วันที่ 24 ต.ค. 2567 เวลา 10.00 น. ที่ศาลอาญากรุงเทพใต้ พนักงานอัยการ สำนักงานอัยการสูงสุด สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญากรุงเทพใต้ 3 ได้ยื่นฟ้อง ธัชพงศ์ แกดำ หรือ “บอย”, ฉัตรรพี อาจสมบูรณ์ และ ณวรรษ เลี้ยงวัฒนา ในข้อหาตามมาตรา 112 และมาตรา 116 จากเหตุการชุมนุมหน้าสถานทูตเยอรมนี เมื่อวันที่ 14 พ.ย. 2564
ในคดีนี้ มีอานนท์ กลิ่นแก้ว แกนนำกลุ่มศูนย์รวมปกป้องสถาบัน (ศปปส.) เข้าแจ้งความให้ดำเนินคดีนักกิจกรรมทั้งสามราย ที่ สน.ทุ่งมหาเมฆ หลังเหตุการณ์ผ่านไปกว่า 2 ปี เศษ พ.ต.ท.ปรีชา วรรณหงษ์ พนักงานสอบสวนได้ออกหมายเรียกนักกิจกรรมทั้ง 3 คน ให้เข้ารับทราบข้อกล่าวหา และทั้งสามเข้าพบพนักงานสอบสวนเมื่อวันที่ 1 มี.ค. 2567
ทั้งนี้ พนักงานสอบสวนไม่ได้ควบคุมตัวทั้งสามไว้ เนื่องจากมาตามหมายเรียก ไม่มีพฤติการณ์หลบหนี และต่อมาได้นัดส่งสำนวนให้กับอัยการไปเมื่อวันที่ 9 พ.ค. 2567 และพนักงานอัยการใช้เวลา 5 เดือนเศษ จึงมีคำสั่งฟ้องคดีในที่สุด
.
อัยการฟ้อง ระบุคำแถลงสร้างความกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชน – แม้ไม่ได้กล่าวถึงการกระทำของกษัตริย์ ก็ทำให้เข้าใจได้ว่ากษัตริย์เข้ามาปกครองประเทศ
สำหรับคดีนี้มี โกวิท จงจิต พนักงานอัยการ สำนักงานอัยการสูงสุด (สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญากรุงเทพใต้ 3) เป็นพนักงานอัยการผู้เรียงฟ้องคดีจำเลยทั้ง 3 คนในข้อหาตามมาตรา 112 และมาตรา 116 โดยสรุปข้อกล่าวหาว่า เมื่อวันที่ 14 พ.ย. 2564 จำเลยทั้งสามคน ได้เข้าร่วมชุมนุมและเป็นตัวแทนของผู้ร่วมชุมนุมกล่าวปราศรัยหน้าสถานทูตสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี
ในขณะที่มีพวกของจำเลยทั้งสามคนเข้ายื่นหนังสือจดหมายที่เกี่ยวข้องกับสถาบันพระมหากษัตริย์ไทยที่จัดเตรียมมาให้กับสถานเอกอัคราชทูต ในระหว่างนั้นมีธัชพงศ์ (จำเลยที่ 1) ทำหน้าที่กล่าวปราศรัยกับผู้ชุมนุม และณวรรษ (จำเลยที่ 2) กล่าวคำแุถลงการณ์ภาษาไทย ให้กับผู้ร่วมชุมนุมฟัง และฉัตรรพี (จำเลยที่ 3) เข้ามาทำหน้าที่กล่าวปิดท้าย
ทั้งนี้ อัยการอ้างเนื้อหาคำแถลงการณ์ที่ระบุว่าจำเลยที่ 2 เป็นผู้อ่าน มีข้อความบางส่วนว่า “ฝ่ายกษัตริย์นิยมพยายามสร้างประวัติศาสตร์ใหม่ให้ษัตริย์เป็นผู้มีอำนาจปกครองประเทศ ส่วนประชาชนเป็นเพียงผู้อยู่อาศัย กำหนดให้ประชาชนมีเพียงสิทธิเลือกตั้ง แต่อำนาจการปกครอง และการกำหนดทิศทางของประเทศไม่ได้อยู่ในมือของประชาชน
“การต่อสู้เรียกร้องประชาธิปไตยในประเทศที่ปกครองโดยระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ จึงหนีไม่พ้นจะต้องหยุดยั้งการขยายอำนาจของสถาบันกษัตริย์เพื่อให้ได้มาซึ่งประชาธิปไตย
“นี่ไม่ใช่การเคลื่อนไหว เพื่อไล่ประยุทธ์ นี่ไม่ใช่การเคลื่อนไหวเพื่อยกเลิก 112 และไม่ใช่การเคลื่อนไหวเพื่อปฏิรูปฯ หรือเคลื่อนไหวเพื่อล้มล้าง แต่เป็นการเคลื่อนไหวเพื่อต่อต้านระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ นี่คือการต่อสู้เพื่อยืนยันว่าประเทศนี้ต้องปกครองโดยระบอบที่คนทุกคนเสมอหน้าเท่าเทียมกัน”
หลังจากจำเลยที่ 2 กล่าวคำแถลงการณ์เสร็จสิ้น จำเลยที่ 3 ได้กล่าวขอบคุณผู้เข้าร่วมการชุมนุม ส่วนจำเลยที่ 1 ได้กล่าวยุติการทำกิจกรรม
อัยการได้บรรยายฟ้องว่า คำแถลงการณ์ที่จำเลยทั้ง 3 คนได้มีส่วนร่วมนั้น แม้ไม่ได้กล่าวถึงการกระทำของพระมหากษัตริย์โดยตรงและไม่ได้เอ่ยชื่อพระมหากษัตริย์ แต่เมื่อได้รับฟังแล้ว เป็นการสื่อว่าพระมหากษัตริย์เข้ามามีส่วนร่วมในการปกครองประเทศ โดยอาศัยอำนาจที่กลุ่มบุคคลนิยมชมชอบกษัตริย์ถวายอำนาจให้ โดยประชาชนไม่มีส่วนร่วมในการปกครองประเทศ ทั้งที่แท้จริงแล้วพระมหากษัตริย์ไม่ได้มีส่วนร่วมใด ๆ ในการบริหารหรือปกครองประเทศตามคำกล่าวแถลงของจำเลยทั้งสาม เป็นข้อมูลอันเป็นเท็จ อันเป็นการหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์
อัยการกล่าวหาว่า การกระทำของจำเลยทั้งสาม เป็นการชักชวนให้ประชาชนออกมาต่อต้าน ชี้นำให้ประชาชนเข้าใจผิดว่าถูกลิดรอนอำนาจโดยพระมหากษัตริย์ เป็นการยั่วยุให้เกิดความปั่นป่วนหรือกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชนถึงขนาดก่อความไม่สงบในราชอาณาจักร
ภายหลังคำสั่งฟ้อง ทนายความได้ยื่นประกันตัวนักกิจกรรมทั้ง 3 คน ก่อนที่ศาลอาญากรุงเทพใต้มีคำสั่งอนุญาตให้ประกันตัว โดยให้วางหลักทรัพย์คนละ 200,000 บาท โดยได้รับความช่วยเหลือจากกองทุนราษฎรประสงค์ พร้อมกำหนดเงื่อนไขการประกันตัว 3 ประการ ดังนี้
- ห้ามมิให้เข้าร่วมหรือกระทำการใดอันเป็นความผิดเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์อีก
- ให้มาตามกำหนดนัดของศาลโดยเคร่งครัด
- ห้ามเดินทางออกนอกราชอาณาจักรเว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากศาล
ศาลยังนัดตรวจพยานหลักฐานในคดีต่อไปในวันที่ 2 ธ.ค. 2567 เวลา 13.30 น.
.
ทบทวนเหตุการณ์ชุมนุม
สำหรับการชุมนุม #ต่อต้านระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ซึ่งเป็นเหตุในคดีนี้ เมื่อวันที่ 14 พ.ย. 2564 นักกิจกรรมหลายกลุ่มนัดหมายชุมนุมเพื่อแสดงจุดยืนในการต่อต้านระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ อันเป็นผลมาจากคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ เมื่อวันที่ 10 พ.ย. 2564 ที่วินิจฉัยว่า การปราศรัยในการชุมนุม #ม็อบ10สิงหา2563 ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต เป็นการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข พร้อมกับข้อความตอนหนึ่งในคำวินิจฉัยว่า “อำนาจการปกครองเป็นของพระมหากษัตริย์มาโดยตลอดนับแต่ยุคสุโขทัย อยุธยา ตลอดจนกรุงรัตนโกสินทร์…”
การประกาศนัดหมายเริ่มต้นที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เพื่อจะเดินขบวนไปยังสนามหลวง แต่เมื่อก่อนถึงเวลานัดตำรวจได้วางแนวตู้คอนเทนเนอร์ ปิดการจราจร ตั้งรั้วเหล็กตรวจค้นการเข้าสู่พื้นที่โดยรอบ ผู้ชุมนุมจึงประกาศย้ายสถานที่ชุมนุมไปยังสี่แยกปทุมวัน ก่อนประกาศเดินขบวนไปยังสถานทูตเยอรมนี
เมื่อถึงหน้าสถานทูตเยอรมนี ผู้ชุมนุมได้อ่านแถลงการณ์ต่อต้านระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ และส่งตัวแทนเข้าไปยื่นหนังสือต่อเจ้าหน้าที่สถานทูตถึงเหตุการณ์ที่มีผู้ชุมนุม 3 คนถูกยิงบริเวณหน้าสถาบันนิติเวช โรงพยาบาลตำรวจ ก่อนยุติการชุมนุม
หลังการชุมนุม ชาติชายและผู้ชุมนุมอีก 5 คน ถูก สน.ปทุมวัน ออกหมายเรียกดำเนินคดีในข้อหา ฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ แล้ว โดยชาติชายเข้ารับทราบข้อกล่าวหาในวันที่ 16 ก.พ. 2565 ปัจจุบันคดียังอยู่ในชั้นสอบสวน
เป็นที่น่าสังเกตว่าในเหตุการณ์ชุมนุมดังกล่าวเกิดขึ้นและผ่านมาราว 2 ปี แต่ยังคงมีการดำเนินคดีในข้อหาตามมาตรา 112 อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในคดีที่เกี่ยวเนื่องกับการแสดงออกทางการเมือง และการวิพากษ์วิจารณ์สถาบันกษัตริย์
สำหรับชาติชายและฉัตรรพี ถูกดำเนินคดีมาตรา 112 คดีนี้เป็นคดีแรก ส่วนณวรรษเป็นคดีที่ 5 แล้ว
.
อ่านสถิติคดี ม.112 : สถิติผู้ถูกดำเนินคดีมาตรา 112 “หมิ่นประมาทกษัตริย์” ปี 2563-67