แจ้งข้อหา พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ อาจารย์ ม.พะเยา กรณี #คนพะเยาบ่าเอาแป้ง หลังชุมนุมผ่านไป 5 เดือน

วันที่ 8 ม.ค. 64 ที่สถานีตำรวจภูธรแม่กา จังหวัดพะเยา รศ.ดร.มนตรา พงษ์นิล อาจารย์คณะรัฐศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยพะเยา เดินทางเข้ารับทราบข้อกล่าวหาฝ่าฝืนข้อกำหนดตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ จากการเข้าร่วมการชุมนุม #คนพะเยาบ่าเอาแป้ง ที่หน้ามหาวิทยาลัยพะเยา เมื่อวันที่ 27 ก.ค. 63 โดยเป็นผู้ถูกแจ้งข้อกล่าวหารายที่ 6 จากการชุมนุมดังกล่าว

ตั้งแต่เมื่อวันที่ 2 ม.ค. 64 รศ.ดร.มนตรา พงษ์นิล อาจารย์คณะรัฐศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยพะเยา ได้รับหมายเรียกผู้ต้องหาจากเจ้าหน้าที่ตำรวจสภ.แม่กา จังหวัดพะเยา ในคดีที่มี พ.ต.ท.จารุวัจน์ สุปินะ รองผู้กำกับสืบสวนสภ.แม่กา เป็นผู้แจ้งความในข้อกล่าวหา “ร่วมกันชุมนุม ทำกิจกรรมหรือมั่วสุม ณ ที่ใดๆ ในสถานที่แออัดหรือกระทำการดังกล่าวอันเป็นการยุยงให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อย” โดยกำหนดให้มนตราเข้าพบพนักงานสอบสวนใน “วันที่ 5 ม.ค. 63 เวลา 9.00 น.”

 

 

ต่อมา เนื่องจากพนักงานสอบสวนพิมพ์ปีพุทธศักราชที่ระบุให้เข้ารับทราบข้อกล่าวหาผิดพลาด ทำให้เมื่อวันที่ 4 ม.ค. 64 เจ้าหน้าที่ตำรวจได้นำหมายเรียกใหม่มาส่ง โดยมีการแก้ไขวันที่ให้เข้ารับทราบข้อกล่าวหาใหม่เป็นวันที่ 8 ม.ค. 63 เวลา 9.00 น.

วันนี้ (8 ม.ค.) รศ.ดร.มนตรา พงษ์นิล พร้อมด้วยทนายความเครือข่ายจากศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ได้เดินทางเข้ารับทราบข้อกล่าวหา โดยมีเพื่อนของมนตราเดินทางมาให้กำลังใจที่สภ.แม่กา พร้อมกับมีการชูป้าย “การชุมนุมไม่ใช่อาชญากรรม” และ “มิได้เป็นผู้มีมลทินมัวหมอง” และมีการถือกระป๋อง “แป้ง” เป็นสัญลักษณ์ร่วมกัน

 

 

พ.ต.ท.พงค์ศักดิ์ พิทักษ์เมธี และ ร.ต.อ.ศุภโชค สวนพืช พนักงานสอบสวนสภ.แม่กา ได้แจ้งข้อกล่าวหาต่อมนตราว่า

“เมื่อวันที่ 27 ก.ค. 63 เวลาประมาณ 17.00 น. ผู้ต้องหาได้ร่วมกับ ผู้ต้องหาคดีที่ 299/2563 ประกอบด้วย นายชินภัทร วงค์คม ผู้ต้องหาที่ 1, นายศิริวัฒน์ จุปะมัดถา ผู้ต้องหาที่ 2, นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ ผู้ต้องหาที่ 3, นายธนวัฒน์ วงค์ไชย ผู้ต้องหาที่ 4 และ นายอานนท์ นําภา ผู้ต้องหาที่ 5 และผู้เข้าร่วมชุมนุมที่ยังไม่ทราบชื่อและที่อยู่ อีกจํานวนประมาณ 200 คน จัดกิจกรรมชุมนุมชื่อกิจกรรม #คนพะเยาบ่าเอาแป้ง “ไม่มีการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด ไม่มีการคัดกรองผู้ร่วมชุมนุม ไม่มีการเว้นระยะห่างตามมาตรการการป้องกัน และการจัดกิจกรรมเป็นการยุยงให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อย โดยได้ร่วมกันทํากิจกรรมหรือมั่วสุมในลักษณะที่เสี่ยงต่อการแพร่ระบาดเชื้อโคโรน่า 2019 ณ บริเวณลานหน้าป้ายมหาวิทยาลัยพะเยา ซึ่งมีการชุมนุมกันในลักษณะแออัด ไม่มีจุดคัดกรอง ไม่มีการเว้นระยะห่างของผู้ชุมนุม ไม่มีมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อโรคฯ และยุยงให้เกิดความสงบเรียบร้อย

“ทั้งนี้ภายในเขตพื้นที่ที่นายกรัฐมนตรีได้ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในทุกเขตท้องที่ทั่วราชอาณาจักร ซึ่งกลุ่มผู้ต้องหาร่วมชุมนุมโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเรียกร้องให้ยุบสภา ขอให้เจ้าหน้าที่รัฐเลิกคุกคามเสรีภาพส่วนบุคคล และแก้ไขรัฐธรรมนูญอันเป็นการฝ่าฝืน พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548”

เมื่อทราบข้อกล่าวหาแล้ว มนตราได้ให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา ก่อนจะถูกนำตัวไปพิมพ์ลายนิ้วมือเพื่อตรวจสอบประวัติอาชญากรรม ตำรวจแจ้งนัดหมายส่งตัวผู้ต้องหาพร้อมด้วยสำนวนคดีให้กับพนักงานอัยการจังหวัดพะเยาในวันที่ 20 ม.ค. 64 เวลา 9.00 น. แล้วจึงปล่อยตัวกลับโดยไม่มีการควบคุมตัวแต่อย่างใด

ก่อนหน้าการเข้ารับทราบกล่าวหา มนตราได้โพสต์ข้อความเปิดเผยถึงความรู้สึกของการได้รับหมายเรียกในเฟซบุ๊กระบุว่า “นี่เป็นครั้งแรกที่กลายเป็นผู้ต้องหาคดีการเมือง จะเสียใจ หากย้อนเวลากลับไปแล้ว ไม่ได้แสดงออกทางการเมืองเท่าที่ศักยภาพพอมี จะเสียใจมาก หากผมทำตามคำเตือนว่าผมมีครอบครัวที่ต้องดูแล อย่าไปยุ่งหรือแสดงออกทางการเมือง เงียบ ๆ ไว้ดีกว่า เดี๋ยวจะส่งผลกระทบกับครอบครัว จะเสียใจมาก หากสุดท้ายแล้ว ครอบครัวของผมมีอุดมการณ์ตรงกันข้าม ไม่สนับสนุนและไม่เข้าใจในความคิดและการกระทำของผม จะเสียใจมาก หากเป็นอาจารย์สายมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ที่สอนเกี่ยวข้องกับประเด็นทางการเมืองด้วย หากเอาแต่อิ๊กนอร์กับปัญหาที่เผด็จการทำปู้ยี่ปู้ยำกับบ้านเมือง จะเสียใจมากที่เพื่อนนักวิชาการ และอาจารย์ที่เคารพของผมก็โดนคดีไปหลายคดี แต่ผมไม่แสดงออกทางอุดมการณ์ใด ๆ ด้วย จะเสียใจมาก หากพี่น้องที่พะเยาและทั่วประเทศโดนกระทำมากกว่าเรา โดนยัดคดีหลายข้อหา จนเป็นบัญชีหางว่าว แต่เราอยู่สุขสบาย ไม่รู้ร้อนรู้หนาว…

“การแสดงออกทางการเมืองเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของความเป็นมนุษย์ และไม่ใช่อาชญากรรม ไม่ได้ไปทำร้ายหรือไปฆ่าคนตายที่ไหน ไม่ได้ทำผิดอะไร ดังนั้น ผมบริสุทธิ์ใจและไม่มีอะไรต้องกริ่งเกรงที่จะไปตามที่เขาเรียก และผมก็ยังสอนหนังสือแบบเดิม มีเวทีที่พะเยาเมื่อไหร่ก็จะเข้าร่วมแบบเดิม ดูเหมือนปี 2564 คงเป็นปีที่เผด็จการพร้อมทั้งเครื่องมือและกลไกต่างๆ ของมันกำลังทำงานอย่างหนักหน่วงต่อเนื่องมาจากปี 2563 ในขณะที่เครื่องมือและกลไกนั้นยิ่งทำงานรับใช้นาย ก็จะยิ่งเสื่อมศรัทธาและทรุดโทรม

“นายและลิ่วล้อจงรู้เถอะว่า ยิ่งใช้กฎหมายเล่นงานปิดปาก สร้างอยุติธรรมให้คนบริสุทธิ์เท่าไหร่ การรังเกียจพวกคุณและการต่อต้านยิ่งมากเท่านั้น ถึงอย่างไร กาลเวลาและการเปลี่ยนแปลงก็จะเป็นผู้ชนะ พรุ่งนี้และวันต่อ ๆ ไป ผมก็คือผมคนเดิม”

 

ภาพการชุมนุม #คนพะเยาบ่าเอาแป้ง จากทวิตเตอร์ @tanawatofficial

 

สำหรับกิจกรรม #พะเยาบ่าเอาแป้ง เมื่อวันที่ 27 ก.ค. นั้น เดิมถูกประกาศจัดในชื่อกิจกรรม #พะเยาจะบ่าทน ที่บริเวณลานอเนกประสงค์ กว๊านพะเยา แต่ในวันที่ 25 ก.ค. ทางนายอำเภอเมืองพะเยาได้มีหนังสือประกาศให้กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน เข้าร่วมกิจกรรมจิตอาสาพัฒนา เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในวันเวลาและสถานที่ใกล้เคียงกันกับกิจกรรมการชุมนุม ทำให้ต่อมาผู้จัดกิจกรรมต้องประกาศย้ายไปจัดหน้ามหาวิทยาลัยพะเยาแทน และมีการใช้ชื่อการชุมนุมใหม่ว่า #คนพะเยาบ่าเอาแป้ง

ต่อมามีการออกหมายเรียกผู้ต้องหาจำนวน 5 ราย ซึ่งเป็นนักกิจกรรมหรือผู้เคยเคลื่อนไหวทางการเมืองในพื้นที่จังหวัดพะเยา ได้แก่ นายชินภัทร วงค์คม, นายศิริวัฒน์ จุปะมัดถา, นายพริษฐ์ ชิวารักษ์, นายธนวัฒน์ วงค์ไชย และนายอานนท์ นําภา ทั้งหมดถูกแจ้งข้อกล่าวหาฝ่าฝืนข้อกำหนด พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ เช่นเดียวกัน ไปตั้งแต่เมื่อวันที่ 30 ต.ค. และ 8 พ.ย. 63

>> ตร.แจ้งข้อหา 3 ผู้ชุมนุม #คนพะเยาบ่าเอาแป้ง ฝืนพ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ขาดอานนท์-พริษฐ์ที่ถูกคุมขัง

>> อานนท์-เพนกวิน เข้ารับทราบข้อหา พ.ร.ก.ฉุกเฉิน อีกคดี กิจกรรม #คนพะเยาบ่าเอาแป้ง

กรณีของนายศิริวัฒน์ จุปะมัดถา ได้ถูกอัยการส่งฟ้องต่อศาลจังหวัดพะเยาอย่างเร่งรัดแยกจากผู้ต้องหาอีก 4 ราย ที่ยังไม่มีการส่งสำนวนคดีและตัวผู้ต้องหาให้กับพนักงานอัยการ เนื่องมาจากผู้ต้องหามีนัดหมายคดีจำนวนมากในกรุงเทพมหานครจึงได้ยื่นหนังสือขอเลื่อนการส่งตัวให้อัยการออกไป อีกทั้งปัจจุบันยังอยู่ในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ทำให้การเดินทางเป็นไปอย่างยากลำบากอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้

>> คดี พ.ร.ก.ฉุกเฉิน #คนพะเยาบ่าเอาแป้ง ตร.ส่งสำนวน“อดีตแกนนำเสื้อแดง” อัยการสั่งฟ้องทันที

 

X