วันที่ 20 มิถุนายนของทุกปี เป็นวันผู้ลี้ภัยโลก ผู้ลี้ภัยไทยอีกหลายคนยังไม่ได้กลับบ้าน ชวนสนทนาทางไกลกับ “มิ้นท์ กัลยมน” หรือที่รู้จักในนาม “มิ้นท์ นาดสินปฏิวัติ” หนึ่งในบุคคลที่เดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลจากเมืองไทยไปถึงฝรั่งเศส ด้วยคดีมาตรา 112 ทำให้เธอต้องแบกรับชะตากรรมของการเป็นผู้ลี้ภัยทางการเมือง
วันเวลาผ่านไปในปารีส เมืองแห่งศิลปะและแฟชั่น มิ้นท์ได้กลับคืนสู่สิ่งที่เธอรักและถนัด นอกจากทำงานที่ร้านซูชิเป็นงานประจำ เธอได้รับโอกาสกลับมาทำงานศิลปะอีกครั้ง ผ่านการจัดเวิร์กชอปสอนนาฏศิลป์ตามเขตต่าง ๆ ในปารีส และการรับงานแสดงในอีเวนต์ ผู้มาเรียนส่วนใหญ่เป็นชาวฝรั่งเศส ซึ่งเปิดประตูให้เธอได้สัมผัสถึงการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมผ่านภาษาแห่งวัฒนธรรมร่ายรำ
‘Atelier des artistes en exil’ กลายเป็นอีกแหล่งพักพิงของมิ้นท์ ที่นั่นคือจุดรวมตัวของศิลปินผู้ลี้ภัยจากทั่วโลก โดยหน่วยงานจะคอยสนับสนุนให้มีกิจกรรมอย่างต่อเนื่อง มิ้นท์เข้าร่วมตั้งแต่วันแรก ๆ ที่มาถึง แต่ด้วยสภาพจิตใจช่วงแรกที่ยังไม่พร้อม ยังติดขัดเรื่องเอกสาร ความเต็มเปี่ยมจึงค่อย ๆ ปรากฏขึ้นในปีที่สองและสาม เมื่อเธอเริ่มปรับตัวได้ สภาพจิตใจดีขึ้น รู้สึกอยากทำอะไรมากกว่าแค่งานประจำเพื่อความอยู่รอด จึงได้ไปคลุกคลีกับศิลปินคนอื่น ๆ ที่เป็นผู้ลี้ภัยเหมือนกันมากขึ้น
ที่แห่งนั้นเธอได้พบกับผู้คนหลากหลาย เพราะฝรั่งเศสเป็นประเทศที่เปิดรับผู้ลี้ภัยเป็นจำนวนมาก มีทั้งผู้ลี้ภัยจากภัยสงคราม จากความยากจน จากสภาวะทางการเมือง เหล่านี้ต่างเป็นเพื่อนร่วมชะตากรรม ท่ามกลางความสูญเสีย ความคิดถึง และความโดดเดี่ยวของผู้ลี้ภัย ในเดือนตุลาคม 2568 นี้ มิ้นท์จะอาศัยอยู่ในแผ่นดินใหม่แห่งนี้ครบ 3 ปีแล้ว
.
ความคิดถึงในสายลมปารีส
การใช้ชีวิตในแผ่นดินใหม่ไม่ใช่เรื่องง่าย แม้จะได้รับอิสรภาพคืนมา แต่ก็มีสิ่งที่ต้องสูญเสียไปด้วย มิ้นท์เริ่มเล่าด้วยน้ำเสียงคิดถึงว่า “คิดถึงครอบครัวในเมืองไทย เพราะไม่สามารถเจอกันแบบปกติได้ แม้จะสามารถคุยโทรศัพท์ วิดีโอคอลได้ แต่กายเนื้อ อยากกอดก็ไม่ได้กอด อยากเห็นด้วยตาเนื้อก็ไม่ได้เห็น มันจึงเป็นภาวะที่ค่อนข้างเศร้า”
“คิดถึงอาหารและความสะดวกสบายในการกิน ที่ฝรั่งเศสร้านอาหารจะเปิด-ปิดเป็นเวลา ไม่เหมือนเมืองไทยที่หิวเมื่อไหร่ก็ได้กิน แต่ที่นี่ราวสองทุ่มครึ่งก็ต้องเตรียมตัวแล้ว คิดถึงอาหารป่าในเมืองไทย ผัดเผ็ดปลาไหล ผักกระเฉด ชะอม ใบเหลียง อาหารแปลก ๆ พื้นบ้านที่เดินทางมาที่นี่ยาก”
ความคิดถึงแสดงออกผ่านฝันที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า “มีช่วงหนึ่งที่ฝันดีแต่ตื่นมาว่างเปล่า ฝันว่าได้กลับไปกินข้าวกับคุณย่า และคุณย่าทำกับข้าวให้ แต่เอาเข้าจริงตื่นมาก็ไม่เจอใคร ค่อนข้างเคว้ง เป็นฝันที่ค่อนข้างบ่อย แต่ตอนนี้เริ่มทำใจได้ เริ่มอยู่กับมันได้”
หลังจากผ่านมา 3 ปี มิ้นท์เริ่มเห็นความแตกต่างระหว่างไทยกับฝรั่งเศส “สิ่งสำคัญคือการมีอิสรภาพในการใช้สิทธิมนุษยชนอย่างสมบูรณ์ ประชาชนที่นี่รู้สิทธิของตัวเองตั้งแต่เด็ก มีการสอนในห้องเรียนตั้งแต่เด็ก เรื่องนี้เขาแข็งแกร่ง และถ้ามีอะไรที่เขารู้สึกว่าไม่แฟร์ พวกเขาก็พร้อมจะยืนยันต่อสู้เพื่อสิทธิของเขา”

ในฐานะศิลปิน ความเปลี่ยนแปลงนี้มีผลกระทบอย่างมาก “เราที่อยู่กับศิลปะ เมื่อครั้งที่เคยแสดงในไทยจะถูกวิจารณ์หรือเพ่งเล็งจากรัฐตลอด ว่าการแสดงนี้จะสื่ออะไร จนทำให้คิดว่าแม้แสดงสื่อสารอ้อมมาก ๆ ทั้งการรำ การร้องเพลง ก็ยังถูกจำกัด ไม่สามารถทำในสิ่งนั้นได้เต็มที่ แต่ที่นี่ไม่มีอะไรแบบนั้น ทุกคนสามารถแสดงออกมาได้อย่างอิสระ”
เมื่อเข้าไปอยู่ใน Atelier des artistes ทำให้เธอโฟกัสกับงานที่รักมากขึ้น ปัจจุบันแม้ยังไม่ได้เล่าเรื่องผ่านนาฏศิลป์ที่แสดงที่นั่น แต่มิ้นท์มีโปรเจ็กต์ที่วางไว้ อยากจะเล่าเรื่องราวตั้งแต่การลี้ภัยมา ผ่านตัวละครที่ชื่อ ‘เวรัมภา’ เป็นหน้ากากสีขาวที่เธอใส่ตอนรำ
เธอย้อนเล่าถึงช่วงปี 2565 การเตรียมตัวลี้ภัยที่ไม่ได้คำนึงถึงทุกสิ่งอย่างที่ควร “ตอนนั้นเตรียมตัวแค่เรื่องระแวดระวังตำรวจ หรือคนที่มาจากรัฐ โดยไม่ได้เตรียมตัวเรื่องภัยธรรมชาติ เพราะใครจะไปรู้ว่าวันที่ลี้ภัยน้ำจะไหลหลาก จึงอยากเอามาเล่าว่าการลี้ภัยไม่ได้เป็นไปอย่างราบรื่น ต้องเดินทางหลายต่อหลายประเทศ”
การออกจากไทยทำให้มิ้นท์ซึ่งนิยามตัวตนตั้งแต่อยู่เมืองไทยเป็น ‘Activist Art’ พัฒนาตัวเองไปอีกขั้น “เมื่อได้เจองานศิลปะมากมาย เริ่มออกจากกรอบมากขึ้น อยู่ที่นี่ยิ่งกล้าที่จะคิดไปอีกขั้นหนึ่ง ในความเป็นคน เราสามารถคิดโดยไม่ต้องกลุ้มอีกต่อไป ไม่มีตำรวจมาเคาะประตูบ้านอีกแล้ว ความคิดหรือสิ่งที่สร้างสรรค์มันจะออกมามากกว่าที่เราโดนกดทับ”
ยิ่งการอยู่ในฝรั่งเศส ทำให้เห็นมุมมองใหม่เกี่ยวกับศิลปะแตกต่างจากที่เธอเรียนรู้มาขนบจากเมืองไทย โดยเฉพาะบางตำราที่ยังระบุว่าศิลปะคือความดี ศิลปะที่ดีคือศิลปะที่จรรโลงใจ โขนและการแสดงไทยเป็น ‘เครื่องราชูปโภคของกษัตริย์
“พอมาอยู่ที่ปารีส ศิลปะก็คือศิลปะ มีคุณค่าของมันโดยไม่ได้เอาไปประดับกษัตริย์องค์ใด ที่นี่มีศิลปะที่เป็นทั้งแบบจรรโลงใจ หรือศิลปะที่ดูแล้วอึดอัดไปด้วยกับศิลปินที่ถ่ายทอดออกมาจากผลงานของเขา แต่อาจจะมาจากชีวิตที่เขาเผชิญมา ศิลปะมีหลากหลายรูปแบบ”
มิ้นท์ยกตัวอย่างพิธีเปิดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกที่กรุงปารีสเมื่อปีที่แล้ว มีวงดนตรีเฮฟวีเมทัลสัญชาติฝรั่งเศส Gojira ขึ้นแสดงในพิธีดังกล่าว ระหว่างการแสดง มีหญิงสาวไร้ศีรษะสวมชุดสีแดงซึ่งเป็นตัวแทนของพระนางมารี อ็องตัวเน็ต ปรากฏตัวอยู่ที่หน้าต่างของอาคารแห่งหนึ่งในฝรั่งเศส
“รู้สึกว่าเขาล้อเลียนสิ่งนี้ได้ ถ้าเป็นที่ประเทศไทยน่าจะถูกดำเนินคดีแน่นอน มีหลายการแสดงที่เขาสื่อตรง ๆ เลยว่าเป็นอดีตราชินี แต่ที่นี่ศิลปะอาจจะซับซ้อนมากขึ้น ว่าจะวิจารณ์สถาบันหรือพูดถึงรัฐ และก็ยังพูดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับสังคมอยู่” มิ้นท์อธิบายถึงความแตกต่าง
.
นาฏศิลป์ร่วมอุษาคเนย์ในแผ่นดินอิสระ
การสอนนาฏศิลป์ในฝรั่งเศสทำให้มิ้นท์ค้นพบการรวมตัวของหลายช่วงวัย ตั้งแต่เด็กเล็ก วัยรุ่น วัยทำงาน ไปจนถึงคนสูงอายุที่มาเรียนรู้ศิลปะร่วมกัน ทุกคนสามารถแสดงศิลปะหรือนาฏศิลป์ได้ กลายเป็นตัวเชื่อมระหว่างช่วงวัยให้มาทำกิจกรรมร่วมกันได้
ประสบการณ์นี้ทำให้มิ้นท์เกิดความคิดใหม่ขึ้นมา “เดี๋ยวนี้ไม่อยากใช้คำว่า ‘นาฏศิลป์ไทย’ ด้วย อยากใช้คำว่า ‘นาฏศิลป์ร่วมอุษาคเนย์’ เพราะมันไม่มีอะไรที่เป็นไทยแท้ และยิ่งเห็นประเด็นพิพาทไทยกับกัมพูชา ยิ่งรู้สึกว่าไม่อยากลงท้ายคำว่าไทย เพราะสิ่งที่เรียนมาตลอดมันเป็นวัฒนธรรมร่วม หยิบเอาของกัมพูชา อินเดีย ลาว มันไม่มีอะไรเป็นไทยแท้ หยิบเอามาอย่างละนิดละหน่อยมาปนเป ไม่อยากอ้างว่าเป็นไทยทั้งหมด”

เธอมองว่าคำว่า ‘นาฏศิลป์ร่วมอุษาคเนย์’ บอกตำแหน่งแห่งที่ว่าอยู่ในแถบบ้านเรา และมันดูให้เกียรติวัฒนธรรมของประเทศอื่น ๆ ด้วย
การสอนของเธอเริ่มต้นจากให้เรียนรู้เรื่องสรีระของตัวเองก่อน จุดสำคัญของนาฏศิลป์คือการใช้ทุกส่วนของร่างกาย และส่วนที่สำคัญสามสเต็ปคือ หัว ลำตัว ช่วงขา “ก็ค่อย ๆ เรียนรู้ไปเป็นการแยกประสาท หัวไปทาง แขนไปทาง ขาไปทาง มันก็ค่อนข้างยากสำหรับผู้ฝึกใหม่ มันก็ค่อย ๆ ที่จะหาเพลงที่มันยังคงมีความสวยงามอ่อนช้อย แต่ก็ปฏิบัติตามได้ง่าย”
ด้วยความที่ไม่ใช่ครูสอนนาฏศิลป์แบบที่เคยเป็นตามขนบวิถี เวลาจะเลือกสักเพลงมาสอนก็จะต้องรีเสิร์ชดี ๆ
ปัจจุบันมิ้นท์พยายามจะไม่แบ่งแยก ยิ่งช่วงนี้มีประเด็นไทย-กัมพูชา ที่ค่อนข้างละเอียดอ่อน “ก็พยายามไม่เคลมแล้วว่าการแสดงเป็นไทย บางทีมันก็กระดากนิดหนึ่งถ้าจะใช้ว่าสอนนาฏศิลป์ไทย แต่เป็นเพลงเขมรไทรโยคอย่างนี้ อธิบายกันยาวเลยนะ หรือเพลงรำ ลาวคำหอม ขึ้นมาก็ลาวแล้ว มันหลากหลาย”
“ล่าสุดจะไปสอนเพลงฟ้อนที ก็คือฟ้อนร่ม แต่มันเหมือนเป็นเพลงที่ใช้สร้างขึ้นเพื่อเถลิงพระเกียรติราชินี และเรารู้สึกว่าเรามาอยู่ประเทศโลกที่ 1 แล้ว ก็เลยต้องเลือกเพลงที่คิดใหม่เลย”
ในอีกข้อจำกัดด้วยนาฏศิลป์ไทยจารีตเยอะมาก ห้ามโน่นห้ามนี่ แต่พอมาอยู่ที่นี่ เธออาจจะเล่าให้ผู้เรียนไปว่ามันเคยมีจารีตแบบนี้อยู่ “แต่ในเชิงปฏิบัติแล้วก็คงไม่ได้เคร่งแบบว่า ก่อนเรียนจะพานักเรียนฝรั่งไปไหว้พ่อแก่ ไปครอบครู ก็คงไม่ทำ แต่บอกให้เขารู้ไว้ และในทางปฏิบัติถ้าไม่ทำก็ไม่ตาย ไม่ผิดครู และไม่ได้มีอันเป็นไปเหมือนคำขู่ ตอนนี้มิ้นท์ก็ไม่ได้ตายนะ อะไรแบบนี้”
.
ความรักประเทศในสายตาผู้ถูกเนรเทศ
สำหรับมิ้นท์ มาตรา 112 ลิดรอนความเป็นมนุษย์ของเธอ “มันเป็นกฎหมายที่ดูไม่เป็นธรรมมาก ๆ มันขโมยชีวิตเราไป มันอยากจะไม่ให้เราพูดอะไรเลย”
เธอเล่าให้ฟังถึงความไม่เป็นธรรมของระบบศาลที่เธอต้องเผชิญ “ลองคิดดูสิ เราพูดถึงกระบวนการพิจารณาคดีในศาลไทย การที่มิ้นท์โดนคดี 112 คู่กรณีของมิ้นท์คือกษัตริย์ แล้วศาลเวลาที่เราเข้าไปบัลลังก์ ผู้พิพากษาจะต้องทำความเคารพต่อรูปคู่กรณีของเรา เสร็จแล้วค่อยมาพิจารณาคดีของเรา แบบนั้นจะทำให้เรารู้สึกเป็นกลางได้อย่างไร ในเมื่อเขามาในนามของคู่กรณี แล้วเราจะเอาชนะได้อย่างไร หรือแม้แต่การเป็นศาลในปรมาภิไธย แต่เราเป็นคู่กรณีของปรมาภิไธย ใครจะมาเป็นคนกลางตัดสินให้เราได้”

ความเจ็บปวดในเสียงของมิ้นท์แทบจะสัมผัสได้ เมื่อเธอเล่าต่อว่า “ดังนั้น คนที่เป็นผู้ต้องหามาตรา 112 สำหรับมิ้นท์ไม่มีใครได้รับความยุติธรรมเลย เพราะไม่มีความเป็นกลาง ถ้ามันจะเป็นกลางจริง ๆ คือวันที่ผู้พิพากษาถอนตัวออกจากการเป็นศาลในปรมาภิไธย และถอดรูปก่อน ถ้ามีวันนั้นมิ้นท์ก็อาจจะกลับไปเข้ากระบวนการในศาล แต่วันนั้นมันอาจจะยากกว่าจะมาถึง”
กับความเห็นในส่วนลึก มาตรา 112 ควรไม่มีมันเลย และยังคงยืนยันอีกว่าไม่ควรมีมาตรานี้ในประเทศไทย มิ้นท์ไม่มองว่าแค่ปฏิรูปหรือปรับเปลี่ยนจะเพียงพอ แต่มันสมควรถูกยกเลิกไปเลย
“เมื่อพูดถึงเรื่องนิรโทษกรรม ถ้าเกิดมีการรณรงค์เรื่องนี้ มันดีสำหรับคนที่เป็นเหยื่อในคดีมาตรา 112 สำหรับคนที่ไม่คิดจะกลับไปวิพากษ์วิจารณ์แล้วหรือเป็นเหยื่อทางการเมือง ให้เขาได้กลับมาใช้ชีวิตหรือมีชีวิตเป็นอิสระ แต่ถ้ามุมมองของนักเคลื่อนไหว เรานิรโทษกรรมกันออกมาแล้ว แต่ในกฎหมายมาตรา 112 มันยังมีอยู่ แล้วเราต้องวิพากษ์วิจารณ์กันต่อไป แล้วเราจะต้องนิรโทษกรรมกันกี่รอบ”
นอกจากนี้มาตรา 112 กลายเป็นสิ่งที่ทำให้ครอบครัวเปลี่ยนใจและความคิดให้เข้าใจกันมากขึ้น เพราะกฎหมายนี้พรากเอาชีวิตลูกหลานของเขาออกไปจากประเทศนี้จริง ๆ “วันที่เราปรับความเข้าใจกันคือวันที่มิ้นท์ไม่ได้อยู่ที่ไทยแล้ว ไม่สามารถจะอยู่กับครอบครัวได้แล้ว”
ในวันที่ครอบครัวเริ่มเข้าใจมากขึ้น ยังมีความหวังที่เธอจะได้กลับไป แต่ด้วยความที่มาอยู่สักพักหนึ่งแล้ว ทางนั้นก็ปลอบว่า “ไม่ได้กลับไทยก็ไม่เป็นไรเนาะ ก็มาเจอกันที่นี่”
เมื่อถูกถามว่าอะไรจะเยียวยาได้มากที่สุด มิ้นท์เล่าว่า อย่างแรกถ้าไม่พร้อมให้กำลังใจคือไม่ซ้ำเติม ไม่ต้องด่า หรือไม่พร้อมจะพูดอะไรคือไม่ต้องพูดเลย ปล่อยให้เวลาทำงานแล้วค่อย ๆ เรียนรู้ ซึมซับ
“อยากให้เข้าใจก่อนว่าเขาไม่ใช่คนเลวร้ายนะ และเขาไม่ใช่คนชังชาติเป็นคนขายชาติอะไรนะ ในความรู้สึกมิ้นท์ คนที่ออกมาวิพากษ์วิจารณ์สิ่งที่เกิดขึ้นในประเทศนี้อย่างตรงไปตรงมา เป็นคนรักประเทศนี้นะ มิ้นท์กล้าพูดว่ามิ้นท์เป็นคนที่รักประเทศไทยนะ เรารักอย่างให้มันดีขึ้น พัฒนาและเติบโตไปข้างหน้า เราอยากให้รุ่นถัดไปได้มีสังคมที่ดีกว่านี้”
.
บ้านใหม่ในแผ่นดินที่คืนอิสรภาพ
ตอนนี้มิ้นท์ได้รับสถานะพำนักถาวรจากรัฐบาลฝรั่งเศส และต้องคอยต่อสถานะทุก ๆ 10 ปี
“แม้จะไม่เท่าพลเมืองของฝรั่งเศสแต่ก็มีสวัสดิการ เงินช่วยเหลือขั้นต่ำ ค่าที่พัก สิทธิ์รักษาพยาบาล รัฐจะเป็นคนดูแล และมีให้เรียนฝึกอาชีพ” เธอเล่าถึงสิ่งที่ได้รับ “แต่ในทางกลับกันทางฝรั่งเศสคงคิดแค่ว่าไม่อยากให้ผู้ลี้ภัยก่อความวุ่นวาย ด้วยความที่ผู้ลี้ภัยไม่ได้มีแต่คนดี”
มิ้นท์อธิบายถึงความซับซ้อนของสถานการณ์ว่า “สิ่งนี้ก็ทำให้ปลุกฝ่ายขวา คนที่หันขวา ด้วยความที่คนฝรั่งเศสเสียภาษีให้รัฐเยอะ แล้วภาษีเอามาใช้ดูแลคนในประเทศ แล้วดูแลผู้ลี้ภัยและผู้อพยพด้วย มีผู้อพยพบางกลุ่มที่ไปสร้างความเดือดร้อน เลยถูกเหมารวมว่าผู้ลี้ภัยชอบสร้างความเดือดร้อนในที่สาธารณะ ทำให้คนฝรั่งเศสบางกลุ่มอยากหันขวาและสนับสนุนนโยบายของพรรคที่ต่อต้านผู้ลี้ภัย เพราะเขารู้สึกไม่แฟร์ที่เป็นผู้เสียภาษีไปแล้ว เอาไปใช้คนที่มาทำลายประเทศเขา”

เมื่อพูดถึงบ้าน ในทัศนะของมิ้นท์ บ้านในอุดมคติไม่ใช่เพียงแค่สถานที่แห่งหนึ่ง แต่เป็นพื้นที่ที่คืนความเป็นมนุษย์และอิสรภาพให้กับเธอ “ถ้าจะเรียกว่าบ้านนี้คือครอบครัว ครอบครัวนั้นต้องมีศักดิ์ศรีความเป็นคน มีความเป็นมนุษย์ ต้องทำให้เธอรู้สึกว่าไม่ต่างจากที่นี่” เธอกล่าวต่อด้วยความหวัง
ในระยะใกล้ มิ้นท์อยากทำงานศิลปะมากที่สุด กลับไปเป็นศิลปินเต็มตัว อยากคิดงาน สร้างสรรค์ผลงานมากกว่านี้ ถ่ายทอดมากขึ้น และเธอยังอยากเรียนต่อด้านที่เกี่ยวกับการช่วยเหลือให้คนทุกกลุ่มได้เรียนศิลปะ แม้แต่คนพิการ มิ้นท์เคยสอนนาฏศิลป์ให้คนตาบอด หรือแม้แต่คนหูหนวก และเป็นใบ้ เธออยากกลับมาทำงานแบบนี้อีกครั้ง อยากคืนงานนาฏศิลป์ให้ไปอยู่ร่วมกับผู้คนมากขึ้น
.
โลกอันกว้างใหญ่ควรเป็นที่พักพิงให้ผู้ลี้ภัย
ในช่วงสัปดาห์แห่งวันผู้ลี้ภัยโลก มิ้นท์อธิบายถึงชีวิตผู้ลี้ภัยหลายมิติ ในจำนวนผู้ลี้ภัยทั่วโลกกว่า 43 ล้านคน ทุกคนต้องพลัดพรากจากบ้านเกิดแล้วไม่สามารถกลับไปได้ อันเป็นปัญหาระดับโลก ไม่ใช่แค่ชาติใดชาติหนึ่ง สหประชาชาติควรมองว่าอะไรที่ทำให้คน ๆ หนึ่ง ไม่สามารถกลับบ้านตัวเองได้ เกิดอะไรขึ้นกับประเทศต้นทาง และจะมีการช่วยเหลือให้เขาได้รับสิทธิขั้นพื้นฐานอย่างไร
“มิ้นท์รู้สึกอาจจะโชคดี ที่ได้รับการคุ้มครอง หมายถึงปัญหาที่มิ้นท์เจอ มันก็จะไม่ได้หนักเท่าเพื่อนที่เป็นผู้ลี้ภัยสงคราม หรือจากความอดอยาก แต่มันก็ไม่ได้แฟร์กับมิ้นท์หรอก”
เธออยากสื่อสารออกไปว่า “ผู้ลี้ภัยทุกคนมีการสูญเสียกันหมด อยากให้มองว่าผู้ลี้ภัยไม่ใช่สิ่งเลวร้าย มันเป็นเรื่องใกล้ตัวด้วยซ้ำ ใครจะไปรู้สักวันหนึ่งคนในครอบครัวคุณอาจจะเป็นผู้ลี้ภัย บ้านของมิ้นท์ก็ไม่คิดเหมือนกันว่าวันหนึ่งลูกหลานตัวเองจะมาประสบเป็นผู้ลี้ภัย แล้วต้องห่างไกลบ้านขนาดนี้”

ส่วนตัวของมิ้นท์ความโดดเดี่ยวแรกของผู้ลี้ภัยคือการเอาชนะตัวเองในการกล้าออกมาในที่ ๆ ปลอดภัย ด่านแรกคือหนีจากบ้านตัวเอง ออกมาจากเซฟโซนที่ไม่ใช่เซฟโซนแล้ว และต้องไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ ระหว่างทางก็ไม่รู้จะไปถึงประเทศที่คาดหวังไว้หรือไม่ พอไปถึงปลายทางก็เป็นการเริ่มต้นใหม่เลย
เธออยากให้มีการให้ความสำคัญเกี่ยวกับปัญหานี้มากขึ้น เพราะรู้สึกว่าไม่ใช่ปัญหาเฉพาะผู้ลี้ภัย แต่เป็นปัญหาของมนุษยชาติ “เราจะทำให้โลกนี้อยู่ร่วมกับผู้ลี้ภัยอย่างไร มันไม่ใช่แค่การย้ายไปอยู่อีกประเทศหนึ่งแล้วทุกอย่างจะจบ มันมีคนที่ต้องห่างจากครอบครัวและพลัดพรากจากครอบครัว และมันจะสร้างความหวังให้เขายังไงบ้าง แม้จะไกลบ้าน แต่ตัวยังมีความหวังที่จะได้กลับไปอย่างปลอดภัย”
เมื่อถามถึงการเล่าเรื่องตัวเองในแบบฉบับผู้ลี้ภัยผ่านงานนาฏศิลป์ ถ้าจะเล่าเรื่องตัวเองเป็นบทร่ายรำคงเล่าผ่านตัวละครตัวเดิม ‘เวรัมภา’ เป็นหน้ากากผู้หญิงหน้าขาว อาจเล่าผ่าน Body Language เป็นท่ารำผ่านร่างกาย ผ่านท่าทาง ตั้งแต่อยู่ในประเทศไทย การเคลื่อนไหวที่ไม่มีอิสรภาพเป็นยังไง จนมาถึงการลี้ภัย แล้วมากางปีกสยายเป็นศิลปินเต็มตัวที่นี่
“อยากให้มันต่างในสองโมเมนต์ที่เจอ ทั้งที่ไทยและฝรั่งเศส พอเราไม่ถูกจำกัดความคิด ศักยภาพเราก็จะเปล่งประกายขึ้นมา เหมือนถูกเอาสลักอะไรสักอย่างออกไปแล้วพรสวรรค์ก็ทะลักออกมา” มิ้นท์จินตนาการถึงท่าร่ายรำจากชีวิตสองช่วงของเธอ
.
อ่านเนื้อหาที่เกี่ยวข้อง