ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน รอลงอาญา-ปรับ 10,000 “แซม สาแมท” กรณีถีบรถผู้ต้องขัง หลังถูกจับใน #ม็อบ29ตุลา64 

วันที่ 27 พ.ย. 2567 เวลา 09.00 น. ที่ศาลแขวงดอนเมือง มีนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ในคดีของ “แซม สาแมท” หรือ “อาร์ท” นักกิจกรรมทางการเมือง ในข้อหา “ทำให้เสียทรัพย์” ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 358 โดยศาลอุทธรณ์พิพากษายืน 

คดีนี้สืบเนื่องมาจาก เมื่อวันที่ 29 ต.ค. 2564 หรือ #ม็อบ29ตุลา แซมได้ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุม หลังเข้าร่วมกิจกรรมไว้อาลัย “วาฤทธิ์ สมน้อย” เยาวชนอายุ 15 ปี ซึ่งเสียชีวิตหลังถูกยิงขณะร่วมการชุมนุมที่หน้า สน.ดินแดง เมื่อช่วงเดือนสิงหาคม 2564 ในระหว่างที่เจ้าหน้าที่ควบคุมตัวแซมไปยังกองบัญชาการตํารวจปราบปรามยาเสพติด (บช.ปส.) แซมได้ใช้เท้าถีบรถควบคุมผู้ต้องหาจนกระจกแตก

ต่อมา วันที่ 16 ธ.ค. 2564 หลังแซมเพิ่งจะได้รับการปล่อยตัวจากการถูกฝากขังในคดี #ม็อบ29ตุลา เนื่องจากครบระยะเวลาฝากขัง 48 วัน และอัยการยังไม่มีคำสั่งฟ้อง เจ้าหน้าที่ตำรวจได้เข้าจับกุมแซมที่หน้าเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ตามหมายจับของศาลอาญาในคดีนี้ ทั้งที่ตำรวจสามารถดำเนินคดีตั้งแต่วันที่แจ้งข้อกล่าวหาแซมภายใน บช.ปส. รวมทั้งสามารถเข้าไปแจ้งข้อกล่าวหาขณะเขาถูกฝากขังในเรือนจำ แต่ก็ไม่เคยมีการดำเนินการดังกล่าว

ตำรวจ สน.ทุ่งสองห้อง ได้แจ้งข้อหาแซมในข้อหาทำให้ทรัพย์ที่มีไว้เพื่อสาธารณประโยชน์เสียหาย และเป็นบุคคลต่างด้าวที่เข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต ทั้งที่แซมถูกกล่าวหาในข้อหาหลังนี้มาก่อนแล้วในอีกคดีหนึ่ง จากนั้นแซมถูกฝากขัง โดยศาลไม่ให้ประกันตัว เป็นเวลา 48 วัน ก่อนได้รับการปล่อยตัว เพราะไม่ได้มีการสั่งฟ้องคดีภายในระยะเวลาการฝากขัง

ต่อมา อัยการเห็นว่ากระจกกั้นระหว่างห้องควบคุมกับห้องผู้โดยสารของรถยนต์ควบคุมผู้ต้องหา ยังมิใช่ทรัพย์ที่ใช้หรือมีไว้เพื่อสาธารณประโยชน์ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 360 จึงให้พนักงานสอบสวนแจ้งข้อหาเพิ่มเติมฐานทำให้เสียทรัพย์ ตามประมวลฎหมายอาญา 358 และมีคำสั่งฟ้องเฉพาะข้อหานี้ข้อหาเดียว โดยคดีมีนัดฟังคำพิพากษาของศาลชั้นต้นไปแล้ว เมื่อวันที่ 30 ม.ค. 2566 

ซึ่งศาลชั้นต้นพิพากษาว่า แซมมีความผิดตามประมวลฎหมายอาญา 358 จำคุก 6 เดือน ปรับ 10,000 บาท เนื่องจากเป็นการกระทำความผิดครั้งแรก ให้โอกาสจำเลยกลับตัวเป็นพลเมืองดี โทษจำคุกจึงให้รอลงการลงโทษไว้ 1 ปี

วันนี้ (27 พ.ย. 2567) ที่ห้องพิจารณาคดีที่ 5 เวลา 10.00 น. แซมเดินทางมาถึงศาล โดยแจ้งกับเสมียนทนายว่า เมื่อเช้าเขามีอาการป่วยจึงไปหาหมอที่โรงพยาบาลก่อน ทำให้มาตามนัดหมายล่าช้า 

ก่อนอ่านคำพิพากษา ศาลได้ถามกับจำเลยว่าทำไมถึงอุทธรณ์คดี ในเมื่ออัยการโจทก์ไม่ได้ยื่นอุทธรณ์มา และศาลชั้นต้นก็พิพากษาให้รอลงอาญาไว้แล้ว ก่อนจะหัวเราะ แซมลุกขึ้นตอบว่า ที่อุทธรณ์คดีก็เนื่องจากต้องการให้ลดโทษลง โดยเฉพาะในส่วนของค่าปรับที่มีจำนวนสูง ซึ่งเขาไม่ได้มีเงินมากมายขนาดนั้น

ทั้งเขายังเคยถูกขังในระหว่างสอบสวนอยู่ 48 วัน ก็อยากให้ศาลเห็นใจและไม่มองว่าเป็นเรื่องน่าหัวเราะ เพราะตัวของเขาก็ได้รับผลกระทบจากการถูกคุมขังในครั้งนั้น ทุกวันนี้ก็ยังต้องไปพบแพทย์อยู่เป็นประจำ

ศาลกล่าวย้ำว่า คดีนี้ก็ไม่น่าอุทธรณ์ จำเลยทำผิดก็ต้องรับผิด ก่อนเริ่มอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้ฟังอย่างสรุปว่า ศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุก 6 เดือน ปรับ 10,000 บาท และให้รอการลงโทษเป็นเวลา 1 ปี ศาลอุทธรณ์เห็นพ้องด้วย พิพากษายืน

X