ศาลพิษณุโลกไม่อนุญาต ‘พอล แชมเบอร์ส’ ถอดกำไล EM ระบุไม่มีเหตุเปลี่ยนแปลงเงื่อนไข – เตรียมอุทธรณ์คำสั่งต่อ

วานนี้ (28 เม.ย. 2568) เวลา 15.40 น. ที่ศาลจังหวัดพิษณุโลก ดร.พอล เวสลีย์ แชมเบอร์ส (Dr.Paul Wesley Chambers) นักวิชาการชาวอเมริกัน ยื่นคำร้องต่อศาลขอถอดอุปกรณ์ติดตามตัวอิเล็กทรอนิกส์ (EM) ที่ติดข้อเท้ามาตั้งแต่ 10 เม.ย. 2568 

หลังจากศาลใช้เวลาพิจารณาราว 1 ชั่วโมง ต่อมาเวลา 16.40 น. ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่อนุญาตให้ถอดอุปกรณ์ติดตามตัว ระบุเหตุผล “กรณีไม่มีเหตุให้เปลี่ยนแปลงคำสั่งอนุญาตของศาลอุทธรณ์ภาค 6 ให้ยกคำร้อง” ด้าน ดร.พอล เตรียมยื่นอุทธรณ์คำสั่งต่อศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิจารณาต่อไป

เหตุการณ์สืบเนื่องจากคดีที่ ดร.พอล ถูกแม่ทัพภาค 3 ในฐานะผอ.รมน. ภาค 3 มอบอำนาจให้นายทหารไปกล่าวหาว่าในข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 จากเหตุมีการเผยแพร่คำโปรยหรือข้อความแนะนำงานเสวนาวิชาการในเว็บไซต์ของสถาบัน ISEAS-Yusof Ishak ซึ่งเป็นสถาบันวิชาการของสิงคโปร์ 

ย้อนกลับไปเมื่อ 8 เม.ย. 2568 หลังจากเมื่อ ดร.พอล ทราบว่าถูกศาลออกหมายจับ ก็เดินทางเข้าพบพนักงานสอบสวนเพื่อรับทราบข้อกล่าวหา แต่ได้ถูกพนักงานสอบสวนนำตัวไปฝากขังต่อศาล โดยศาลจังหวัดพิษณุโลกมีคำสั่งไม่อนุญาตให้ประกันตัวทั้ง 2 ครั้ง ในวันเดียวกัน จึงได้ยื่นอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าว

ต่อมาวันที่ 9 เม.ย. 2568 ศาลอุทธรณ์ภาค 6 มีคำสั่งอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวระหว่างสอบสวน โดยกำหนดเงื่อนไขให้วางหนังสือเดินทาง (Passport) ไว้ที่ศาลจังหวัดพิษณุโลก ห้ามเดินทางออกนอกราชอาณาจักรเว้นแต่ได้รับอนุญาตจากศาลชั้นต้น แต่งตั้งผู้กำกับดูแลระหว่างปล่อยชั่วคราว และกำหนดให้ติดอุปกรณ์ติดตามตัวอิเล็กทรอนิกส์ (EM) โดยติดตั้งไว้ที่ข้อเท้าเมื่อวันที่ 10 เม.ย. 2568 ที่ผ่านมา

.

เปิดเหตุผลคำร้อง: ทำไม ดร.พอล จึงร้องขอปลด EM

1. ดร.พอลไม่ใช่ผู้เขียนและโพสต์ข้อความในเว็ป ISEAS โดยผู้กล่าวหานำมาจากเฟซบุ๊กบุคคลที่มีลักษณะโจมตีทางการเมือง

คดีนี้กองทัพภาค 3 เป็นผู้กล่าวหา ดร.พอล โดยนำเอกสารเพียง 1 แผ่น จากเว็บไซต์ของประเทศสิงคโปร์ สถาบันเอเชียอาคเนย์ศึกษา ยูซุฟ อิสฮัค (ISEAS-Yusof Ishak Institute) เอกสารดังกล่าวมีลักษณะเป็นคำโปรยหรือคำเชิญชวนให้เข้าร่วมงานเสวนาออนไลน์ (Webinar) หัวข้อ Thai military and police reshuffles ที่เชิญ ดร.พอล มาเป็นวิทยากร มิใช่สรุปงานเสวนาที่ ดร.พอล พูดไปแล้ว 

หากพิจารณาอย่างถี่ถ้วนจากเอกสารดังกล่าวจะเห็นได้อย่างชัดเจนว่า ดร.พอล มิใช่ผู้เขียนและโพสต์ ซึ่งในชั้นสอบสวน ดร.พอล ก็ให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา โดยให้การว่าไม่ใช่ผู้เขียนและไม่ใช่ผู้โพสต์ข้อความดังกล่าว และไม่ได้เป็นแอดมินหรือผู้ดูแลเว็ปไซต์ของสถาบันฯ ดังกล่าวแต่อย่างใด

นอกจากนี้ เมื่อวันที่ 24 เม.ย. 2568 ผู้อำนวยการกองการข่าว กอ.รมน. ภาค 3 ชี้แจงแทนกองทัพภาคที่ 3 ผู้กล่าวหาในคดีนี้ ให้ข้อเท็จจริงต่อกรรมาธิการทหารของสภาผู้แทนราษฎรว่า ตรวจพบข้อมูลจากเฟซบุ๊กของ “อัษฎางค์ ยมนาค” เรื่อง “มหาวิทยาลัยนเรศวรจ้าง ‘พอล แซมเบอร์ส’ มาบั่นทอนสถาบันพระมหากษัตริย์ หรืออย่างไร?” ที่มีการแปลข้อความคำโปรยดังกล่าวในเฟซบุ๊ก จึงได้แจ้งความดำเนินคดีต่อ ดร.พอล เป็นคดีนี้ 

เห็นได้ว่าการนำข้อความดังกล่าวมาจากเฟซบุ๊กบุคคลที่มีการโจมตีทางการเมือง ส่งผลให้มีการดำเนินคดีในข้อหาร้ายแรงโดยที่ ดร.พอล มิใช่ผู้กระทำความผิด การกล่าวหานี้ส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตและการประกอบอาชีพของ ดร.พอล อย่างหนัก และไม่สามารถเรียกกลับคืนมาได้

.

2. ดร.พอล ยืนยันไม่ได้หลบหนี โดยเงื่อนไขอื่นของศาล-ตม. ก็เพียงพอต่อการติดตามตัวแล้ว

ดร.พอล ได้แสดงความบริสุทธิ์ใจและยืนยันเจตนาจะต่อสู้คดีภายในราชอาณาจักรไทยอย่างเปิดเผย โดยการวางหนังสือเดินทาง (Passport) ไว้ต่อศาลชั้นต้นแล้ว เพื่อแสดงให้ศาลเห็นว่าจะไม่หลบหนีหรือเดินทางออกนอกราชอาณาจักร จึงไม่มีเหตุจำเป็นในการใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ติดตามตัว รวมทั้งมีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง ติดตามตัวได้ไม่เป็นการยาก

นอกจากนี้ เมื่อวันที่ 9 เม.ย. 2568 สำนักงานตำรวจตรวจคนเข้าเมืองแจ้งคำสั่งเพิกถอนการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักร  โดย ดร.พอล ได้รับการประกันตัวให้อยู่ในราชอาณาจักรชั่วคราวระหว่างต่อสู้คดี และอยู่ระหว่างอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าว โดยวางหลักประกันที่สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดพิษณุโลกอีกจำนวน 300,000 บาท และจะต้องรายงานตัวต่อเจ้าพนักงานตรวจคนเข้าเมืองอีกเดือนละ 1 ครั้งตลอดระยะเวลาที่อยู่ในราชอาณาจักร ภายใต้การควบคุมดูแลของเจ้าพนักงานตรวจคนเข้าเมืองอีกด้วย ซึ่งมีมาตรการควบคุมที่เข้มงวดและเพียงพอต่อการติดตามตัวอยู่แล้ว

ตลอดระยะเวลาที่ได้รับการปล่อยชั่วคราวระหว่างฝากขัง ดร.พอล ปฏิบัติตามคำสั่งศาลโดยรายงานตัวต่อศาลและต่อผู้กำกับดูแลทุกครั้ง ไม่เคยผิดเงื่อนไข

.

3. การติด EM ไม่ใช่แค่พันธนาการร่างกาย แต่ยังส่งผลกระทบต่อสิทธิขั้นพื้นฐาน สร้างความยากลำบากในการใช้ชีวิตประจำวัน

ดร.พอล เป็นนักวิชาการผู้ทรงคุณวุฒิที่ได้รับการยอมรับในประเทศและระดับสากล ดำรงตำแหน่งอาจารย์มหาวิทยาลัยมาเป็นเวลายาวนาน และก่อนถูกดำเนินคดีนี้เป็นอาจารย์ผู้มีความเชี่ยวชาญพิเศษของคณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร การที่มีอุปกรณ์ติดตามตัวอิเล็กทรอนิกส์ (EM) ติดไว้ที่ข้อเท้าย่อมส่งผลต่อภาพลักษณ์ ทำให้ขาดความน่าเชื่อถือหรือไว้วางใจต่อบรรดาบุคคลภายนอก และย่อมส่งผลต่อความมั่นใจในการพบปะกับบุคคลอื่น 

การที่ผู้ต้องหาถูกสังคมพิจารณาว่าเป็นผู้กระทำความผิดเนื่องจากมีอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ติดตามตัว (EM) แม้จะยังไม่มีคำพิพากษาอันเป็นที่สุดว่าผู้ต้องหามีความผิด ย่อมส่งผลกระทบด้านจิตใจ สังคม และขัดต่อสิทธิที่จะได้รับการสันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ตามรัฐธรรมนูญด้วย

นอกจากนี้ ดร.พอล อายุ 58 ปี และมีรูปร่างใหญ่ ทำให้ยากต่อการก้มไปที่ข้อเท้าเพื่อดูแลรักษาเครื่องอุปกรณ์ติดตามตัวอิเล็กทรอนิกส์ (EM) ให้ทำงานอยู่ตลอดเวลา โดยในการชาร์ตแบตเตอรี่ทุก 4-5 ชั่วโมง การดูปริมาณแบตเตอรี่ รวมทั้งการดูแลความสะอาดบริเวณข้อเท้าเพื่อป้องกันความชื้นและการเป็นแผลจากการเสียดสี โดยไม่สามารถทำได้โดยตนเอง แต่ต้องมีบุคคลอื่นช่วยเหลืออยู่ตลอดเวลา ส่งผลต่อการดำเนินชีวิตประจำวันและบุคคลใกล้ชิด เนื่องจากจะต้องมีบุคคลอื่นอยู่ด้วยตลอดเวลาเพื่อดูแลเครื่องอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ดังกล่าวด้วย

การติดอุปกรณ์ติดตามตัวอิเล็กทรอนิกส์ (EM) ยังส่งผลกระทบต่อการเดินทางในราชอาณาจักรเพื่อจัดการธุระส่วนตัว โดยเฉพาะการเดินทางโดยเครื่องบินโดยสารที่สามารถไปถึงจุดหมายได้รวดเร็วกว่า และประหยัดมากกว่า ส่งผลให้จำเป็นต้องเดินทางโดยรถยนต์เท่านั้น กระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันและเสรีภาพในการเดินทางเป็นอย่างมาก

.

พันธนาการเครื่องติดตามตัว EM กับความรู้สึกที่มีคนจ้องมองตลอดเวลา

หนึ่งในหลักการสำคัญของกระบวนการยุติธรรมตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 มาตรา 29 วรรคสอง และหลักสากลตามกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (ICCPR) มาตรา 14 คือ ผู้ต้องหาและจำเลยต้องได้รับการปฏิบัติในฐานะ “ผู้บริสุทธิ์” ตราบเท่าที่ยังไม่มีคำพิพากษาถึงที่สุดว่าได้กระทำความผิด

การติดอุปกรณ์ EM ซึ่งเป็นการควบคุมจำกัดเสรีภาพ ทั้งในทางกายภาพและทางสังคม แม้จะมิใช่การคุมขัง แต่ก็เป็นการ “ตีตรา” ผู้ต้องหาในทางสังคมโดยนัย ทำให้เกิดภาวะเสื่อมเสียชื่อเสียง ความน่าเชื่อถือ และสร้างความเข้าใจผิดว่าบุคคลนั้นได้กระทำผิดแล้ว ซึ่งสวนทางกับหลักสันนิษฐานว่าบริสุทธิ์อย่างชัดเจน

การกำหนดมาตรการจำกัดสิทธิใด ๆ ของบุคคลต้องผ่านการทดสอบตามหลักความจำเป็น (Necessity) และ ความได้สัดส่วน (Proportionality) จากข้อเท็จจริงในคดี ดร.พอลได้วางหนังสือเดินทางไว้กับศาล มีที่อยู่แน่นอน อยู่ภายใต้การควบคุมของสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง พร้อมรายงานตัวประจำเดือน และไม่มีพฤติการณ์หลบหนีหรือผิดเงื่อนไขระหว่างปล่อยชั่วคราว การใช้ EM จึงอาจไม่สอดคล้องกับหลักการ “น้อยที่สุดเท่าที่จำเป็น” และ “ไม่เกินความจำเป็น” ในการจำกัดสิทธิของผู้ต้องหา

บทบาทของ EM ตามหลักการทางกฎหมายควรเป็นเพียง มาตรการประกันการดำเนินกระบวนการยุติธรรม เช่น ไม่หลบหนี, ไม่ยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน ฯลฯ ไม่ใช่มาตรการลงโทษล่วงหน้า (Pre-trial Punishment) ก่อนมีคำพิพากษาถึงที่สุด แต่การนำอุปกรณ์ EM อาจถูกใช้เป็น “เครื่องมือตีตรา” หรือ “สร้างความอับอาย” แก่ผู้ต้องหาก่อนการพิพากษา จึงเสี่ยงต่อการผิดหลักการใช้มาตรการในชั้นสอบสวนและพิจารณาคดีที่ควรยึดถือความเคารพต่อสิทธิมนุษยชนและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์

.

* เพิ่มเติมเนื้อหา

หลังยื่นอุทธรณ์คำสั่งศาล วันที่ 30 เม.ย. 2568 ศาลอุทธรณ์ภาค 6 อนุญาตให้ถอดอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ แต่คงงื่อนไขการประกันตัวอื่น ๆ

.

ย้อนอ่านรายงาน พันธนาการ EM ที่ข้อเท้า ‘พอล แชมเบอร์ส’ มีอิสระตามที่ได้ประกันตัว หรือเป็นโซ่ที่ล่ามไว้อีกครั้ง

.

X