29 วันในเรือนจำ – ศาลยกคำร้องประกันตัวอีกครั้ง : ชวนรู้จัก “มานี” แม้อยู่ในรั้วเรือนจำด้วยคดี ม.112 แต่ยังสู้เพื่อสิทธิประกันตัวผู้ต้องขังการเมือง

“มานี” เงินตา คำแสน เป็นชาวจังหวัดยโสธรวัย 44 ปี แต่เธอย้ายมาอยู่ในกรุงเทพฯ ได้ราว 20 ปีแล้ว เธอเป็นคนเสื้อแดงและเข้าร่วมการชุมนุมที่ราชประสงค์ในช่วงปี 2553 ทั้งต่อมาก็คอยติดตามสถานการณ์ทางการเมืองเรื่อยมา

“ค้าขายยุคประยุทธ์ลำบากสุด ใช้ได้แป๊บเดียว ชักหน้าไม่ถึงหลัง” เธอทำมาหากินโดยการขายของอยู่แถวแฟลตคลองจั่น แต่ต้องหยุดไปเพราะภาวะเศรษฐกิจ และต้องช่วยเลี้ยงหลานสองคน หลานคนแรกอายุ 10  ขวบ คลอดก่อนกำหนด ไม่สามารถเดินเองได้ และหลานคนเล็กยังอายุ 4 ขวบ ทำให้เธอต้องช่วยเลี้ยงหลาน ๆ และยังต้องช่วยพาคนโตไปทำกายภาพบำบัดด้วย 

ส่วนตัวเธอเองยังเป็นโรคซึมเศร้าที่ต้องรักษาตัวมาหลายปีแล้ว และยังคงต้องทานยาเป็นประจำอยู่ รวมทั้งยังมีปัญหาโรคกระเพาะอาหารอีกด้วย

จนปี 2563 มานีเห็นการเคลื่อนไหวของนักศึกษา-ประชาชนในช่วงนั้น จึงเข้าร่วมการเคลื่อนไหวอย่างไม่ลังเล ในฐานะ “มวลชนอิสระ” เธอเข้าร่วมกับกิจกรรมกับทุกกลุ่มที่เรียกร้องเรื่องความเป็นอยู่ เรื่องความเท่าเทียม และเรื่องสาธารณสุข ตลอดสองปีที่ผ่านมา 

“เราออกมาเรียกร้องเรื่องความเท่าเทียมและความเป็นธรรม เนื่องจากเห็นหลายสิ่งที่เกิดขึ้นกับฝั่งประชาธิปไตยแล้ว เห็นว่าไม่เป็นธรรม ประกอบกับการบริหารงานของรัฐบาลประยุทธ์ที่มีความล้มเหลว จนส่งผลกระทบต่อปากท้องของเรา”

การออกมาเคลื่อนไหว ทำให้เธอถูกดำเนินคดีจากการชุมนุมและแสดงออกทางการเมือง ทั้งหมด 7 คดี แยกเป็นคดีชุมนุมฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ จำนวน 4 คดี, คดีตาม พ.ร.บ.ชุมนุมสาธารณะฯ 1 คดี และคดีดูหมิ่นศาล 2 คดี โดยหนึ่งในคดีดูหมิ่นศาลดังกล่าว ยังถูกกล่าวหาในข้อหาตามมาตรา 112 ด้วย การออกมาร่วมกิจกรรม ยังทำให้มานีตกเป็น “บุคคลเป้าหมาย” ที่มีเจ้าหน้าที่รัฐคอยมาติดตามที่บ้านอย่างต่อเนื่องในช่วงสองสามปีที่ผ่านมา

เมื่อมีคนถูกจับ มานีเป็นคนหนึ่งที่คอยเฝ้าให้กำลังใจนักกิจกรรมที่ถูกจับกุมอยู่เสมอ รวมถึงร่วมกิจกรรมเรียกร้องสิทธิในการประกันตัว โดยในช่วงปี 2565 เธอร่วมจัดกิจกรรมยืนหยุดขัง และเขียนจดหมายแก่ผู้ต้องขังทางการเมืองในเรือนจำด้วย


สำหรับคดีที่ทำให้เธอถูกคุมขังขณะนี้ ก็เกิดจากการเรียกร้องสิทธิประกันตัว “ใบปอ” และ “บุ้ง” สองนักกิจกรรมทะลุวัง ที่ในขณะนั้นถูกคุมขังและอดอาหารอยู่ในเรือนจำจากกรณีทำโพลสำรวจความเดือดร้อนจากขบวนเสด็จ

.

ในวันเกิดเหตุ (28 ก.ค. 2565) กลุ่มมวลชนอิสระได้จัดกิจกรรม “ยืนบอกเจ้าว่าเราโดนรังแก” บริเวณหน้าศาลอาญากรุงเทพใต้ นอกจากนั้นยังได้ร่วมกันร้องเพลง “โชคดีที่มีคนไทย” รวมทั้งชูป้ายและติดป้ายวิพากษ์วิจารณ์ศาล

หลังจากกิจกรรมดังกล่าว ระพีพงษ์ ชัยยารัตน์ สมาชิกกลุ่มศูนย์รวมประชาชนปกป้องสถาบัน (ศปปส.) ได้ไปแจ้งความให้ดำเนินคดีมาตรา 112 กับเงินตรา, เชน ชีวอบัญชา สื่ออิสระเพจ ‘ขุนแผน แสนสะท้าน’ และ “ไบรท์” ชินวัตร จันทร์กระจ่าง อีกทั้งยังมีสุรศักดิ์ กิจชาลารัตน์ ผู้รับมอบอำนาจสำนักงานศาลยุติธรรมมาแจ้งความให้ดำเนินคดีทั้งสามในข้อหาดูหมิ่นศาลอีกด้วยต่อมาวันที่ 18 ก.ค. 2567 ศาลอาญากรุงเทพใต้พิพากษาจำคุกทั้งสามคน รวมคนละ 7 ปี และปรับ 200 บาท จำเลยทั้งสามให้การรับสารภาพ จึงลดโทษกึ่งหนึ่งเหลือโทษจำคุก 3 ปี และปรับ 100 บาท ไม่รอลงอาญา ในข้อหามาตรา 112, ดูหมิ่นศาล, หมิ่นประมาทโดยการโฆษณา และฐานใช้เครื่องขยายเสียงโดยไม่ได้รับอนุญาต แต่หลังจากทนายความยื่นขอประกันตัวในชั้นอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ก็มีคำสั่งยกคำร้อง โดยเห็นว่าจำเลยให้การรับสารภาพ คดีมีอัตราโทษสูง หากปล่อยตัวชั่วคราว เกรงว่าจำเลยจะหลบหนี ทำให้มานีและเชนต้องเข้าเรือนจำทันที

.

ในส่วนของมานีนั้น ครั้งนี้นับเป็นการเข้าเรือนจำเป็นครั้งที่ 3 แล้ว หลังจากครั้งแรกถูกคุมขังรวม 9 วัน (26 ส.ค. – 3 ก.ย. 2565) กรณีถูกจับกุมและฝากขังในข้อหาร่วมกันดูหมิ่นศาล เหตุปราศรัยการทำงานของศาลอาญากรุงเทพใต้ และทวงคืนสิทธิประกันตัว บุ้ง – ใบปอ เมื่อวันที่ 15 ก.ค. 2565 และในครั้งที่สองถูกคุมขังรวม 6 วัน (10-15 มี.ค. 2566) หลังถูกจับกุมและฝากขังจากเหตุในคดีนี้ ก่อนได้รับการประกันตัว โดยครั้งนี้ดูเหมือนจะเป็นการถูกคุมขังครั้งที่เนิ่นนานกว่าสองครั้งก่อน

เมื่อวันที่ 1 ส.ค. 2567 ทนายความได้เข้าเยี่ยมมานีในทัณฑสถานหญิงกลาง เมื่อเจอหน้ากันเธอก็บอกว่าสบายดี ตอนนี้ได้ร่วมกิจกรรมของเรือนจำ เพราะจะถึงวันครบรอบเปิดเรือนนอนเรือนเพชร มีการบูชาเทพ รำถวาย เธอก็ได้ร่วมกิจกรรมด้วย เลยไม่ค่อยเหงาเท่าไร

เธอเล่าว่าตอนนี้ที่นี่ดูเเลดีขึ้น ที่นอนมีเบาะและสะอาดกว่าเดิม ก็คงน่าจะเพราะตอนนักกิจกรรมถูกคุมขังหลายคน ได้เรียกร้องสิทธิของผู้ต้องขัง “เเม่ ๆ” ที่นี่ (หมายถึงผู้คุมของทัณฑสถานหญิง) ที่เธอมีโอกาสได้พูดคุยก็เอ็นดูเด็ก ๆ กันมาก เเละเธอก็ได้รับการดูเเลดี ยิ่งทำให้คิดถึง “บุ้ง” และเด็ก ๆ มากขึ้นไปอีก

หลังจากทนายอัปเดตข่าวการประกันตัวของผู้ต้องขังการเมืองให้ฟัง เธอบอกว่าดีใจที่เริ่มมีคนได้ปล่อยตัวบ้าง (หมายถึงกรณีธีและมาย ที่พ้นกำหนดโทษ) เเต่อยากให้ทนายอานนท์, เก็ท รวมถึงทุกคนได้ประกันตัวออกไปด้วย อยากให้ทุกคนได้รับอิสรภาพ เเล้วก็ขอเเสดงความดีใจกับน้อง ๆ ที่ได้รับอิสรภาพเเล้ว

มานีเล่าเหตุการณ์วันไปคุ้มครองสิทธิให้ทนายฟังว่าได้มีผู้ต้องขังด้วยกันมาถามย้ำ ๆ จะรู้ให้ได้ว่าเธอโดนคดีอะไร พอบอกไปว่าเป็นคดีมาตรา 112 เขาก็กระเเทกหนังสือใส่ เธอจึงเดินไปคุยถามเขาเเละเเจ้งคนคุมไปถึงพฤติกรรมของคนนั้น เเต่ไม่ได้ทะเลาะอะไรกัน เรื่องราวดังกล่าวก็จบไป

ช่วงนี้มานีได้ให้ความรู้เพื่อนผู้ต้องขังเรื่องสิทธิการประกันตัว “เขาก็งงว่ามันมีแบบนี้ด้วยหรอ เขาไม่เคยรู้มาก่อน พี่ก็รู้สึกดีที่ได้ให้ความรู้คนอื่น”

ก่อนหมดเวลาเยี่ยม เธอฝากข้อความถึงคนที่อยู่ข้างนอก “ถึงเป็นความสูญเสียที่ยิ่งใหญ่ เเต่ก็อยากให้ทุกคนยืนหยัดต่อสู้ อย่าเพิ่งท้อ เพราะยังมีหลายคนที่ยังไม่ได้รับสิทธิประกันตัว ถ้าวันนี้เราไม่สู้ ไม่ก้าวต่อไป มันก็ไม่ไปถึงไหน เหมือนการปีนเขา เราก็ต้องค่อย ๆ ก้าว เเล้ววันหนึ่งมันจะถึงจุดหมาย เรามาไกลมากจริง ๆ” เธอพูดพร้อมกับน้ำตาที่ไหลออกมา 

นอกจากนั้นแล้วมานีก็ยังฝากความขอบคุณทุกคน รวมไปถึงลุงดรและตะวันที่มาเยี่ยมเธอ และบอกว่าเธออยู่ได้สบายมาก เพราะพวกเราก็เคยนอนเรียกร้องข้างถนนกันมาแล้ว

.

เมื่อวันที่ 9 ส.ค. 2567 ที่ผ่านมา ทนายความยังได้ยื่นประกันตัว “มานี” เป็นครั้งที่ 2 คำร้องครั้งนี้โดยสรุประบุว่า ศาลนี้เคยมีคำสั่งอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวจำเลยในชั้นสอบสวนจนชั้นระหว่างพิจารณา จำเลยไม่เคยกระทำผิดเงื่อนไขการปล่อยชั่วคราว และไม่เคยถูกเพิกถอนการปล่อยชั่วคราวในคดีนี้สักครั้ง

จำเลยเป็นบุคคลธรรมดาและมีภูมิลำเนาถิ่นที่อยู่เป็นหลักแหล่งแน่นอน สามารถติดตามด้วยโดยง่าย อีกทั้งยังป่วยเป็นโรคซึมเศร้า ต้องกินยาอย่างต่อเนื่องและรักษาโดยแพทย์ผู้มีความเชี่ยวชาญ ทั้งยังมีหน้าที่เลี้ยงหลานวัยทารก 2 คน ซึ่งจำเลยต้องพาหลานคนหนึ่งไปทำกายภาพบำบัดทุกเดือน การคุมขังจำเลยไว้ทำให้ขาดคนเลี้ยงดูหลานทั้งสอง กระทบการทำงานต่อบุตรของจำเลย และส่งผลต่อรายได้ของครอบครัวด้วย 

เมื่อพิจารณาข้อเท็จจริงประกอบกับข้อกฎหมายจะเห็นได้ว่าศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกิน 5 ปี จำเลยได้รับการประกันตัวมาตลอดโดยไม่มีพฤติการณ์หลบหนี จึงขอให้ศาลนำบทบัญญัติในข้อบังคับของประธานศาลฎีกาว่าด้วยการปล่อยชั่วคราวและวิธีเรียกหลักประกันในคดีอาญา พ.ศ. 2565 มาบังคับใช้เพื่อคุ้มครองสิทธิในการปล่อยชั่วคราวจำเลย

ต่อมาศาลอาญากรุงเทพใต้ส่งคำร้องให้ศาลอุทธรณ์เป็นผู้พิจารณาคำร้อง และเมื่อวันที่ 14 ส.ค. 2567 ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งลงวันที่ 10 ส.ค. 2567 ให้ยกคำร้องของจำเลย ระบุว่า “พิเคราะห์ความหนักเบาแห่งข้อหาและพฤติการณ์แห่งคดีแล้ว ข้อหามีอัตราโทษสูง จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพ ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุก มีเหตุอันควรเชื่อว่าจำเลยที่ 1 จะหลบหนี ประกอบกับศาลอุทธรณ์เคยไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวจำเลยที่ 1 ในระหว่างอุทธรณ์มาแล้ว ส่วนจำเลยที่ 1 อ้างว่าเจ็บป่วยนั้น กรมราชทัณฑ์สามารถดูแลจัดการให้ได้ตามพระราชบัญญัติราชทัณฑ์ พ.ศ. 2560 มาตรา 55 ตามคำร้องไม่มีเหตุที่จะเปลี่ยนแปลงคำสั่งเดิม จึงไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวจำเลยที่ 1 ในระหว่างอุทธรณ์​ ให้ยกคำร้อง”

ผลของคำสั่งดังกล่าว ทำให้มานียังคงถูกคุมขังอยู่ในทัณฑสถานหญิงกลางต่อไป จนถึงวันนี้ (15 ส.ค. 2567) เธอถูกขังมาแล้ว 29 วัน

.

ฐานข้อมูลคดีนี้

คดี 112 “ขุนแผน-มานี” เหตุร่วมร้องเพลง “โชคดีที่มีคนไทย” หน้าศาลอาญากรุงเทพใต้ 28 ก.ค. 65

X