ศาลชุมพรพิพากษาจำคุก 4 ปี ลดกึ่งหนึ่ง และให้รอลงอาญา 5 ปี คดี ม.112 ของ “วรพล” กรณีเปลี่ยนภาพโปรไฟล์เฟซบุ๊กเมื่อปี 64

26 มิ.ย. 2567 เวลา 9.00 น. ศาลจังหวัดชุมพรนัดฟังคำพิพากษาคดีของ “โอ๊ต” วรพล อนันตศักดิ์ อายุ 28 ปี อดีตไรเดอร์และอดีตผู้สมัคร สส. จังหวัดชุมพร ซึ่งถูกฟ้องในข้อกล่าวหาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14 (3) กรณีอัปเดตภาพโปรไฟล์ในเฟซบุ๊กส่วนตัวเมื่อวันที่ 28 ก.ค. 2564 โดยศาลพิพากษาว่ามีความผิดตามฟ้อง จำคุก 4 ปี รับสารภาพ ลดเหลือ 2 ปี และโทษจำคุกให้รอลงอาญาไว้ 5 ปี

สำหรับคดีนี้มี พ.ต.ท.ธานี นาคหกวิค ผู้กำกับการสืบสวนภูธรจังหวัดชุมพร เป็นผู้กล่าวหาไว้ที่ สภ.เมืองชุมพร วรพลเข้ารับทราบข้อหาตามหมายเรียกเมื่อวันที่ 14 ธ.ค. 2565 โดยถูกกล่าวหาจากการเปลี่ยนรูปภาพโปรไฟล์เฟซบุ๊ก พร้อมกับมีข้อความคำราชาศัพท์ ซึ่งผู้กล่าวหาเห็นว่าไม่เป็นความจริง และเป็นการหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ และนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลอันเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคง

ต่อมาพนักงานสอบสวนได้ส่งสำนวนคดีให้กับอัยการเมื่อวันที่ 2 พ.ค. 2566 ก่อนพนักงานอัยการจะนัดหมายฟังคำสั่งในแต่ละเดือนมารวมทั้งหมด 5 ครั้ง ก่อนมีฟังคำสั่งฟ้องคดีเมื่อวันที่ 21 ก.ย. 2566 และศาลอนุญาตให้ประกันตัว

ในนัดก่อนเริ่มสืบพยานเมื่อวันที่ 23 เม.ย. 2567 จำเลยได้ตัดสินใจให้การรับสารภาพตามข้อกล่าวหา ศาลจึงได้มีคำสั่งให้ยกเลิกการสืบพยาน ให้สืบเสาะและพินิจพฤติการณ์จำเลยเพิ่มเติม ก่อนกำหนดนัดฟังคำพิพากษาต่อมา

วันนี้ วรพล พร้อมทนายความเดินทางไปศาล ผู้พิพากษาอ่านคำพิพากษาโดยสรุปเห็นว่าจำเลยมีความผิดตามฟ้อง การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ซึ่งเป็นกฏหมายบทที่มีโทษหนักที่สุด ลงโทษจำคุก 4 ปี จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง เหลือจำคุก 2 ปี

ศาลพิเคราะห์พฤติการณ์แห่งคดีและรายงานการสืบสวนและพินิจแล้วเห็นว่า แม้การกระทำความผิดของจำเลยต่อพระมหากษัตริย์จะเป็นเรื่องร้ายแรงก็ตาม แต่จำเลยไม่ได้กระทำการอย่างอื่นนอกเหนือไปจากการโพสต์รูปภาพและข้อความตามฟ้องซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่เป็นความจริง ลักษณะการกระทำโดยสภาพไม่อาจส่งผลให้ประชาชนเสื่อมความศรัทธาในสถาบันพระมหากษัตริย์อันเป็นที่เคารพรักของประชาชนชาวไทยได้ แต่ในทางกลับกัน การกระทำดังกล่าวย่อมส่งผลสะท้อนกลับเป็นผลร้ายตัวต่อจำเลยเสียเอง ว่าเป็นผู้กระทำไม่สมควรอย่างยิ่งในสายตาของประชาชนทั่วไปที่ศรัทธาและเคารพในพระมหากษัตริย์

ประกอบกับไม่ปรากฏว่าจำเลยมีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมในลักษณะเดียวกันอีก จึงน่าเชื่อว่าจำเลยสำนึกในการกระทำความผิดของตนเองและเกิดความหลาบจำ จนไม่กล้าหวนกลับไปกระทำความผิดทำนองเดียวกันอีก 

เมื่อไม่ปรากฏว่าจำเลยเคยกระทำผิดและไม่เคยได้รับโทษมาก่อน จึงเห็นควรให้โอกาสจำเลยกลับตนเป็นพลเมืองดีอีกครั้ง เพื่อให้ได้มีโอกาสเยียวยาแก้ไขตนเองตลอดจนปรับปรุงทัศนคติที่เกี่ยวข้องกับสถาบันพระมหากษัตริย์ โทษจำคุกจึงให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 5 ปี ให้คุมความประพฤติจำเลยมีกำหนด 3 ปี โดยให้ไปรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติ 9 ครั้ง ให้จำเลยกระทำกิจกรรมบริการสังคมหรือสาธารณประโยชน์ตามที่พนักงานคุมประพฤติเห็นสมควร เป็นระยะเวลา 48 ชั่วโมง ภายในกำหนดดังกล่าว และให้จำเลยละเว้นการคบหาสมาคมหรือการประพฤติใดอันอาจนำไปสู่การกระทำความผิดในทำนองเดียวกันอีก และให้เข้าร่วมกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับสถาบันพระมหากษัตริย์ ตามที่พนักงานคุมประพฤติเห็นสมควร ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56

สำหรับวรพล เคยเป็นอดีตไรเดอร์รถจักรยานยนต์ส่งอาหาร และเป็นเลขาธิการเครือข่ายปกป้องสิทธิและเสรีภาพ นักเรียน-นักศึกษา (NASP) ก่อนเข้าร่วมงานกับพรรคอนาคตใหม่ และตัดสินใจลงสมัคร สส. ในช่วงการเลือกตั้งซ่อมเขต 1 ของจังหวัดชุมพร เมื่อช่วงเดือนมกราคม 2565 โดยได้คะแนนมาเป็นอันดับที่สาม แต่หลังจากนั้นก็ไม่ได้ลงสมัครอีก

น่าสังเกตว่าการดำเนินคดีเกิดขึ้นภายหลังเขาลงรับสมัครเลือกตั้งดังกล่าวแล้ว ไม่ได้เกิดขึ้นในทันทีภายหลังการโพสต์โปรไฟล์เฟซบุ๊กดังกล่าวเมื่อปี 2564 และเท่าที่ทราบข้อมูล เป็นคดีมาตรา 112 คดีแรกที่เกิดขึ้นที่จังหวัดชุมพร

.

ย้อนอ่านเรื่องของวรพล

จาก “เพื่อน” ถึง “วรพล” อีกผู้เผชิญข้อหา 112: เมื่อกฎหมายถูกหยิบใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง?

X