เมื่อวันที่ 15 ม.ค. 2568 ทนายความเดินทางไปที่ศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชนชายบ้านกรุณา จ.สมุทรปราการ เข้าเยี่ยม ‘ฐาปนา’ (นามสมมติ) เยาวชนวัย 20 ปี ที่ถูกคุมขังจากกรณีถูกศาลเยาวชนและครอบครัวกลาง พิพากษาให้รับการฝึกอบรม 4 ปี จากการถูกดำเนินคดีวางเพลิงตู้จราจรพญาไท และขว้างปาวัตถุระเบิด ในช่วงการชุมนุมดินแดง เมื่อวันที่ 1 ต.ค. 2564
สิ่งที่สังเกตเห็นได้ชัดจากการพบกันครั้งนี้ คือสภาพร่างกายของฐาปนาที่น้ำหนักตัวลดลงอย่างมาก ดูเหมือนจะสะท้อนถึงความกังวลใจเกี่ยวกับคดีความที่ยังไม่สิ้นสุดและความคิดถึงครอบครัว แม้สถานพินิจมีระบบการดูแลที่ดี แต่ความเครียดสะสมจากหลายปัจจัย ทำให้ฐาปนาต้องคอยจัดการกับสภาวะทางอารมณ์ที่เปลี่ยนแปลงอยู่บ่อย ๆ
ท่ามกลางอากาศหนาวเย็นขึ้น ที่ยังไม่มีทีท่าจะสิ้นสุด การได้พูดถึงครอบครัวและได้ส่งถ้อยความแห่งความห่วงใยไปถึงยังเป็นความหวังหลักที่นอกจากสร้างความอบอุ่นให้จิตใจ ยังทำให้ฐาปนาใช้ชีวิตอยู่ในบ้านกรุณาได้ และรอวันได้ออกไปพบหน้ากันอีกครั้ง
_____________________
เป็นอีกวันที่อากาศเย็นในเดือนมกราคม หลังจากประสานงานและรอเวลาราวหนึ่งชั่วโมง ทางเจ้าหน้าที่พาไปยังห้องเยี่ยมบริเวณส่วนหน้าของบ้านกรุณา ระหว่างทางได้รับแจ้งว่าฐาปนามีภาวะกระวนกระวายใจ และมีความกังวลเกี่ยวกับคำสั่งศาลและใบเด็ดขาดที่ยังไม่มีความคืบหน้า เขาคอยถามเจ้าหน้าที่อยู่ตลอด จนเจ้าหน้าที่เองไม่รู้จะตอบอย่างไรดี
ก่อนได้พบฐาปนาในชุดสีส้มที่นั่งอยู่ในห้องเยี่ยม ร่างผอมบางในเสื้อแขนกุดและกางเกงขาสั้นแบบชุดบาสเกตบอลที่เขาบอกว่าเป็นชุดนอน ใบหน้าที่เคยอิ่มเอิบซูบตอบลง ดวงตาดูจะสะท้อนความอ่อนล้าและความกังวลที่สุมอยู่ในใจ
“น้ำหนักตอนอยู่ข้างนอก 80 กิโล มาอยู่นี่น้ำหนัก 54 กิโล” เขาเล่าถึงสภาพร่างกายที่เปลี่ยนไป ไม่ใช่เพราะความเจ็บป่วย แต่เป็นความเบื่อหน่ายอาหารที่มาพร้อมกับความเครียด ทั้งห่วงลูกที่ป่วยเป็นไข้ ห่วงภรรยาที่เพิ่งลาออกจากงาน โดยเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา แฟนกับแม่เข้าเยี่ยมใกล้ชิด แต่ลูกไม่ได้มาด้วย แฟนบอกว่าลูกป่วยงอแงเป็นไข้ “ผมก็กังวล แฟนมาเล่ามาเพิ่งลาออกจากงานด้วย เพราะงานเดิมให้ควงกะเยอะ ไม่มีเวลาดูแลลูกหรือพักผ่อน”
กับอีกเรื่องกังวลคงเป็นคดีเด็ดขาด ที่ทนายแจ้งว่าสำนวนคดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ ยังไม่มีคำสั่งใด ๆ มา คาดว่าน่าจะใช้ระยะเวลาอย่างน้อย 6 เดือนในการพิจารณา “พอคดีมันไม่เด็ดขาด ผมไม่ได้รับสิทธิประโยชน์ใด ๆ เลย” ฐาปนาสะท้อนความรู้สึกไว้อีกตอน
ขณะนี้ชีวิตในบ้านกรุณาของฐาปนาถูกจำกัดให้อยู่แต่บนหอนอน เนื่องจากเหตุการณ์ทะเลาะวิวาทระหว่างเยาวชนด้วยกัน แม้เขาจะไม่ได้เป็นคู่กรณี แต่มาตรการป้องกันทำให้ทุกคนต้องอยู่บนหอพัก จะลงมาได้เฉพาะเวลาอาหารและอาบน้ำ วันเวลาจึงผ่านไปอย่างเชื่องช้าด้วยกิจวัตรเดิม ๆ ตื่นตี 5 นับยอด 6 โมงเช้า ทำเวร แล้วรอเวลากินข้าว
ในความรู้สึกลึก ๆ แม้จะมีความก้าวหน้าในการเรียน ทั้งจบวิชาชีพช่างยนต์ และกำลังจะสอบ ม.ต้น ในเทอม 2 พร้อมวางแผนไว้ว่าจะเรียนวิชาชีพดนตรี แต่สิ่งที่ฐาปนาคาดหวังที่สุดคือการได้รับสิทธิประโยชน์หลังคดีเด็ดขาด เพื่อโอกาสในการลดวันต้องโทษและการย้ายสถานที่ควบคุมตัว ส่วนเรื่องที่วางแผนจะย้ายไปที่อยุธยาหรือบ้านกาญจนา ตอนนี้ทุกอย่างต้องหยุดไว้ก่อน จนกว่าคดีจะเด็ดขาด
“ผมเลยเครียดทั้งเรื่องที่ไม่ได้สิทธิประโยชน์ กับเครียดเรื่องว่าศาลจะเพิ่มโทษหรือป่าว พอนั่งคิดมันก็ยิ่งคิด แล้วก็เครียดเข้าไปใหญ่ ตอนแรกว่าจะขอเข้าพบจิตแพทย์แล้ว กะว่าจะขอยาเขามากิน แต่ยังไม่ได้ไปลงชื่อไว้”
ปกติทางบ้านกรุณาได้จัดให้มีนักจิตวิทยาและนักสังคมสงเคราะห์ประจำการอยู่ภายในอาคาร พร้อมให้คำปรึกษาแก่เยาวชนที่ต้องการความช่วยเหลือ
“ขั้นตอนไม่ยุ่งยากครับ” ฐาปนาเล่าถึงระบบการดูแลภายใน “เวลาเรามีเรื่องไม่สบายใจ ก็แค่ลงชื่อขอเข้าพบ แล้วเจ้าหน้าที่จะให้เรามารอหน้าห้องในวันนั้นเลย” ระบบการดูแล เริ่มจากการประเมินโดยนักจิตวิทยา หากพบว่าจำเป็นต้องได้รับการรักษาด้วยยา จึงจะส่งต่อให้แพทย์ประจำสถานพินิจ
ที่นี่ยังมีผู้ช่วยพยาบาลคอยดูแลการจ่ายยา จัดเตรียมยาให้ตามมื้ออาหาร ทำแผลเมื่อเกิดอุบัติเหตุเล็กน้อย และในกรณีที่มีอาการรุนแรง ก็มีระบบส่งต่อไปยังโรงพยาบาลภายนอก
แม้จะมีระบบดูแลที่ค่อนข้างครอบคลุม แต่ฐาปนายอมรับว่าเขามักจะเก็บความรู้สึกไว้คนเดียว “ส่วนใหญ่มีอะไรผมไม่ค่อยพูดให้ใครฟัง ชอบเก็บไว้เงียบ ๆ” เขาเลือกที่จะจัดการความเครียดด้วยการออกกำลังกาย แม้จะมีข้อจำกัดด้านร่างกาย เนื่องจากมีปัญหากระดูกและข้อต่อแขนซ้ายมาตั้งแต่เด็ก ทำให้ไม่สามารถเล่นกีฬาหนัก ๆ อย่างฟุตบอลได้ “ผมจะไปที่หน่วยพละ ที่นั่นมีดัมเบลน้ำหนักเบา ๆ ให้ยก มีเครื่องเล่นที่ไม่หนักมาก”
สภาพร่างกายของฐาปนาที่ผอมลงอย่างเห็นได้ชัด สร้างความกังวลให้กับทนายความด้วย “ถ้าเราเจอน้องข้างนอกในสภาพแบบนี้ เราอาจคิดว่าน้องติดยาหรืออะไรสักอย่าง” ถ้อยบันทึกตรงไปตรงมาสะท้อนความห่วงใยที่มีต่อร่างกายที่ผ่ายผอมของฐาปนา
“มันไม่ได้ป่วยอะไรครับ เพียงแต่ไม่ค่อยหิว กินข้าวไม่ค่อยได้” ฐาปนาตอบพร้อมรอยยิ้มจาง ๆ แม้แต่ภรรยาที่มาเยี่ยมใกล้ชิดเมื่อวันเสาร์ก็ยังสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงนี้ ร่างกายที่ผอมลงเป็นภาพสะท้อนของจิตใจที่กังวล ทั้งเรื่องคดีที่ยังไม่มีความคืบหน้าและความคิดถึงครอบครัว
ก่อนจบการเยี่ยม ฐาปนายังเล่าว่า ช่วงปีใหม่ที่ผ่านมา เสียงพลุและภาพการเฉลิมฉลองในโทรทัศน์ยิ่งตอกย้ำความคิดถึงบ้าน “อากาศเย็นยิ่งทำให้คิดถึงลูก” เขาเล่าด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “กลัวลูกจะไม่สบาย คิดถึงแฟนด้วย ห่วงเขาที่ต้องรับเรื่องหนัก ๆ อยู่คนเดียว แล้วเราก็ช่วยอะไรได้ไม่มาก”
ก่อนจากกัน ฐาปนาฝากข้อความถึงครอบครัว “ผมคิดถึงเสมอ ถ้าได้ออกไปผมจะทำตัวดี ๆ จะตั้งใจใหม่ จะทำงานหาเลี้ยงครอบครัว” และสำหรับลูกน้อยที่คิดถึง “พ่อคิดถึงลูกมาก หายเจ็บหายไข้นะลูก อย่าดื้ออย่าซนมาก เดี๋ยวแม่จะเหนื่อย เป็นเด็กดีของพ่อแม่ ของย่า ของยายนะลูก”
____
ฐาปนาถูกคุมขังมาตั้งแต่วันที่ 29 เม.ย. 2567 หลังศาลเยาวชนและครอบครัวกลางวินิจฉัย ให้จำเลยออกจากมาตรการพิเศษ และกำหนดให้มีคำพิพากษาแทน โดยพิพากษาลงโทษจำคุก และเปลี่ยนโทษจำคุกเป็นให้เข้ารับการฝึกอบรมเป็นระยะเวลา 4 ปี ต่อมาทางฝ่ายอัยการโจทก์ได้ยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาด้วย รวมแล้วฐาปนาถูกคุมขังมาแล้ว 270 วัน เท่าที่ทราบข้อมูล เขาเป็นผู้ต้องขังเยาวชนคนเดียวที่มีเหตุจากสถานการณ์ทางการเมือง ซึ่งถูกคุมขังอยู่ในขณะนี้
.
อ่านเรื่องที่เกี่ยวข้อง
ความหวังในวัยเกือบยี่สิบของ “ฐาปนา”: รอวันเยี่ยมใกล้ชิด เผื่อจะได้เจอลูก