วันที่ 5 ก.ย. 2567 เวลา 09.00 น. ศาลแขวงราชบุรีนัดอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ภาค 7 ในคดีของ วันทนา โอทอง ประชาชนวัย 63 ปี ในจังหวัดราชบุรี จากเหตุยืนรอขบวน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ขณะนั้นเป็นนายกรัฐมนตรีลงพื้นที่ในอำเภอบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี และตะโกนวิพากษ์วิจารณ์การทำงาน เมื่อวันที่ 13 มี.ค. 2566
ก่อนหน้านี้ ศาลแขวงราชบุรีพิพากษาลงโทษจำคุกวันทนา เต็มอัตรา 6 เดือน 10 วัน ปรับ 1,000 บาท ทั้งยังไม่รอลงอาญา ใน 3 ข้อหาตามคำฟ้อง ได้แก่ ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งเจ้าพนักงาน, ส่งเสียงหรือกระทำความอื้ออึงโดยไม่มีเหตุอันสมควร และต่อสู้หรือขัดขวางเจ้าพนักงาน ก่อนศาลให้ประกันตัวระหว่างอุทธรณ์
โดยศาลแขวงราชบุรีวินิจฉัยว่า จำเลยเข้าไปในเขตที่จัดไว้ให้เป็นพื้นที่ปลอดภัยและหวงห้ามเพื่อรักษาความปลอดภัยของนายกรัฐมนตรีในการลงพื้นที่ ตำรวจผู้มีอำนาจได้แจ้งต่อจำเลยให้ออกจากเขตหวงห้าม ถือว่าจำเลยได้ทราบคำสั่งของเจ้าพนักงานผู้มีอำนาจแล้ว จำเลยจึงมีความผิดฐานไม่ปฎิบัติตามคำสั่งเจ้าพนักงานโดยไม่มีเหตุสมควร ทั้งเมื่อรถของนายกรัฐมนตรีกำลังผ่านมาทางที่จำเลยยืนอยู่ จำเลยวิ่งเข้าหารถและตะโกน “ไอ้เหี้ยตู่” จนเจ้าหน้าที่เข้าห้ามปราม ประชิดตัว ปิดปาก ปิดจมูก และตา แล้วนำตัวจำเลยเข้าซอกรถตู้ของตำรวจที่จอดอยู่ใกล้กันนั้น จำเลยได้ต่อสู้ขัดขืนให้พ้นการควบคุมตัวนั้น อันเป็นการต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงาน และยังส่งเสียงอื้ออึงในสาธารณะ
ต่อมา วันทนาได้ยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาของศาลชั้นต้นต่อศาลอุทธรณ์ภาค 7 มีใจความสำคัญระบุว่า การวินิจฉัยว่าจำเลยกระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ ศาลชั้นต้นต้องพิจารณาจากพยานหลักฐานขณะเกิดเหตุ ไม่ใช่พยานหลักฐานก่อนเกิดเหตุซึ่งเป็นพยานแวดล้อม แต่ศาลชั้นต้นกลับนำคลิปวีดิโอ ซึ่งไม่ใช่หลักฐานขณะเกิดเหตุมารับฟังลงโทษจำเลย และโจทก์ซึ่งมีหน้าที่ต้องนำพยานหลักฐานขณะเกิดเหตุมาเสนอศาลประกอบการพิจารณา แต่โจทก์ไม่นำพยานหลักฐานมาแสดงต่อศาลตามที่ตนมีภาระการพิสูจน์ จำเลยจึงขอให้ศาลอุทธรณ์ ภาค 7 พิจารณาพิพากษาให้เป็นไปตามหลักการแห่งกฎหมาย
.
ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องทุกข้อหา ชี้ การกระทำของตำรวจเป็นการลิดรอนสิทธิเสรีภาพในการแสดงความเห็นของประชาชนตามรัฐธรรมนูญ
ในวันนี้ (5 ก.ย. 2567) ศาลแขวงราชบุรีได้อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 7 โดยมีใจความสำคัญดังนี้
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยทุกฉบับตั้งแต่ปี 2475 เป็นต้นมาได้บัญญัติรับรองและคุ้มครองเสรีภาพในการชุมนุมไว้ หากการชุมนุมนั้นเป็นการชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธ โดยเฉพาะรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 มาตรา 34 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า บุคคลย่อมมีเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น การพูด เขียน พิมพ์ และโฆษณา และการสื่อความหมายโดยวิธีอื่น การจำกัดเสรีภาพดังกล่าวจะกระทำมิได้เว้นแต่อาศัยอำนาจตามบทบัญญัติที่กฎหมายตราขึ้นเฉพาะ เพื่อรักษาความมั่นคงแห่งรัฐ เพื่อคุ้มครองสิทธิหรือเสรีภาพของบุคคลอื่น และเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน หรือเพื่อป้องกันสุขภาพของประชาชน
นอกจากนี้ ประเทศไทยยังมีพันธกรณีระหว่างประเทศตามกติกาสากลระหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (ICCPR) ที่ประเทศไทยเคยให้สัตยาบันไว้ เมื่อปี 2539 ในข้อ 19 รับรองเสรีภาพในการแสดงออกของประชาชนและสื่อมวลชน รวมถึงการเข้าถึงข้อมูลต่าง ๆ เป็นสิทธิขั้นพื้นฐานที่ทำให้ความเป็นมนุษย์สมบูรณ์
อีกทั้งการรองรับและคุ้มครองเสรีภาพในการแสดงออกเป็นสิ่งที่บ่งชี้ว่าประเทศไทยให้ความเคารพต่อคุณค่าในหลักการประชาธิปไตยที่ยอมรับฟังความคิดเห็นที่แตกต่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งความเห็นต่อการบริหารรัฐกิจ และการวิพากษ์วิจารณ์บุคคลสาธารณะ ซึ่งผู้ที่ได้รับอาณัติจากประชาชนจะต้องอดทนต่อการตั้งคำถามและการตรวจสอบอย่างเข้มข้นจากประชาชนผู้เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย
ดังนั้น การฟ้องร้องดำเนินคดีประชาชนที่แสดงความเห็นต่างหรือสื่อมวลชนเพื่อปิดกั้นการแสดงออกโดยชอบด้วยกฎหมาย จึงไม่เป็นที่ยอมรับในสังคมประชาธิปไตยที่เคารพหลักนิติรัฐและนิติธรรม
ทั้งนี้ รัฐสามารถจํากัดสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นโดยอาศัยบทบัญญัติของกฎหมายเฉพาะในกรณีมีความจําเป็นต่อการเคารพในสิทธิหรือชื่อเสียงของบุคคลอื่น หรือการรักษาความมั่นคงของชาติ หรือความสงบเรียบร้อย หรือการสาธารณสุข หรือศีลธรรมอันดีของประชาชนเท่านั้น แต่จะต้องไม่มีผลร้ายถึงขนาดไม่ให้แสดงความคิดเห็นอันเป็นสิทธิขั้นพื้นฐาน บทบัญญัติแห่งกฎหมายที่ตราขึ้นนี้จะต้องผ่านมาตรฐานที่เข้มข้นสูงสุด มีความชัดเจนแน่นอนเพียงพอที่บุคคลจะสามารถรู้ได้ว่า จะต้องปฏิบัติตามอย่างไร และกฎหมายจะต้องไม่เปิดช่องให้เจ้าหน้าที่ใช้ดุลพินิจในการจํากัดเสรีภาพและดําเนินคดีต่อผู้ใช้สิทธิเสรีภาพในการแสดงออกได้อย่างไม่มีข้อจํากัด รัฐมีหน้าที่ในการแสดงให้เห็นว่า การจํากัดสิทธิเสรีภาพในการแสดงออกมีฐานทางกฎหมายอย่างไรและสอดคล้องอย่างไรต่อหลักความจําเป็นและหลักความได้สัดส่วน
ข้อเท็จจริงไม่ปรากฏจากพยานหลักฐานของโจทก์ว่า จําเลยวางแผนกระทําการในสิ่งที่ผิดกฎหมาย และไม่ปรากฏว่าจําเลยมีอาวุธ หรือเครื่องขยายเสียง จึงต้องถือว่าจําเลยมาชุมนุมด้วยความสงบและปราศจากอาวุธ อันเป็นสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นของประชาชนตามที่รัฐธรรมนูญกําหนด แม้จำเลยจะแสดงออกว่าไม่สนับสนุนพลเอกประยุทธ์ นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น เหมือนผู้ชุมนุมคนอื่น ๆ แต่การกระทำของจำเลยก็ยังเป็น ‘ผู้ชุมนุม’ ตามนิยามในมาตรา 4 ของ พ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะฯ เจ้าหน้าที่ตํารวจจึงมีหน้าที่รักษาความปลอดภัยหรืออํานวยความสะดวกแก่จําเลยในสถานที่ชุมนุมตามมาตรา 19 หากจําเลยร้องด่านายกฯ เจ้าหน้าที่ตํารวจก็ต้องรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อพิสูจน์ความผิดของจําเลยตามกฎหมายเป็นอีกส่วนหนึ่ง
การกระทำของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่กระทำต่อจำเลย โดยใช้มือปิดปาก และนำตัวจำเลยออกมาจากพื้นที่ดังกล่าว ย่อมเป็นการลิดรอนสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นของจำเลยตามรัฐธรรมนูญ ทั้งจำเป็นเพียงหญิงอายุ 62 ปี ที่ไม่ยอมไปยืนในจุดที่พนักงานตำรวจกำหนดไว้ โดยไม่ปรากฏว่าจำเลยจะก่อความไม่สงบหรือความรุนแรงให้เกิดขึ้น
เมื่อเปรียบเทียบการกระทํากับการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของจำเลยไม่ให้แสดงความคิดเห็นดังกล่าว ซึ่งมีผลทําให้หลักการใช้สิทธิเสรีภาพของประชาชนตามรัฐธรรมนูญต้องเสียไป และไม่ได้สัดส่วนกัน ประกอบกับการปฏิบัติต่อจําเลยซึ่งเป็นหญิงผู้สูงอายุ จะต้องเพิ่มความระมัดระวังและปฏิบัติให้มีความเหมาะสมแก่สถานภาพ โดยคํานึงถึงสิทธิมนุษยชนที่ไม่ทําให้เสียภาพพจน์ในการปฏิบัติการ ตามคู่มือการปฏิบัติการดูแลการชุมนุมสาธารณะของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
ดังนั้น แม้จำเลยจะดิ้นขัดขืน ก็เพื่อปกป้องการใช้สิทธิเสรีภาพในการแสดงออกของตนและเพื่อให้หลุดพ้นจากการปฏิบัติที่เกินขอบเขตอํานาจตามกฎหมาย ถือไม่ได้ว่าจําเลยมีเจตนาต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานโดยใช้กําลังประทุษร้าย การกระทําของจําเลยไม่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 138 วรรคสอง
นอกจากนี้ เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า การกระทําของจําเลยเป็นการใช้สิทธิเสรีภาพในการแสดงความเห็นตามรัฐธรรมนูญ การจํากัดสิทธิเสรีภาพในการชุมนุมจะต้องสอดคล้องกับหลักความจําเป็น หมายความว่า มาตรการที่รัฐเลือกใช้นั้นจะต้องเป็นมาตรการที่กระทบต่อสิทธิเสรีภาพของประชาชนให้น้อยที่สุด นอกจากนั้นยังต้องสอดคล้องกับหลักความได้สัดส่วนด้วย ซึ่งหมายความว่า การจํากัดสิทธิเสรีภาพเช่นว่านั้น จะต้องเป็นไปเพื่อประโยชน์สาธารณะอย่างแท้จริง หากปรากฏว่าสาธารณะได้ประโยชน์น้อย เมื่อเปรียบเทียบกับสิทธิและเสรีภาพของประชาชนที่เสียไป ต้องถือว่าการใช้อํานาจนั้นไม่ชอบด้วยกฎหมาย
แม้ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า เจ้าพนักงานตํารวจออกคําสั่งห้ามจําเลยยืนที่บริเวณหน้าแผงเหล็กกั้น แต่จําเลยไม่ปฏิบัติก็ตาม แต่เมื่อพิจารณาพฤติการณ์ขณะเกิดเหตุ จําเลยซึ่งเป็นหญิงผู้สูงอายุยืนอยู่โดยปราศจากอาวุธใด ๆ ทั้งไม่ปรากฏว่าจะเกิดเหตุร้ายแรงต่อประชาชนที่บริเวณดังกล่าว การที่เจ้าพนักงานตํารวจมีคําสั่งห้ามจําเลยยืนบริเวณจุดเกิดเหตุ จึงเกินความจําเป็นและไม่ได้สัดส่วนกับการใช้สิทธิเสรีภาพของจําเลย
ส่วนที่จําเลยส่งเสียง ทําให้เกิดเสียงหรือกระทําความอื้ออึง ก็ไม่ปรากฏว่าจําเลยใช้เครื่องขยายเสียงจนทําให้ประชาชนตกใจหรือเดือดร้อน คงมีเพียงเสียงร้องจากปากของจำเลยที่มีอยู่เพื่อปกป้องสิทธิเสรีภาพของจําเลยตามรัฐธรรมนูญเท่านั้น การกระทําของจําเลยจึงไม่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 368 และมาตรา 370
และถึงแม้ความผิดฐานส่งเสียงอื้ออึงโดยไม่มีเหตุอันสมควร เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาปรับ 1,000 บาท จึงต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง แต่เมื่อการกระทําของจําเลยไม่เป็นความผิดฐานดังกล่าวเสียแล้ว ศาลอุทธรณ์ภาค 7 มีอํานาจยกฟ้องในฐานดังกล่าวได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 185 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 215 เนื่องจากเป็นข้อเท็จจริงอันเดียวเกี่ยวพันกัน
ที่ศาลชั้นต้นพิพากษามา ศาลอุทธรณ์ภาค 7 ไม่เห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของจำเลยฟังขึ้น พิพากษากลับให้ยกฟ้อง
องค์คณะผู้พิพากษาที่จัดทำคำพิพากษาประกอบด้วย ณัฐพร สายสุวรรณ, จิระศักดิ์ จันทร์สว่าง และประจีน ชอบทางศิลป์
.
ทั้งนี้ ในส่วนการดำเนินคดีเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ใช้กำลังเข้าควบคุมตัววันทนาจนได้รับบาดเจ็บ ในข้อหาทำร้ายร่างกายและหน่วงเหนี่ยวกักขัง ซึ่งวันทนาได้ไปแจ้งความเอาไว้นั้น ยังอยู่ในขั้นตอนที่ทางตำรวจส่งเรื่องให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ดำเนินการไต่สวนข้อเท็จจริง ก่อนหน้านี้ เจ้าหน้าที่ ป.ป.ช. แจ้งว่าจะรอผลของคำพิพากษาคดีอาญาของศาลแขวงราชบุรีก่อน จึงจะดำเนินการในขั้นตอนต่อไป
.
อ่านเรื่องราวของวันทนา
“ป้านา บ้านโป่ง”: เป็นคดีเพราะเป็นคนธรรมดาที่มีเรื่องอยากบอก “ประยุทธ์”