหารบกที่ 11 โดยในระหว่างนี้ไม่อนุญาตให้ญาติหรือทนายความเข้าเยี่ยมได้ โดยอ้างสถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด แต่เมื่อกักตัวครบ 21 วันแล้ว เขาจะถูกส่งตัวเพื่อไปคุมขังต่อที่เรือนจำพิเศษธนบุรีต่อไป

แม้ทนายความจะพยายามยื่นคำร้องขอประกันตัวประสงค์ถึง 3 ครั้งแล้ว แต่ศาลก็ยังคงไม่อนุญาตให้ปล่อยตัวประสงค์แต่อย่างใด นั่นทำให้เป็นเวลานานกว่าหนึ่งสัปดาห์แล้วที่ผู้เป็นแม่ไม่ทราบชะตากรรมของลูกชายตนเองว่าจะเป็นตายร้ายดียังไง

.

เสียงจากผู้เป็นแม่บุญธรรมถึงลูกชาย

สุปราณี (สงวนนามสกุล) อายุ 70 ปี แม่บุญธรรมของประสงค์ เฝ้ารอสายโทรเข้าจากทนายความทุกวัน เพียงหวังจะได้ยินข่าวดีที่ศาลให้ประกันตัวลูกชายของเธอ 

สุปราณีอาศัยอยู่บ้านเช่าในจ.ลพบุรี กับลูกชายเพียงสองคน ด้วยความถูกชะตาตั้งแต่แรกเห็น เธอจึงกลายมาเป็นแม่บุญธรรมของประสงค์ขณะเขายังแบเบาะ อายุเพียง 5 เดือนเศษเท่านั้น ตลอดเวลาที่ผ่านมาเธอเลี้ยงดูและสนับสนุนลูกชายคนเดียวที่มี แม้ไม่ใช่ลูกแท้ๆ อย่างสุดความสามารถเท่าที่เธอจะทำได้ 

“เขาชอบเล่นดนตรีตั้งแต่เด็กๆ ชอบเล่นกีตาร์ กีตาร์ไฟฟ้า เบส ตอนอยู่ ม.1 เขาฟอร์มทีมวงดนตรีสากลกับเพื่อน 3-4 คน โดยที่โด่งเขาจะรับหน้าที่เป็นมือกีตาร์ พวกเขาเป็นตัวแทนไปแข่งดนตรีให้กับโรงเรียนตลอด ชนะบ้าง ได้ที่สองบ้าง ไม่ได้รางวัลบ้าง แล้วยังเป็นมือกีตาร์ให้กับ ‘วงฝ้ายคำ’ วงดนตรีลูกทุ่งของโรงเรียนเทศบาล 4 ด้วยนะ”

หลังเรียนจบชั้นมัธยมปลาย ประสงค์ได้เข้าศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยราชภัฏจันทรเกษม ในคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ สาขาวิชาดนตรีสากล เมื่อเรียนไปได้ 1 ปี เขาก็ต้องจำใจลาออก เพราะยื่นกู้กองทุนกู้ยืมเงินเพื่อการศึกษา (กยศ.) ไม่ผ่าน และแม่สุปราณีผู้ที่ต้องทำงานเพียงคนเดียว ก็ไม่มีกำลังทรัพย์พอที่จะส่งให้โด่งเรียนต่อได้ ชายหนุ่มจึงผันตัวออกมาทำงานเกี่ยวกับการจัดการเสียง กับรุ่นพี่ด้าน “วิศวกรเสียง” (Sound Engineer) ในกรุงเทพฯ

“เขาเป็นคนสุขุม ไม่ก้าวร้าว เชื่อมั่นในตัวเองสูง ตอนเด็กๆ เขาก็ไม่ได้สนใจเรื่องการเมืองเท่าไหร่ แต่พอมีการประท้วงของนักศึกษาประมาณ 2 ปีมานี้ แม่ก็เห็นเขาชอบเปิดยูทูปดูการชุมนุมของนักศึกษาบ่อยๆ เขาไม่ค่อยได้ไปร่วมการชุมนุมจริงๆ หรอกนะ แต่ก็ติดตามผ่านไลฟ์สดตลอด

“เมื่อปีที่แล้ว รู้สึกว่าเขาไปร่วมม็อบที่สนามหลวงครั้งหนึ่ง ไปคนเดียวด้วย ขากลับก็เดินกลับเอง เราก็บอกเขาว่าอย่าไปเลยลูก มันอันตราย ยิ่งไปตัวคนเดียวด้วย เขาก็บอกว่าไม่เป็นไรหรอก เขาดูแลตัวเองได้

“เขายังเคยชวนแม่ให้ไปม็อบกับเขาอยู่เลย แต่แม่ไปไม่ได้ เพราะอายุมากแล้ว พอแม่ไม่ไปเขาก็บอกว่า ‘แม่อยากจะเห็นเด็กเจอกับความรุนแรงหรือไง ถ้าคนเข้าร่วมม็อบน้อยตำรวจจะมาสลายการชุมนุมได้นะแม่ แม่จะไม่ไปช่วยเขาเหรอ’ เขาว่าแม่อย่างงั้น”  

.

เหตุการณ์ในวันที่ “โด่ง” ถูกควบคุมตัว

“ตอนนั้นประมาณ 6 โมงเช้า แม่นั่งอยู่ข้างล่าง เขานอนอยู่บนชั้น 2 อยู่ๆ ก็มีคนมายืนตะโกนหน้าบ้าน เรียกชื่อโด่งๆๆ ถามว่าโด่งอยู่บ้านไหม แม่ก็นึกว่าเป็นเพื่อนเขา แล้วตำรวจก็เปิดประตูเข้ามาประมาณ 10 กว่าคน รวมที่ยืนข้างนอกบ้าน อีกรวมๆ น่าจะเกือบ 20 คนได้ 

“ตอนนั้นแม่ก็กลัวมาก นึกถึงเรื่องที่เขาชอบโพสต์เกี่ยวกับการเมือง เกี่ยวกับสถาบันฯ ในเฟซบุ๊ก คิดว่าน่าจะเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้แน่นอน ‘น้องโด่งอยู่ที่ไหน’ ตำรวจถาม แม่ก็นั่งนิ่ง ทำอะไรไม่ถูก เขาก็โชว์บัตรประจำตัวกับเอาหมายจับออกมาให้เราดู แม่ก็เลยให้ขึ้นไปหาโด่งที่ชั้นสอง”

แม่เล่าถึงเหตุการณ์ในรุ่งเช้าวันนั้นด้วยความตื่นตกใจไม่สร่าง “ตำรวจ 10 กว่านายเดินตามกันไปที่ห้องนอนโด่งบนชั้นสอง แล้วเปิดประตูห้องนอนเข้าไป

‘ประสงค์ใช่ไหม’ เขายืนแน่นิ่ง ไม่ขานรับตอบ  ‘โทรศัพท์อยู่ไหน’ เขาก็ยังยืนเฉย

“จำได้ว่าเขาคงรู้สึกงง พอตำรวจค้นเจอโทรศัพท์มือถือที่อยู่ใต้หมอนก็ยึดไปเลย แล้วก็คุมตัวเขาขึ้นรถตำรวจไป สภ.ท่าหิน (อำเภอเมืองลพบุรี) แม่กับพ่อแท้ๆ ของเขาก็ขับรถตามไปติดๆ

“มือถือที่ถูกยึดไป ไม่รู้จะได้คืนไหม แม่ซื้อเป็นของขวัญวันเกิดให้เขาตอนเดือนธันวาปีกลาย ประมาณ 5,000 บาทได้ ถ้าไม่ได้คืน แม่ก็คงเสียใจมากเลย เพราะเป็นเงินที่แม่ทำงานเหนื่อยมาเอง เป็นเงินจากหยาดเหงื่อของคนอายุ 70 ที่อยากเห็นลูกได้มี ได้ใช้เหมือนคนอื่นเขาบ้าง

“พอตำรวจพาตัวโด่งไปเรือนจำที่นครปฐม แม่ก็ไม่รู้อีกเลยว่าเขาเป็นยังไงบ้าง ต้องรอทนายโทรมาบอกอย่างเดียว ซึ่งทนายเองก็เข้าเยี่ยมไม่ได้เหมือนกัน ใครจะเยี่ยมก็ไม่ได้ เพราะเรือนจำเขาอ้างว่าจะต้องกักตัว 21 วัน ก่อนถึงจะไปเยี่ยมได้ 

“แม่จะให้เงินติดตัวเขาไป เขาก็ไม่เอา เขาไปแต่ตัว เสื้อผ้าอะไรก็ไม่ได้เอาไป มีอยู่ชุดเดียวที่ใส่ไปนั่นแหละ ถ้าเขาต้องอยู่ข้างในนั้นอีกนาน แม่ก็กลัวว่าจะไม่มีใครผ่อนจ่ายเงิน กยศ. ที่เขากู้มาเรียนตอน ม.ปลาย  

“ลำพังตอนนี้แม่ทำงานดูแลผู้สูงอายุ ได้แค่วันละ 300 บาท ตอนนี้อายุก็ปาเข้าไป 70 แล้ว ต้องจ่ายทั้งค่าเช่าบ้าน ค่าน้ำ ค่าไฟ หุงหาอาหารอะไรก็ไม่ค่อยพอแล้ว ยังดีที่มีเบี้ยเลี้ยงคนชรากับเงินจากบัตรสวัสดิการคนจนมาจุนเจือบ้าง บางครั้งถ้าเงินไม่พอจริงๆ ก็ต้องไปรับจ้างข้างนอกเพิ่มเอา

“ข้าวก็อาศัยกินเพื่อนที่ทำงานบ้าง บางครั้งก็ซื้อเองบ้าง พยายามประหยัดให้ได้มากที่สุด ทุกวันนี้ซื้อกับข้าวแค่วันละถุง ถุงละ 30 บาท แบ่งกินให้ได้สองมื้อ กลางวันครึ่งนึง ตอนเย็นครึ่งนึง บางทีตอนเย็นก็ไม่กินเลย ประหยัดเอาไว้เผื่อยามฉุกเฉินแบบนี้นี่แหละ ตอนนี้ก็เก็บเงินไว้ คิดว่าจะนั่งรถไปเยี่ยมหาเขานี่แหละ

.

เรื่องที่ห่วงใยลูกชายคนนี้ กับหัวอกคนเป็นแม่

“เป็นห่วงว่าเขาอาจจะติดโควิด เพราะเขาอ้วน น้ำหนักตัว 120 กว่ากิโลได้ คนอ้วนก็เป็นกลุ่มเสี่ยงเสียชีวิตมากกว่าคนอื่นๆ ด้วยนะ แม่ก็กังวลเรื่องนี้ 

“ไม่รู้เขาอยู่ในนั้นจะเป็นยังไงบ้างเนาะ ตอนนี้โควิดก็ระบาดด้วย ถ้าไปเยี่ยมเขา แม่ก็ต้องหยุดงาน กลับมาก็ต้องกักตัวอีก ถ้าเป็นอย่างนั้นไม่รู้จะเอาเงินที่ไหนซื้อข้าวกิน 

“บางทีนอนคิดแล้วน้ำตาก็ไหลนะ (เสียงสั่นเครือ) อดคิดไม่ได้ว่าเขาจะอยู่ยังไง กินอะไร อยู่บ้านกับแม่ แม่ก็ให้เขากินเต็มที่ตลอด แม่อดได้ แต่ลูกต้องอิ่ม” เธอเริ่มร้องไห้ แต่ก็ยังพยายามพูดให้เรารู้เรื่องมากที่สุด 

“คิดถึงเขา (เสียงสั่นเครือ) กลับบ้านมาแล้วก็รู้สึกว้าเหว่บอกไม่ถูก อยากให้เขากลับบ้าน อยากให้เขาได้ประกันตัว เขาไม่ได้ไปฆ่าคน ค้ายาเสพติดหรืออะไร ทำแบบนี้มันแรงไป ถ้าประเทศเป็นประชาธิปไตยจริงๆ เขาก็มีสิทธิที่จะพูด จะวิจารณ์ได้ไม่ใช่เหรอ ทำแบบนี้ไม่ถูกต้อง ไม่ถูกต้องจริงๆ 

“กว่าเขาจะได้ออกมา ไม่รู้ว่าแม่จะตายก่อนไหม (เธอร้องไห้อย่างหนัก) ถ้าเขาติดคุกจริงๆ แม่คงอยู่คนเดียวไม่ได้ อายุก็เยอะมากแล้ว เวลาเป็นอะไรไปใครจะมาดูแล ถ้ามีเขาอยู่ด้วยเราก็ยังพออุ่นใจ

“แม่เป็นโรคความดันสูงกับไขมันในเส้นเลือด ต้องกินยาทุกวัน สามเดือนหมอก็จะนัดให้ไปเอายาครั้งหนึ่ง ตอนนี้ก็เป็นโรคนิ่วในไตด้วย ต้องกินยาละลายนิ่วบรรเทาอาการกันไปวันๆ แม่อายุ 70 แล้วก็ตั้งใจว่าจะไม่ทำงานแล้ว อยากจะพักอยู่บ้าน เพราะหลายปีมานี้รู้สึกเวียนหัวเหมือนจะล้มทุกที แต่ถ้าไม่มีโด่งแล้ว แม่คงต้องทำงานต่อไป ถ้าไม่อย่างงั้นก็คงไม่มีใครมาเลี้ยง ไม่มีใครดูแลแล้ว” 

ถึงตรงนี้เธอหยุดร้องไห้นานนับนาที ก่อนเอ่ยอวยพรออกมาว่า “ขอให้ลูกเข้มแข็งนะ สู้ๆ ต้องสู้นะ แม่ก็ไม่รู้จะพูดยังไงแล้ว แม่รู้ว่าสู้กับคนที่เขามีอำนาจมากกว่ามันยาก” 

เธอส่งท้ายบทสนทนาด้วยการฝากถ้อยคำบอกถึงลูกชาย และยังคงร้องไห้ต่ออีกครู่หนึ่ง ก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่ และสิ้นสุดบทสนทนาลง

.

X