ในวันที่ 1 ก.ค. 2568 เวลา 09.00 น. ศาลอาญานัดฟังคำพิพากษาในคดีของ “บังเอิญ” (สงวนชื่อสกุล) ศิลปินอิสระชาวขอนแก่นวัย 26 ปี ในข้อหามาตรา 112 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14 (3) หลังถูกกล่าวหาโพสต์รูปภาพตนเอง ใช้มือซ้ายถือรองเท้าหันไปทางพระบรมฉายาลักษณ์ เมื่อวันที่ 29 ก.ค. 2566 โดยมี อานนท์ กลิ่นแก้ว แกนนำกลุ่มศูนย์รวมประชาชนปกป้องสถาบัน (ศปปส.) เป็นผู้กล่าวหาในคดีนี้
ที่มาของคดีนี้ ผู้กล่าวหาอ้างว่าเมื่อวันที่ 29 ก.ค. 2566 เวลาประมาณ 14.30 น. ได้เปิดเฟซบุ๊กของบังเอิญดู พบว่าบังเอิญได้โพสต์รูปภาพตนเองขณะยืนอยู่ใกล้แท่นด้านหน้าพระบรมฉายาลักษณ์ของรัชกาลที่ 10 และพระราชินี โดยใช้มือซ้ายถือรองเท้า จำนวน 1 ข้าง หันไปทางบริเวณด้านหน้าพระบรมฉายาลักษณ์
ผู้กล่าวหาอ้างว่า ตนเองและประชาชนทั่วไปในราชอาณาจักร ที่พบเห็นรูปภาพดังกล่าว มีความเห็นว่าผู้ต้องหามีเจตนาที่จะใช้รองเท้าชี้ไปที่พระบรมฉายาลักษณ์ เป็นการกระทำที่มิบังควร จาบจ้าง ล่วงเกิน หรือกระทำให้ระคายเคืองเบื้องยุคลบาท อันเป็นการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ดูหมิ่น ใส่ความ หมิ่นประมาท แสดงความอาฆาตมาดร้ายต่อพระมหากษัตริย์ ทำให้เสื่อมเสียพระเกียรติยศ ชื่อเสียง ทรงถูกดูหมิ่นและถูกเกลียดชัง ทำให้ประชาชนทั่วไปเสื่อมศรัทธา ไม่เคารพสักการะ
บังเอิญเข้ารับทราบข้อกล่าวหาที่ สน.ชนะสงคราม ในวันที่ 10 พ.ย. 2566 โดยให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา ในวันดังกล่าว พนักงานสอบสวนยังนำตัวไปขอฝากขังที่ศาลอาญา อ้างว่าเป็นคำสั่งของผู้บังคับบัญชา แม้ผู้ต้องหาจะมาพบตามหมายเรียกก็ตาม ก่อนศาลจะรับฝากขัง และให้ประกันตัว โดยให้วางหลักทรัพย์ 90,000 บาท ก่อนอัยการมีคำสั่งฟ้องคดีนี้ต่อศาลอาญา เมื่อวันที่ 1 ก.พ. 2567
.
ภาพรวมการสืบพยาน
ในชั้นศาล บังเอิญยืนยันให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา ศาลอาญานัดสืบพยานโจทก์และจำเลยทั้งสิ้น 3 นัด ในระหว่างวันที่ 20-22 พ.ค. 2568 โดยฝ่ายโจทก์ได้นำพยานเข้าสืบทั้งสิ้น 13 ปาก แยกเป็นผู้กล่าวหาและสมาชิกกลุ่ม ศปปส. 3 ปาก, พยานนักวิชาการฝ่ายอนุรักษ์นิยมที่มาให้ความเห็น 4 ปาก, บุคคลทั่วไปที่มาให้ความเห็น 1 ปาก, เจ้าหน้าที่ตำรวจฝ่ายสืบสวน 4 ปาก และพนักงานสอบสวน 1 ปาก
ส่วนฝ่ายจำเลยได้นำพยานเข้าสืบทั้งสิ้น 2 ปาก คือตัวจำเลยอ้างตนเองเป็นพยาน และพยานนักวิชาการ 1 ปาก
ฝ่ายจำเลยต่อสู้ในคดีว่า เป็นผู้โพสต์รูปภาพและข้อความดังกล่าวจริง แต่ไม่ได้มีเจตนาและจุดมุ่งหมายตามที่โจทก์ฟ้อง ภาพแต่ละภาพนั้นสามารถตีความได้อย่างหลากหลาย ทั้งยังไม่สามารถที่จะเข้าใจถึงเจตนาที่แท้จริงได้ มุมมองของภาพจะขึ้นอยู่กับพื้นเพทางความคิดของแต่ละคน และการโพสต์ภาพดังกล่าวในวันที่ 28 ก.ค. 2566 ซึ่งตรงกับวันเฉลิมฯ ก็ไม่ได้มีเจตนาพิเศษแต่อย่างใด มองว่าเป็นวันธรรมดาวันหนึ่งที่ทุกคนสามารถโพสต์ภาพอะไรก็ย่อมได้
.
บันทึกการสืบพยานโจทก์
กลุ่ม ศปปส. เห็นว่ารองเท้าเป็นของต่ำ พระบรมฉายาลักษณ์เป็นตัวแทนพระมหากษัตริย์เป็นของสูง การนำรองเท้าไปชี้ถือเป็นการดูหมิ่น
มะลิวัลย์ หวาดน้อย สมาชิกของกลุ่ม ศปปส. หนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้ง และเป็นแอดมินเพจ เบิกความว่าในวันที่ 29 ก.ค. 2566 อานนท์ กลิ่นแก้ว ประธานกลุ่ม ศปปส. ได้โทรมาหาพยานให้เข้าไปดูโพสต์บนเฟซบุ๊กที่คาดว่าเป็นของจำเลย ซึ่งได้โพสต์ในวันที่ 28 ก.ค. 2566 ซึ่งเป็นโพสต์ที่เป็นรูปบุคคลถือรองเท้าชี้ไปทางพระบรมฉายาลักษณ์ รัชกาลที่ 10 และมีการตั้งค่าโพสต์เป็นสาธารณะ พยานเห็นว่าพระบรมฉายาลักษณ์เปรียบเสมือนตัวแทนของรัชกาลที่ 10 ที่มาอยู่ตรงหน้าผู้พบเห็น ดังนั้น การที่บุคคลเอารองเท้าซึ่งเป็นของต่ำไปชี้ ถือว่าเป็นการดูถูก เหยียดหยาม ทำให้เสื่อมพระเกียรติ ทำให้ประชาชนที่พบเห็นเกิดความเกลียดชัง
พยานเห็นว่ารองเท้านั้นเป็นของต่ำ เนื่องจากมีไว้สวมใส่ที่เท้า ขณะเดียวกัน พระมหากษัตริย์มีสถานะเป็นของสูง เนื่องจากเป็นประมุขของประเทศ แม้จะเป็นบุคคลธรรมดา การยกรองเท้าใส่กันก็ยังถือว่าเป็นปัญหา การที่จำเลยกระทำการดังกล่าว จึงถือว่าเป็นการกระทำที่รับไม่ได้
พยานตอบทนายจำเลยถามค้าน ว่าทราบว่าในโพสต์ดังกล่าวมีข้อความประกอบโพสต์ว่า “โฆษณา Vans 😁🔥💯” และทราบว่า Vans คือยี่ห้อรองเท้า แต่ในการถ่ายรูปจะถ่ายตรงไหนก็ได้ เหตุใดต้องไปถ่ายกับพระบรมฉายาลักษณ์ ส่วนข้อความในโพสต์แม้จะไม่ได้ระบุถึงรัชกาลที่ 10 แต่มีความเห็นว่าภาพนั้นฟ้องชัดว่าหมายถึงรัชกาลที่ 10 และแม้ไม่มีข้อความดูหมิ่น แต่การใส่อิโมจิหน้ายิ้มก็เหมือนกับการหมิ่นประมาท เป็นการแสดงความพึงพอใจ และมีความสุขที่ได้กระทำ
ทนายจำเลยให้พยานดูภาพช่างที่มาเจาะสว่านลงไปที่พระบรมฉายาลักษณ์ แล้วถามพยานว่าการกระทำเช่นนี้ถือเป็นการทำร้ายร่างกายรัชกาลที่ 10 หรือไม่ พยานตอบว่าต้องดูที่เจตนา ในภาพช่างกำลังกระทำเตรียมการพระบรมฉายาลักษณ์เพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติ แต่การกระทำของจำเลยเป็นการหมิ่นพระเกียรติ
ต่อมา อานนท์ กลิ่นแก้ว ประธานกลุ่ม ศปปส. และผู้กล่าวหา เบิกความโดยสรุปว่าได้เห็นโพสต์ของจำเลยในเฟซบุ๊กในวันที่ 29 ก.ค. 2566 และได้สอบถามไปที่แอดมินเพจ มะลิวัลย์ หวาดน้อย ให้ตรวจสอบว่าเป็นใคร เนื่องจากตนไม่รู้ภาษาอังกฤษ จึงได้ทราบว่าเป็นเฟซบุ๊กของจำเลย
พยานเบิกความว่ารองเท้าเป็นของต่ำ การเอาไปชี้ที่พระมหากษัตริย์และพระราชินีถือเป็นการกระทำที่ไม่สมควร และโพสต์ดังกล่าวยังตั้งค่าเป็นสาธารณะ ซึ่งบุคคลทั่วไปสามารถพบเห็นได้ แม้ไม่ได้เป็นเพื่อนกันในเฟซบุ๊ก และสามารถเข้าถึงภาพนี้ได้จากทั่วโลก
เมื่อพบเห็นภาพดังกล่าว พยานรู้สึกว่าเป็นการกระทำที่ทำให้ รัชกาลที่ 10 เสื่อมพระเกียรติ ระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาท หมิ่นประมาท อาฆาตมาดร้าย
พยานจำได้ว่าจำเลยเคยไปกระทำการพ่นสีใส่กำแพงวัดพระแก้ว ซึ่งเป็นการกระทำที่ไม่สมควรเพราะเป็นพระบรมมหาราชวัง
เหตุการณ์ในคดีนี้ เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 28 ก.ค. 2566 ซึ่งตรงกับวันเฉลิมพระชนมพรรษา เมื่อพยานพบว่ามีการกระทำที่เข้าข่าย มาตรา 112 จึงได้เข้าแจ้งความในวันที่ 29 ก.ค. 2566 ที่ สน.ชนะสงคราม เพื่อดำเนินคดีกับจำเลย
ตอบทนายจำเลยถามค้าน พยานจำไม่ได้ว่าในคดีพ่นสีวัดพระแก้ว ตนเป็นผู้แจ้งความต่อจำเลย แต่จำได้ว่าเคยแจ้งความจำเลยมาก่อน พยานเห็นว่า ข้อความ 112 ในคดีวัดพระแก้ว แม้ไม่ทราบว่าจำเลยต้องการจะสื่ออะไร แต่เห็นว่าคล้ายกับลายที่อยู่บนเสื้อของจำเลย ซึ่งคาดว่าหมายถึงการยกเลิก มาตรา 112 และพยานไม่ทราบว่าอัยการไม่ได้ฟ้องในข้อหา 112 ในคดีดังกล่าว
คำว่า Vans ที่ปรากฏบนโพสต์ พยานตอบทนายจำเลยว่าทราบว่าเป็นยี่ห้อรองเท้า ก่อนที่จะขอถอน แล้วเบิกความใหม่ว่าไม่ทราบว่า Vans แปลว่าอะไร
พยานตอบทนายจำเลยว่าแม้ข้อความในโพสต์จะไม่มีการกล่าวดูหมิ่น แต่การใช้รองเท้าที่เป็นของต่ำชี้ไปทางพระบรมฉายาลักษณ์ ก็ถือว่าเป็นการดูหมิ่น พระบรมฉายาลักษณ์ แม้จะไม่ใช่ตัวรัชกาลที่ 10 โดยตรง แต่ถือเป็นตัวแทนของพระมหากษัตริย์
ส่วนรูปที่ช่างเจาะสว่านไปที่พระบรมฉายาลักษณ์ พยานมองว่าไม่ใช่การดูหมิ่น เนื่องจากมีการขออนุญาตแล้ว ทนายจำเลยถามต่อว่าถ้าเช่นนั้นการกระทำต่อพระบรมฉายาลักษณ์จึงไม่ถือว่าเป็นการดูหมิ่นเสมอไป พยานตอบว่าแต่การกระทำของจำเลยมีเจตนาชัดเจนว่าเป็นการกระทำดูหมิ่น
ทนายจำเลยถามว่าในแต่ละกลุ่มที่เคลื่อนไหวนั้น มีความเห็นที่แตกต่างกันได้ใช่ไหม พยานตอบว่ายอมรับว่าแต่ละกลุ่มนั้นเป็นไปได้ที่จะมีความเห็นที่แตกต่างกัน
พนักงานอัยการถามติง ในบรรดากลุ่มที่มีความเห็นที่แตกต่างกัน มีกลุ่มไหนที่ใช้รองเท้าแสดงความโกรธไหม พยานตอบว่าไม่มี ดังนั้น การเอารองเท้าชี้ไปที่พระบรมฉายาลักษณ์ โดยเฉพาะในวันที่ 28 ก.ค. ซึ่งเป็นวันเฉลิมพระชนมพรรษา จึงมีเจตนาที่จะหมิ่นรัชกาลที่ 10 อย่างชัดเจน
ระพีพงษ์ ชัยยารัตน์ หนึ่งในสมาชิก ศปปส. เบิกความว่าการโพสต์ภาพดังกล่าวในวันที่ 28 ก.ค. 2566 ซึ่งเป็นวันเฉลิมฯ ทำให้เห็นชัดเจนว่าจำเลยมีเจตนาที่จะหมิ่นรัชกาลที่ 10 ชี้รองเท้าเป็นของต่ำ รัชกาลที่ 10 ได้รับการคุ้มครองจากรัฐธรรมนูญในฐานะพระมหากษัตริย์ เป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้
ทนายจำเลยถามค้าน ถามความเห็นของพยานว่ามีความเห็นอย่างไรต่อกรณีที่อานนท์ กลิ่นแก้ว ประธานกลุ่ม ศปปส. ได้มีการทำร้าย “สายน้ำ” นักกิจกรรมจากกลุ่มทะลุวัง พยานไม่ขอตอบ เนื่องจากไม่เกี่ยวกับคดีนี้
ทนายจำเลยถามว่าพยานไม่เห็นด้วยกับการเคลื่อนไหวกับคนรุ่นใหม่ใช่หรือไม่ พยานตอบว่าไม่ได้คัดค้านขนาดนั้น แต่การที่คนรุ่นใหม่ด่าในหลวงนั้นไม่ถูกต้อง หากจะแก้มาตรา 112 ต้องไปแก้ที่สภา ไม่ใช่บนถนน ศาลเตือนให้พยานเบิกความด้วยกริยาที่เหมาะสม และไม่ให้เบิกความนอกเหนือจากในคดี
พยานตอบทนายจำเลยว่าในฐานะกลุ่ม ศปปส. เคยไปแจ้งความคนที่เข้าข่ายกระทำผิด มาตรา 112 กว่าร้อยคดี และตอบอัยการโจทก์ถามติงว่าที่ไปแจ้งความกว่าร้อยคดีนั้น ไม่ได้กระทำเพราะสาเหตุโกรธเคืองแต่อย่างใด

พยานผู้เชี่ยวชาญ ณฐพร-อานนท์ อ้างรัฐธรรมนูญ ม.6 หากไม่เคารพสักการะก็อาจเข้าข่ายผิด ม.112
พล.ร.ต.ทองย้อย แสงสินชัย ข้าราชการบำนาญ ผู้เชี่ยวชาญด้านภาษาโบราณ ภาษาบาลี และภาษาไทย เบิกความหลังจากพนักงานอัยการให้ดูรูปในโพสต์ดังกล่าวว่า ผู้ชูรองเท้า มีเจตนาลบหลู่ ดูถูกสถาบันพระมหากษัตริย์ เพราะในวัฒนธรรมไทยถือว่ารองเท้าเป็นของต่ำ การถือรองเท้าชูไปทางใด ย่อมหมายถึงการดูถูกและลบหลู่สิ่งนั้น และตัวจำเลยเองก็เป็นคนไทย เมื่อกระทำเช่นนี้ จึงถือว่ามีเจตนาที่จะดูหมิ่นพระมหากษัตริย์และราชินี
พยานตอบทนายจำเลยถามค้าน แม้บุคคลในภาพจะยืนอยู่ในระดับต่ำกว่าพระบรมฉายาลักษณ์ การชูรองเท้าก็อยู่ในระดับต่ำกว่าพระบรมฉายาลักษณ์ และการชูรองเท้าก็ชูไปทางด้านซ้ายของผู้ชู ไม่ได้ชี้ไปที่พระบรมฉายาลักษณ์โดยตรง พยานตอบว่าเป็นการชี้ต่อหน้าพระบรมฉายาลักษณ์ และแม้ไม่มีข้อความดูหมิ่น แต่ก็มีกริยาดูหมิ่น
ทนายจำเลยถามว่าพยานเคยเห็นพระบรมฉายาลักษณ์ที่แขวนอยู่ตรงสะพานลอย ซึ่งหากมีคนเดินข้าม ก็จะทำให้พระบรมฉายาลักษณ์อยู่ในระดับต่ำกว่าคนที่เดินสัญจร กรณีเช่นนี้ถือว่าหน่วยงานที่ติดตั้งพระบรมฉายาลักษณ์มีความผิดหรือไม่ พยานตอบว่าไม่มีความผิด เพราะไม่มีเจตนา ต่างจากจำเลยที่มีเจตนาเลือกฉากหลังเป็นพระบรมฉายาลักษณ์
พนักงานอัยการถามติง การจะดูหมิ่นหรือดูถูกจำเป็นต้องมีตัวหนังสือหรือไม่ พยานตอบว่าไม่จำเป็น เพราะกริยาท่าทางก็สามารถเป็นการดูหมิ่นได้ กริยาของจำเลยในคดีนี้ก็ถือเป็นการดูหมิ่น
ณฐพร โตประยูร เบิกความว่าในรัฐธรรมนูญทุกฉบับ มีบทบัญญัติซึ่งคุ้มครองพระมหากษัตริย์ ในรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 ก็บัญญัติไว้ในมาตรา 6 ว่าองค์พระมหากษัตริย์ทรงดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้ ผู้ใดจะกล่าวหาหรือฟ้องร้องพระมหากษัตริย์ในทางใด ๆ มิได้
พยานมีความเห็นว่า มาตรา 6 ของรัฐธรรมนูญกำหนดให้ประชาชนมีหน้าที่ปกป้องชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ พยานเห็นว่า ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 นั้นเป็นส่วนเพิ่มเติมจากรัฐธรรมนูญ มาตรา 6 เนื่องจากในมาตรา 6 นั้นไม่ได้กำหนดบทลงโทษเอาไว้ มาตรา 6 นั้นถือเป็นกฎหมายที่เด็ดขาด แม้จำเลยจะไม่มีเจตนา แต่เมื่อได้กระทำไปแล้ว ก็ถือว่ามีความผิด
พยานเห็นว่าการยกรองเท้าไปที่พระบรมฉายาลักษณ์เป็นเรื่องที่ไม่สมควร การกระทำของจำเลยจึงถือเป็นการดูหมิ่นพระมหากษัตริย์
ทนายจำเลยถามค้าน ที่มาของรัฐธรรมนูญ มาตรา 6 มาจากหลัก The King Can Do No Wrong พยานตอบว่ามาตรา 6 ของรัฐธรรมนูญนั้น กว้างกว่ามาตรา 112 หากกระทำผิดมาตรา 6 ก็เท่ากับว่าผิดมาตรา 112 ด้วย ทนายจำเลยถามต่อว่าบทบัญญติของรัฐธรรมนูญ มาตรา 6 กับประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 นั้นองค์ประกอบคนละอย่างกัน ศาลแจ้งว่าจะไม่บันทึกคำถามเหล่านี้
ทนายจำเลยถามว่าถ้าไม่เคารพสักการะก็ถือว่าผิดมาตรา 112 เลยหรือ พยานตอบว่าหากอยู่เฉย ๆ ก็ไม่ผิด
ทนายจำเลยถามว่าภาพชูรองเท้า ไม่มีข้อความดูหมิ่นแต่อย่างใด พยานตอบว่าเป็นการใช้กริยาท่าทางในการละเมิด
คมสัน โพธิ์คง นักวิชาการอิสระ เบิกความว่ารูปภาพดังกล่าวทำให้คนที่พบเห็น ซึ่งอาจมีความคิดต่อสถาบันอยู่ในระดับกลาง ๆ อาจเกิดความคิดปฏิปักษ์ต่อรัชกาลที่ 10 ได้ ส่วนสำหรับคนที่รักสถาบันฯ ก็เกิดความไม่พอใจ
ตอบทนายจำเลยถามค้านว่าโพสต์ดังกล่าวไม่มีข้อความดูหมิ่น พยานตอบว่า ไม่มี ส่วนที่ปรากฏข้อความโฆษณารองเท้า Vans พยานมีความเห็นว่าต้องพิจารณาด้วยว่าบริษัทรองเท้ายี่ห้อ Vans เห็นด้วยกับการโฆษณาดังกล่าวหรือไม่ ถ้าเห็นด้วยก็ไม่ผิดมาตรา 112
ส่วนภาพดังกล่าวแม้รองเท้าที่ชูจะอยู่ในระดับเท้าของรัชกาลที่ 10 เท่านั้น แต่ปลายรองเท้าชี้ขึ้นไปที่บริเวณใบหน้าของรัชกาลที่ 10
พยานตอบพนักงานอัยการถามติงว่าแม้ในภาพจะไม่ปรากฏข้อความด่าทอ แต่ในการดูหมิ่นนั้นสามารถกระทำได้ด้วยวิธีอื่น ๆ ไม่จำเป็นต้องมีคำพูดเสมอไป
อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ นักวิชาการ เบิกความว่ารองเท้าในประเพณีไทยนั้นเป็นของต่ำ การเอาไปชี้ใส่พระมหากษัตริย์และพระราชินีซึ่งได้รับการคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 6 นั้น ถือเป็นการดูหมิ่นอย่างรุนแรง จำเลยเองจะอ้างว่าไม่รู้ประเพณีไทยก็ไม่ได้ เพราะเป็นคนไทย
พยานตอบทนายจำเลยว่าถ้าไม่ทำการเคารพสักการะก็จะผิดมาตรา 6 ว่าใช่ แต่ก็ไม่เสมอไป
ทนายจำเลยถามว่า ในคดี “นารา เครปกะเทย” ซึ่งพยานเคยไปให้ความเห็นนั้น ศาลพิพากษาว่ารัฐธรรมนูญ มาตรา 6 ไม่เกี่ยวข้องกับ มาตรา 112 พยานทราบหรือไม่ พยานตอบว่า เป็นไปได้อย่างไรที่วินิจฉัยเช่นนั้น แต่ก็เป็นสิทธิของท่านผู้พิพากษาที่จะวินิจฉัย ทนายจำเลยจึงถามต่อดังนั้นการไม่เคารพสักการะ ก็ไม่เป็นความผิดตามมาตรา 112 พยานตอบว่าไม่ขอก้าวล่วงคำพิพากษา แต่การไม่เคารพสักกาะ กับการชูรองเท้าใส่พระบรมฉายาลักษณ์ เป็นคนละกรณีกัน
ทนายจำเลยถามค้านว่าเห็นข้อความโฆษณารองเท้ายี่ห้อ Vans หรือไม่ พยานตอบว่าก่อนหน้านี้ไม่เห็น เพิ่งเห็นตอนที่ทนายจำเลยชี้ให้เห็น โดยส่วนตัวไม่รู้จักรองเท้ายี่ห้อนี้
ตอบคำถามอัยการโจทก์ถามติง ว่าตนไม่รู้เรื่องรองเท้ายี่ห้อ Vans แต่ถ้าเป็นการโฆษณาก็เป็นโฆษณาที่ผิดกฎหมาย เพราะเอารองเท้าไปชูที่พระบรมฉายาลักษณ์ ไม่ว่าจะเขียนว่าโฆษณาหรือไม่ก็เป็นการหมิ่น
ส่วน สมชาย หอมพูลผล ประชาชน มาเบิกความในฐานะผู้พบเห็นโพสต์ในคดีนี้ เบิกความว่าโพสต์ดังกล่าวสร้างความไม่สบายใจต่อผู้พบเห็น เป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสม
ชุดสืบสวน-สอบสวน ทราบประวัติบังเอิญว่าทำงานศิลปะ อยู่ในกลุ่มศิลปะปลดแอก มองว่าภาพดังกล่าวไม่ใช่งานศิลปะ
จ.ส.ต.อนุสรณ์ เลขะพัฒนพล เจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวน สน.ชนะสงคราม เบิกความว่าหลังจากได้รับการแจ้งความจาก อานนท์ กลิ่นแก้ว ก็ได้รับมอบหมายจากผู้บังคับบัญชา พ.ต.ท.ศรายุทธ บุญธรรม ให้ไปตรวจสอบในที่เกิดเหตุบริเวณสวนสันติชัยปราการ ป้อมพระสุเมรุ ซึ่งมีพระบรมฉายาลักษณ์รัชกาลที่ 10 และราชินีในคดีนี้ตั้งอยู่ ต่อมาได้ตรวจสอบกล้องวงจรปิดบริเวณนั้นแล้วเห็นภาพจำเลยได้ยกรองเท้าชี้ไปที่พระบรมฉายาลักษณ์
พ.ต.ท.ศรายุทธ บุญธรรม รองผู้กำกับการสืบสวน สน.ชนะสงคราม เบิกความว่าในวันที่ 29 ก.ค. 2566 อานนท์ กลิ่นแก้ว และพวกได้เข้ามาแจ้งความโพสต์เฟซบุ๊กที่มีเนื้อหาเข้าข่ายความผิดมาตรา 112 โดยเมื่อได้ตรวจสอบภาพดังกล่าว พบว่าพระบรมฉายาลักษณ์ในภาพตั้งอยู่ที่ป้อมพระสุเมรุซึ่งเป็นเขตพื้นที่รับผิดชอบของ สน.ชนะสงคราม
พยานรู้จักจำเลย “บังเอิญ” มาก่อน เนื่องจากต้องติดตามการเคลื่อนไหวของการชุมนุมต่าง ๆ อยู่เสมอ และบังเอิญเองก็เป็นนักกิจกรรมที่เข้ามาเคลื่อนไหวในเขตพื้นที่ สน.ชนะสงคราม อยู่บ่อยครั้ง
ตอบทนายจำเลยถามค้าน พยานมีเบอร์โทรศัพท์ของบังเอิญ ทราบว่าจำเลยอยู่ในกลุ่ม “ศิลปะปลดแอก” และชื่นชอบการทำภาพศิลปะ แต่พยานไม่เคยดูงานของจำเลย
ตอบคำถามอัยการโจทก์ถามติง ว่าภาพในคดีนี้เป็นภาพศิลปะที่ถูกกฎหมายหรือไม่ พยานตอบว่าไม่ใช่ศิลปะ การกระทำดังกล่าวไม่ใช่การแสดงศิลปะ ทนายจำเลยคัดค้านคำถามของอัยการ เนื่องจากไม่ได้ถามค้านในประเด็นนี้ เพียงแต่ถามถึงตัวตนของจำเลยในฐานะศิลปินเท่านั้น ศาลจึงไม่ให้อัยการถามเรื่องนี้
พ.ต.ท.เอกคณิต เนรตทอง ฝ่ายสืบสวน กองกำกับการ 1 กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (กก.1 บก.ปอท.) เบิกความว่าเคยได้รับการมอบหมายให้ตรวจสอบการกระทำของจำเลยในคดีอื่นมาก่อน ได้แก่ กรณีตรวจสอบการโพสต์ภาพ “วิปลาส อำนาจ มนตร์ดำ” ซึ่งมีลักษณะอาฆาตมาดร้ายดูหมิ่นต่อสถาบันฯ และพบว่าเฟซบุ๊กที่ลงภาพนั้นเป็นของจำเลย ในคดีนี้ พยานจึงถูกเรียกตัวให้มาเป็นพยาน และยืนยันว่าเฟซบุ๊กที่โพสต์ภาพดังกล่าวเป็นของจำเลย
ทนายจำเลยถามค้าน จากการสืบสวนข้อมูลบนเฟซบุ๊ก พยานทราบว่าจำเลยอยู่ในกลุ่มศิลปะปลดแอก และทราบว่าจำเลยมักบรรยายผลงานตัวเองว่าเป็นศิลปะแนว Dark Art, Punk Art อยู่เสมอ
ตอบคำถามอัยการโจทก์ถามติง พยานไม่ทราบว่าศิลปะแนว Dark Art คืออะไร แต่จากการเอาภาพพระบรมวงศานุวงศ์มาทำให้เป็นสีดำ พยานพบเห็นแล้วรู้สึกว่าน่ากลัว ไม่เหมาะสม
ว่าที่ พ.ต.ท.ธนรัช สุขกาย นักวิทยาศาสตร์ (สบ.2) กองพิสูจน์หลักฐานกลาง มีหน้าที่ตรวจสอบวัตถุพยานทางดิจิทัล เบิกความว่าในคดีนี้ พนักงานสืบสวนได้นำส่งแฟลชไดรฟ์ไฟล์รูปภาพเพื่อตรวจสอบว่ามีการตัดต่อหรือไม่ โดยได้ทำการตรวจสอบโดยเข้าโปรแกรมตรวจสอบซึ่งเป็นวิธีสากลที่ทั้ง FBI และ CIA ก็มีการใช้กัน
เมื่อตรวจสอบแล้วพบว่าภาพที่ตรวจสอบไม่ใช่ต้นฉบับ ต้นฉบับนั้นหมายถึงภาพที่มาจากอุปกรณ์ที่ใช้ถ่ายโดยตรง เมื่อมีการนำภาพที่บันทึกไว้มาลงในแฟลชไดรฟ์ ภาพดังกล่าวจึงไม่ใช่ภาพต้นฉบับ เมื่อไม่ใช่ภาพต้นฉบับแล้วจึงไม่สามารถยืนยันได้ว่าภาพดังกล่าวมีการตัดต่อหรือไม่ ทนายจำเลยไม่ถามค้าน
พ.ต.ท.โชคอำนวย วงบุญฤทธิ์ รองผู้กำกับการสอบสวน สน.ชนะสงคราม เบิกความว่าเป็นผู้รับหน้าที่สอบปากคำพยานบุคคลที่มาให้การในคดีนี้ ได้มีการตรวจสอบเฟซบุ๊กของจำเลย ได้ทำหนังสือแจ้งไปยังผู้บังคับการตำรวจสันติบาลให้ตรวจสอบพฤติกรรมการใช้งานของจำเลย นอกจากนี้ยังได้ตรวจสอบประวัติของจำเลยพบว่าเคยมีคดีพ่นสีวัดกำแพงวัดพระแก้ว จึงเห็นควรส่งสำนวนอัยการให้สั่งฟ้องในคดีนี้
ตอบคำถามทนายจำเลยถามค้าน ในการสอบปากคำ กลุ่ม ศปปส. พยานไม่ได้ตรวจสอบแนวคิด อุดมการณ์ทางการเมืองของกลุ่ม รวมถึงทัศนะต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ และพยานนักวิชาการคนอื่น ๆ พยานก็ไม่ได้ตรวจสอบว่ามีความเห็นทางการเมืองหรือมีทัศนะต่อสถาบันฯ อย่างไร
พยานทราบจากเอกสารการสืบสวนของตำรวจสันติบาลว่า จำเลยมีการทำงานศิลปะภายใต้กลุ่มศิลปะปลดแอก และพยานทราบว่าจำเลยเป็นผู้ป่วยจิตเวช แต่ไม่ได้รับการรักษาต่อตั้งแต่เดือน ก.ค. 66 พยานรับว่า ภาพในคดีนี้ไม่มีข้อความใดที่มีลักษณะดูหมิ่น
อัยการโจทก์ถามติง พยานเห็นว่าเฉพาะภาพดังกล่าวมีกริยาที่ไม่เหมาะสม เข้าข่ายความผิดมาตรา 112 แสดงความอาฆาตมาดร้าย และการเอาภาพไปโพสต์บนเฟซบุ๊กให้คนทั่วไปเห็น ก็อาจทำให้เกิดความเกลียดชัง เสื่อมเสียพระเกียรติได้
บันทึกการสืบพยานจำเลย
ทัศนัยชี้ ภาพต่าง ๆ เราไม่อาจเข้าใจถึงเจตนาที่แท้จริงของภาพแต่ละภาพได้ สามารถตีความได้หลากหลาย ทั้งยังอาจมีอคติในการตีความ หรือมองเห็นเข้าข้างตนเอง
ทัศนัย เศรษฐเสรี อาจารย์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เบิกความว่าหลังจากเห็นภาพตามฟ้องแล้ว เห็นความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องใช้กรอบทางวิทยาศาสตร์มาพิจารณา พยานให้ดูภาพจิตวิทยาแบบเกสตัลท์ (Gestalt Phycology) ซึ่งเป็นกรอบคิดที่พัฒนาขึ้นในศตวรรษที่ 20 ก่อนหน้านี้การรับรู้ของมนุษย์ ไม่สามารถทำความเข้าใจได้ด้วยวิทยาศาสตร์ ซึ่งพยานเอาภาพจิตวิทยาแบบเกสตัลท์มามาสอนให้นักศึกษาในหัวข้อ “สัญญะและการตีความหมาย”
พยานให้ดูภาพที่ 1 ซึ่งเป็นภาพที่พยานใช้ในการสอน ซึ่งมีบุคคลจำนวนมากระบุว่าเป็นภาพหน้าคนหันหน้าเข้าหากัน ไม่ก็มองว่าเป็นภาพแจกัน
พยานให้ดูภาพที่ 2 ซึ่งสามารถมองได้ว่าเป็นภาพผู้หญิงหันหลัง ไม่ก็มองว่าเป็นภาพผู้หญิงชรา
ข้อสรุปในแบบทดสอบนี้ตามหลักวิทยาศาสตร์คือใครจะมองเห็นภาพแบบไหนขึ้นอยู่กับพื้นเพทางความคิดของคนแต่ละคน
พยานกล่าวว่ามีกลุ่มที่ทดสอบในการมองภาพชุดนี้ ซึ่งสามารถมองเห็นภาพได้ทั้ง 2 แบบได้ โดยไม่มีภาพใดขึ้นมาก่อน ด้วยการมองแบบขันติธรรม
ต่อมาพยานให้ดูภาพ ซึ่งเป็นภาพวงกลมสามวงที่มีส่วนแหว่ง พยานกล่าวว่าเราไม่ได้มองเห็นรูปสามเหลี่ยม แต่มองเห็นวงกลมที่มีส่วนที่ขาดหายไป แบบทดสอบนี้สรุปได้ว่าเพราะความใฝ่รู้ของมนุษย์ เราอาจเติมแต่งส่วนที่ขาดหายไปตามที่เราอยากเห็นก็เป็นได้ ทั้งที่ในความเป็นจริงอาจไม่ปรากฏเช่นนั้น
ศาลมีคำสั่งไม่ให้นำสืบทฤษฏีเกสตัลท์ต่อ เนื่องจากมองว่าเข้าใจสิ่งที่พยายามจะสื่อสารแล้ว
พยานดูภาพที่ถูกฟ้องในคดีนี้ มองว่าภาพนี้มีองค์ประกอบหลายอย่าง เมื่อนำมารวมแล้ว ฉากหลัง วัตถุ ในภาพนี้อาจไม่มีองค์ประกอบที่เกี่ยวข้องกันเลยก็เป็นได้
พยานอ้างถึงภาพโฆษณารองเท้ายี่ห้อ Nike ที่มี Lebron James นักบาสเก็ตบอล NBA มาโฆษณาถือรองเท้า ปัญหาของภาพนี้คือรองเท้าเป็นสิ่งสกปรก และมีคนถือรองเท้า รองเท้าคู่นี้อาจมีหลายความหมาย เราไม่อาจทราบถึงความหมายที่แท้จริงได้เลย
ดังนั้น ภาพในคดีนี้ เราจึงไม่มีทางรู้ถึงเจตนาที่แท้จริงได้เลยว่าต้องการสื่ออะไร

พยานยกตัวอย่างภาพ ‘ภิกษุสันดานกา’ ของ อนุพงษ์ จันทร เป็นภาพได้รางวัล ขณะเดียวกันก็มีกลุ่มคนที่มองว่าภาพดังกล่าวทำลายศาสนา ดังนั้น การมองภาพจิตรกรรม จึงสามารถมีความเห็นที่แตกต่างกันได้

“บังเอิญ” วันที่โพสต์แม้ตรงกับวันเฉลิมฯ แต่ก็เป็นวันธรรมดาวันหนึ่งที่ใครจะโพสต์อะไรก็ย่อมได้ ไม่ได้มีเจตนาเป็นพิเศษ
“บังเอิญ” จำเลย อ้างตนเองเป็นพยาน เบิกความว่า จบการศึกษาชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 จาก กศน. มีพื้นเพเป็นคนจังหวัดขอนแก่น แต่มาใช้ชีวิตอยู่กับบิดา 2 คน ในกรุงเทพฯ ตั้งแต่อายุ 10-12 ขวบ ปัจจุบันพยานกลับไปอยู่ที่จังหวัดขอนแก่นได้ประมาณครึ่งปีแล้ว เพราะต้องใช้สิทธิรักษาพยาบาลที่โรงพยาบาลในจังหวัดขอนแก่น
เริ่มสนใจการเมืองตั้งแต่ช่วงปี 2553 ที่มีการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง และในปี 2563 พยานได้ร่วมชุมนุมแสดงผลงานศิลปะที่เกี่ยวกับ Performance Art, Digital Art และงานประติมากรรม กับกลุ่มศิลปะปลดแอก โดยตนนิยมในศิลปะแนว Dark Art, Punk Art และ Digital Art เน้นโทนภาพขาวดำและเทา
พยานป่วยเป็นโรคซึมเศร้า, ไบโพลาร์, ออทิสติก, OCD (ย้ำคิดย้ำทำ) โดยรักษามาตั้งแต่ปี 2561 และหยุดเข้ารับการรักษาเมื่อ 28 ก.พ. 2566
ในคดีนี้ พยานได้รับการติดต่อจากพนักงานสอบสวน สน.ชนะสงคราม ให้มารายงานตัว ผู้ที่โทรมาคือ พ.ต.ท.ศรายุทธ บุญธรรม เมื่อเข้ามาพบแล้ว ได้มีการถามรายละเอียดเกี่ยวกับบัญชีเฟซบุ๊ก ว่าใช้เฟซบุ๊กบัญชีใด และมีการขอเป็นเพื่อนมาในบัญชีเฟซบุ๊กของพยาน แต่พยานไม่ได้รับเป็นเพื่อน ในการสอบถามครั้งนี้ พ.ต.ท.ศรายุทธ ไม่ได้บอกว่าจะเอาข้อมูลไปทำอะไร ไม่ได้มีเอกสารใดให้เซ็น ใช้เวลาเพียงไม่กี่นาทีก็เสร็จสิ้น
สาเหตุที่โพสต์ภาพดังกล่าวในวันที่ 28 ก.ค. 2566 เพราะมองว่าก็เป็นวันธรรมดาวันหนึ่ง ที่ใครจะโพสต์อะไรก็ย่อมได้ ไม่ได้มีเจตนาใดเป็นพิเศษ แต่ในวันดังกล่าวมีเจ้าหน้าที่ตำรวจติดตามพยานอยู่ตลอดทั้งวัน
บัญชีเฟซบุ๊กที่ถูกฟ้องในคดีนี้ได้ถูกปิดไปแล้ว โดยทางเฟซบุ๊กเป็นผู้ปิด
ตอบอัยการโจทก์ถามค้านว่ารักในหลวงหรือไม่ พยานตอบว่าเฉย ๆ อัยการถามต่อว่าการไม่รักในหลวงเป็นความผิดหรือไม่ พยานตอบว่าไม่เป็นความผิด
