วันนี้ (18 มิ.ย. 2568) ที่สถาบันโรคทรวงอก ทนายความได้เข้าเยี่ยม “วิจิตร” (นามสมมติ) ผู้ต้องขังทางการเมืองที่ถูกดำเนินคดีในข้อหาตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ จากการโพสต์ข้อความทางการเมืองในช่วงหลังรัฐประหาร ปี 2557-58 รวม 10 โพสต์ ซึ่งถูกคุมขังหลังศาลอาญาพิพากษาจำคุก 10 ปี และศาลยังคงไม่อนุญาตให้ประกันตัวระหว่างอุทธรณ์คดี
หลังจากแพทย์ รพ.ราชทัณฑ์ตรวจพบว่าวิจิตรมีภาวะปอดติดเชื้อ และมีอาการติดเชื้อในกระแสเลือด ซึ่งหลังจากผ่านไปเกือบสองสัปดาห์ ในเมื่อวานนี้ (17 มิ.ย. 2568) วิจิตรถูกส่งตัวจากโรงพยาบาลราชทัณฑ์มาตรวจร่างกายและแอดมิทที่สถาบันทรวงอกแล้ว
สำหรับอาการของวิจิตรยังคงมีอาการขึ้น ๆ ลง ๆ ไข้ขึ้นสูงในช่วงกลางคืน และยังคงมีอาการไอ ปัจจุบันเขารับการรักษาโดยยาฆ่าเชื้อ และเริ่มหาสาเหตุของอาการฝ้าในปอด โดยจะมีการเก็บชิ้นเนื้อบริเวณต่อมน้ำเหลืองไปตรวจ ซึ่งขั้นตอนต่อไปอาจมีการส่องกล้องตรวจ
.
หลังจากทักทายกันเสร็จ วิจิตรก็เริ่มพูดคุยกับทนายความว่า “คุณช่วยตั้งชื่อกำไลเกียรติยศนี้ให้ผมหน่อย” เนื่องจากเขาถูกใส่กุญแจข้อเท้าฝั่งขวาล็อคไว้กับราวเตียงผู้ป่วย
เขาพูดพร้อมแววตามุ่งมั่น และยืนยันว่า “ผมขอสู้เพื่อประชาธิปไตยจนลมหายใจสุดท้าย เอาผมมาขังไว้แบบนี้ ยิ่งทำให้ผมเข้มแข็งขึ้น ผมไม่ท้อแท้สิ้นหวังแน่นอน ขอเปิดหน้าสู้กับเผด็จการจริงจังไปเลย”
ทนายความบอกกับวิจิตรว่าเป็นเกียรติที่ได้มาพูดคุยกับเขา วิจิตรถอนหายใจแล้วตอบว่า “คนอย่างผมไม่มีเกียรติอะไรหรอก” ทนายจึงตอบไปว่ากำไลเกียรติยศนั่นไง จึงทำให้เขาได้หัวเราะออกมา
วิจิตรเล่าวินาทีที่เขาผ่านความเป็นตายที่ รพ.ราชทัณฑ์ ให้ฟังว่า “วันที่ต้องแอดมิทที่โรงพยาบาลราชทัณฑ์นะ ผมเหมือนจะตายอยู่แล้ว ความดันลดวูบ มองเห็นโลกใบนี้แค่ 50% ส่วนอีก 50% ผมเห็นโลกอื่น ตอนนั้นน่าจะวูบไปแล้ว ผมเห็นผู้หญิง 2 คน แต่งชุดขาว ถือพาน อยู่ในโลกที่สวยงามมาก เขาบอกว่าถ้าผมข้ามเส้นนี้ไป ผมจะเห็นทุกอย่าง
“ตอนนั้นผมรู้สึกตัวเบา อากาศเย็นสบาย อาการเจ็บปวดหายสิ้น แต่ผมตัดสินใจไม่ข้ามไป ผมห่วงลูกที่เรียนไม่จบ ห่วงบริษัทที่ยังระส่ำระส่าย พอผมไม่ไป ทุกอย่างก็หายวูบเลย ความเจ็บปวดประเดประดังเข้าหาผมเหมือนเดิม
“น้ำหนักผมหายไป 5 กิโล ภายใน 15 วัน หลังจากเข้ารับการรักษาที่ราชทัณฑ์ มันไม่ค่อยดีขึ้น อาการขึ้น ๆ ลง ๆ ผมกินน้ำน้อยแต่ปัสสาวะเยอะมาก ไอเป็นระยะ ทางโรงพยาบาลให้ยาฆ่าเชื้อเยอะมาก ผมไม่ได้ว่าเขานะ มันคงเป็นวิธีการรักษาที่ดีที่สุดของเขาแล้ว
”เมื่อวาน รอง ผอ. รพ.ราชทัณฑ์พูดกับผมว่าอาการของคุณมันไม่เหมือนกับอาการของคนที่เราเคยรักษา ต้องย้ายไปตรวจที่ รพ.ทรวงอก เพราะเราไม่มีอุปกรณ์ที่ทันสมัยพอ ตอนมาเขาอ่านบันทึกการรักษาจาก รพ.ราชทัณฑ์ แล้วก็ตกใจที่ผมได้ยาฆ่าเชื้อเยอะมาก
“ผมรู้สึกว่าที่นี่ยาถูกโรคกว่า อาการเปลี่ยนไปมาก ไอก็จริงแต่ก็ไม่รู้สึกว่าเพลีย ผมดื่มน้ำเป็นเหยือกแต่ปัสสาวะออกมาไม่เยอะ เมื่อคืนไอจนแทบไม่ได้นอน ไข้ขึ้นสูง ประคบเย็นยังไงก็ไม่ลด ตอนนี้ก็ยังมีไข้อยู่ แต่หมอบอกว่าไม่ต้องกังวล นี่คือการรื้อเปลี่ยน
“ผมก็รู้สึกว่าดีขึ้นจริง ๆ ตอนเช้ามีหมอมาตรวจฟังเสียงปอด เสียงหัวใจ ขั้นตอนต่อไปคือส่องกล้องตรวจเพื่อฟันธงว่าเราเป็นอะไรกันแน่”
ระหว่างนั้น ก็มีแพทย์มาตรวจอาการวิจิตร เขาบอกว่าจะเก็บชิ้นเนื้อตรงต่อมน้ำเหลืองไปตรวจก่อนว่ามันมีอาการติดเชื้อจากตรงนี้หรือไม่ ถ้าไม่เจอตรงนี้แล้วฝ้าในปอดยังคงอยู่ก็จะตรวจที่อื่นต่อไป ช่วงนี้จะให้ยาฆ่าเชื้อไปก่อน “ต้องตรวจกันอีกนานเลย ลุงนอนเล่นที่นี่กับผมก่อนนะ” เขาบอกถึงถ้อยคำมที่แพทย์พูดคุยด้วย
“ตอนที่หมอทรวงอกบอกให้แอดมิทที่นี่ ผมคิดในใจเลยว่า กูไม่ตายแล้ว” วิจิตรยืนยันว่าทุกอย่างต่างจากที่ รพ.ราชทัณฑ์ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสภาพแวดล้อมหรือเรื่องยา ทำให้เขารู้สึกดีขึ้น
“การเอกซเรย์ปอดที่นี่ เอกซเรย์แค่รอบเดียว แต่เห็นปอดทั้งแนวตั้งและแนวขวาง แบบผ่าออกมาเป็นชิ้น ๆ ได้เลย เทคโนโลยีมันสุดยอดมาก” วิจิตรเล่าให้ฟัง
ความยากลำบากที่สุดของการติดคุก คือไม่สามารถทำธุรกิจงานสถาปัตยกรรมทางศาสนาต่อได้
“ความยากลำบากที่สุดของการติดคุก คือธุรกิจของผมมันระส่ำระส่ายไปหมด ผมทำงานสถาปัตยกรรมให้พระพุทธศาสนาข้างนอก มันเป็นงานที่ผมรัก ผมเคยทำเงินได้ครั้งละหลายแสน
”การต้องมารอของเยี่ยมจากญาติ ชีวิตผมแบบนี้มันไม่ใช่ เวลา 1 ปีข้างนอก ผมสามารถทำโปรดักส์ให้ประเทศได้พอสมควร” เขาพูดพร้อมกับหยิบภาพงานออกแบบที่เขาสร้างให้ดู ซึ่งเป็นโบสถ์ และอุโบสถต่าง ๆ
วิจิตรเล่าด้วยความภาคภูมิใจว่าไม่มีอาคารไหนที่ได้รับความเสียหายจากแผ่นดินไหวเลยแม้แต่อาคารเดียว
“ผมออกแบบเจดีย์ให้พระอาจารย์รูปนึงที่ภูกระดึง จ.เลย ท่านถูกใจมาก ยังไม่ทันได้เริ่มงานก็ต้องติดคุกเสียก่อน จนถึงตอนนี้เจดีย์นั้นก็ยังไม่ได้ทำ ท่านรอผมออกไปทำให้ พอมาอยู่ตรงนี้มันไม่สามารถทำอะไรได้ ไม่สามารถเอาจินตนาการการก่อสร้างที่อยู่ในหัวออกไปทำให้มันเกิดขึ้นจริงได้เลย” วิจิตรบอกเล่า