คดีค้ามนุษย์ : เสียงปลายสายจากกัมพูชา 

ปภาวี

Day Breaker Network

วันที่ 25 เมษายน เวลา 08.35 น. ผู้สังเกตุการณ์เดินทางมาถึงยังห้องพิจารณาที่ 708 และเรื่องราวในคดีนี้ก็เริ่มต้นขึ้นในช่วงเวลาประมาณ 09.00 น. ที่อัยการโจทก์และโจทก์ร่วมทั้ง 2 ท่าน ได้เข้ามายังห้องพิจารณา และเจ้าหน้าที่หน้าบัลลังก์ ตามด้วยตำรวจศาลนำจำเลยเข้ามายังห้องพิจารณาตามลำดับ เมื่อแต่ละฝ่ายมาพร้อมหน้า ศาลจึงเข้ามายังห้องพิจารณาเป็นลำดับสุดท้ายในเวลา 09.20 น. โดยประมาณ จึงเริ่มกระบวนการพิจารณา

การพิจารณาคดีนี้เป็นการพิจารณาคดีแบบไต่สวน กล่าวคือ ศาลทำหน้าที่ซักถามและถามค้านพยานเป็นหลักและค่อยเปิดโอกาสให้ทนายแต่ละฝ่ายมีการถามเพิ่มเติมได้ โดยการสืบพยานในวันนี้ประกอบด้วยพยานโจทก์จำนวน 4 คน และพยานจำเลยจำนวน 1 คน

พยานคนแรกคือโจทก์ร่วมคนที่ 4 ในคดีนี้ เป็นชายวัย 32 ปี โดยปกติพยานทำอาชีพรับจ้างทั่วไป ศาลให้พยานอ่านและรับรองคำให้การที่เคยได้ให้ไว้กับพนักงานตำรวจ และศาลได้ถามคำถามเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของพยานกับจำเลย ให้พยานเล่าเรื่องราวชีวิตของพยานขณะถูกหลอกไปค้ามนุษย์ พยานเล่าว่าตนเคยเห็นจำเลยที่ประเทศกัมพูชามักจะเห็นจำเลยพร้อมบอดี้การ์ดและตนรู้จักกับจำเลยเพียงผิวเผิน จำเลยนั้นใช้หลากหลายชื่อ เช่น โจ้ หรือ ต้น แต่พยานไม่เคยพบเห็นจำเลยในประเทศไทยมาก่อน

เรื่องราวเริ่มจากพยานได้เห็นเฟซบุ๊กที่จำเลยใช้ประกาศหางานจึงสมัครเข้ามา หลังการสมัครได้มีการสื่อสารพูดคุยกันบ้าง ส่วนใหญ่แล้วจะใช้แอปพลิเคชั่นไลน์ในการติดต่อแต่ตัวพยานจำไม่ได้ว่าในกลุ่มไลน์ที่สร้างขึ้นนั้นมีสมาชิกกี่คนแต่มีโจทก์ร่วมทุกคนในกลุ่มนั้น ด้วยตัวพยานเป็นผู้มีอายุมากที่สุดในกลุ่ม จำเลยจึงมักติดต่อพยาน เช่น มีการ VDO Call ขณะอยู่ที่รีสอร์ทรอข้ามไปประเทศกัมพูชา 

ในวันที่ต้องเดินทางข้ามชายแดนนั้นจำเลยเล่าว่ามีคนพาไปยังรีสอร์ทซึ่งตั้งใกล้บริเวณชายแดนและได้พักอยู่ที่นั่นประมาณ 1 ชั่วโมงเพื่อรอรถนำกลุ่มของพยานข้ามไปยังประเทศกัมพูชา เมื่อข้ามไปแล้วรถได้จอดบริเวณหน้าอาคารซังโฮ กลุ่มโจทก์ได้พบกับนายโจ้ จำเลยในคดีนี้ หลังจากนั้นนายโจ้จึงได้พากลุ่มพยานไปทดสอบความสามารถในการทำงาน หน้าที่ของพยานคือบันทึกข้อมูลและตอบแชทลูกค้าของเว็บพนัน

ทั้งนี้ ตัวพยานไม่ทราบว่าลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการเว็บพนันนั้นจะได้รับเงินจากการพนันจริงหรือไม่ ซึ่งสภาพแวดล้อมของการทำงานเป็นห้องลักษณะคล้ายคอกสี่เหลี่ยมหลายๆคอกอยู่ในชั้นเดียวกัน มีผู้คุมเดินคอยควบคุมการทำงานตลอดเวลา ซึ่งพยานต้องทำงานวันละ 12 ชั่วโมง และมีการจำกัดเวลาพักรับประทานอาหารราว 30 นาที และเข้าห้องน้ำได้เพียง 3 ครั้งเท่านั้น ในส่วนของค่าตอบแทนดังกล่าวที่ตกลงไว้เป็นจำนวน 18,000 บาท ก็จะไม่ได้ตามจริง โดยพยานได้เงินค่าจ้างไม่ถึง 10,000 บาท 

พยานเล่าว่ามีหนึ่งเหตุการณ์ที่ทำให้พยานรู้สึกอยากลาออกและหนีไปจากที่นี่ให้ไวที่สุด คือเมื่อเพื่อนร่วมงานป่วยและต้องการขอลาไปโรงพยาบาล แต่เพื่อนร่วมงานคนนั้นกลับถูกข่มขู่ว่าจะส่งตัวกลับไทย หรือไม่ก็จะส่งไปขายที่อื่น เมื่อต้องลาออกพยานจึงพบว่าหากลาออกต้องเสียเงิน ค่าหัว ค่าอาหาร ค่าที่พัก และค่าอื่นๆ เมื่อคิดรวมกันแล้วเป็นเงินเกือบหนึ่งแสนบาท ซึ่งพยานไม่มีเงินมากเพียงพอที่จะไถ่ถอนอิสระภาพได้จึงตัดสินใจติดต่อนายโจ้ ซึ่งคือจำเลยในคดีนี้ 

นายโจ้ได้พากลุ่มพยานออกไปจากที่ทำงานแห่งนี้ ในทีแรกกลุ่มพยานนึกว่านายโจ้จะพาพวกตนกลับไปยังประเทศไทยแต่จริงๆแล้ว นายโจ้พากลุ่มพยานไปขายต่อให้กับ “เจ๊นี” ซึ่งเป็นคนกัมพูชา กลุ่มพยานไม่มีทางเลือกจึงจำใจทำงานกับเจ๊นีเจ้าของเว็บพนันออนไลน์ โดยลักษณะงานเหมือนงานแรกแต่ที่ทำงานแห่งที่สองนี้จะมีผู้คุมคอยควบคุมทุกอากัปกิริยา 1 ในผู้คุมพกอาวุธปืนกระบอกสั้นเชิงข่มขู่และที่นี่มีกฎเหล็กคือห้ามออกนอกสถานที่เด็ดขาด สามารถไปมาได้แค่ระหว่างที่พักกับที่ทำงานซึ่งตลอดทางจะมีผู้คุมคอยคุมตลอดเวลา ทั้งนี้พยานเบิกความว่าตัวเองคิดอยากหลบหนี แต่ไม่ได้วางแผนเป็นขั้นเป็นตอน

ท้ายที่สุด พยานและโจทก์ร่วมท่านอื่นจึงตัดสินใจติดต่อนายโจ้อีกครั้งเพื่อจะออกจากงาน แต่หลังการติดต่อผู้ที่มาไถ่ตัวพยานและโจทก์ร่วมทั้งหมดเป็นนายหน้าชาวกัมพูชา พยานได้เสริมว่าทุกครั้งที่เปลี่ยนงานหรือลาออกพยานจะรวมตัวกับกลุ่มโจทก์เสมอ เนื่องจากการรวมตัวกันขจัดข้อกังวลด้านความปลอดภัยและสร้างความสบายใจให้กันและกันได้ หลังจากพบนายหน้าชาวกัมพูชา กลุ่มพยานและโจทก์ร่วมได้เริ่มงานกับนายหน้าชาวกัมพูชา โดยทำงานเป็นแอดมินเงินกู้ผ่านแอปพลิเคชั่นไลน์ โดยมีหน้าที่หลอกให้ผู้ที่มากู้เงินเสียค่ามัดจำหรือค่าดำเนินการก่อนจะกู้เงินก่อนได้โดยจะหลอกไปเรื่อย ๆ จนกว่าผู้เสียหายจะโอนเงินและไหวตัวทันว่าโดนหลอก ตัวพยานไม่เต็มใจที่จะทำงานเช่นนี้ แต่ด้วยสภาพการทำงานที่มีผูุ้คุมคอยสอดส่องให้ทำงานตลอดเวลา พยานจึงต้องจำใจทำงานไปให้เสร็จเพื่อจะได้ไม่ถูกทำร้ายร่างกายหรือถูกลงโทษ

เวลาต่อมานายโจ้ติดต่อหาพยานโจทก์ร่วมที่ 3 และแจ้งว่าให้หนีไปเนื่องจากจะมีการแฝงตัวเข้ามาของตำรวจไทยนอกเครื่องแบบเพื่อทำการจับกุม ด้วยความช่วยเหลือของนายโจ้ทุกคนจึงสามารถออกมาจากสถานที่ทำงานแห่งที่ 3 ได้ โดยมีการส่งรถมารับกลุ่มพยานและนำไปส่งที่โรงแรมแห่งหนึ่ง พยานได้ยินนายโจ้พูดคุยกับบุคคลชื่อ “ท็อป” ว่าจะร่วมกันเปิดเว็บไซต์การพนันออนไลน์ โดยจะจ้างกลุ่มพยานและโจทก์ร่วมทั้งหมดเป็นลูกจ้าง พยานไม่มีทางเลือกอื่นจึงจำใจยอมเป็นลูกจ้าง ตัวพยานเองไม่ได้ติดต่อกับสถานทูตไทยและไม่ทราบว่าโจทก์ร่วมอีก 3 ท่านได้ติดต่อขอความช่วยเหลือจากสถานทูตไทยหรือไม่

 ก่อนที่โครงการเว็บพนันจะได้เริ่มก่อตั้งขึ้น นายท็อปได้นำตัวโจทก์ร่วม 3 ท่าน ไปขายต่อ ทำให้เหลือเพียงพยานและโจทก์ร่วมอีกคนซึ่งเป็นแฟนของพยานที่รอทำงานกับนายท็อปและนายโจ้ พยานและโจทก์ร่วมอีกคนจึงอยู่กับนายโจ้จนซื้อความไว้ใจจากนายโจ้ได้และออกอุบายว่าโจทก์ร่วมอีกคนที่เป็นแฟนนั้นป่วย จำเป็นต้องผ่าตัดทันที ทำให้ได้กลับมาประเทศไทย

หลังกลับมาถึงประเทศไทย ก็มีข้อความข่มขู่ปริศนา โดยไม่ทราบผู้ส่งมาจากทางไลน์เป็นรูปภาพโจทก์ร่วมของพยานที่เป็นแฟนบ้าง หรือข้อความ เพื่อตามให้พยานกลับไปยังกัมพูชา ตัวพยานคิดว่าจะแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจแต่ไม่ทราบว่ามีโจทก์ร่วม 3 ท่าน ได้แจ้งความไว้ล่วงหน้าก่อนแล้ว รู้ตัวอีกทีตำรวจก็ได้เรียกตัวพยานเพื่อขอให้ไปให้ปากคำเพิ่มเติมจนนำมาสู่การพิจารณาคดีในวันนี้

พยานคนที่สองขึ้นเบิกความ เป็นหญิงวัย 27 ปี ซึ่งเป็นแฟนของโจทก์ร่วมคนที่ 4 พยานได้หางานทำในช่วงวิกฤตโควิด – 19 และถูกชักชวนให้ไปทำงานที่ประเทศกัมพูชาและทำให้ได้เจอจำเลยที่เหม่งหัว พยานได้อยู่ที่ประเทศกัมพูชามาก่อนและได้พบกับแฟน ณ ที่ทำงานแห่งที่ 3 พยานเปลี่ยนที่ทำงานไปเรื่อยๆ เนื่องจากถูกขายบ้างหรือถูกบังคับให้ต้องเปลี่ยนงาน เพราะมีการข่มขู่พยานว่าพยานมาทำงานผิดกฎหมายหากไม่ยอมทำตามจะจับพยานส่งตำรวจ และพยานเองก็ไม่มีเงินติดตัวทำให้จำเป็นต้องทำตามคำสั่งของนายโจ้ แต่พยานพยายามหาหลักฐานเท่าที่จะหาได้ตลอดเวลา เช่น การค้นหารูปจำเลยจากโพสต์ในเฟสบุ๊กที่โพสต์ประจานตัวของำจำเลยว่า เป็นพวกหลอกไปค้ามนุษย์ ภาพถ่ายตอนอยู่กับจำเลยและภาพอื่นๆเพื่อหวังว่าจะใช้ระบุตัวจำเลยในอนาคต

จำเลยได้เคยให้เงินจำนวน 14,000 บาท แก่พยานในการค้นหาบัญชีม้าเพื่อขายต่อและใช้บัญชีนั้นโกงเงินประชาชนมาอีกที แต่พยานไม่สามารถหาได้ตามคำสั่งของจำเลย และเมื่อพยานลองไปให้ญาติหรือคนสนิทเปิดบัญชีให้จึงโดนตักเตือนว่าการเปิดบัญชีม้านั้นผิดกฎหมาย พยานจึงไม่อยากทำและโอนเงินคืนแก่จำเลยไป

การสืบคดีในช่วงเช้าจึงจบเพียงเท่านี้ศาลจึงสอบถามอัยการว่าเหลือพยานอีกกี่คนและเป็นใครบ้าง ในฝ่ายโจกท์นั้นเหลือพยานสามคนที่เป็นตำรวจพนักงานสอบสวนแต่เนื่องจากข้อเท็จจริงและหลักฐานที่มากเพียงพอ ศาลจึงบอกว่าขอให้นำพนักงานสอบสวนที่เกี่ยวข้องเพียงสองคนก็พอ เนื่องจากฝ่ายจำเลยมีพยานคือจำเลยคนเดียวเพื่อให้การสืบพยานสามารถจบได้ในนัดนี้ ศาลจึงนัดไต่สวนอีกครั้งในเวลา 13.30 น.

เมื่อเวลา 13.20 น. ตำรวจศาลได้นำจำเลยเข้ามายังห้องพิจารณาและการไต่สวนในช่วงบ่ายจึงเริ่มขึ้นในเวลาใกล้ 13.30 น.

พยานคนที่สาม คือ พนักงานสอบสวน วัย 59 ปี พยานได้เริ่มทำคดีนี้เมื่อได้รับหนังสือที่ระบุคำสั่งให้คดีนี้เป็นคดีพิเศษ พยานได้ทำการสอบสวนคดีนี้พร้อมกับทีมของพยาน พยานทำหน้าที่รวบรวมหลักฐานและสอบปากคำโจทก์ร่วมคนที่ 1 ถึง 5 และนายธนพร ซึ่งนายธนพรไม่ได้ถูกดำเนินคดีอะไร ในการไต่สวนส่วนใหญ่ศาลจะถามถึงที่มาของหลักฐานแต่ละชิ้นเพื่อให้พยานยืนยันถึงที่มาของหลักฐาน พยานกล่าวว่าหลักฐานส่วนใหญ่ได้มาจากจำเลยและตัวพยานไม่ได้ทำความเห็นสั่งฟ้องหรือไม่สั่งฟ้องในสำนวนเนื่องจากถูกย้ายไปประจำการที่อื่นก่อน

พยานคนที่ 4 – พนักงานสอบสวนในคดี ผู้สั่งฟ้องคดี

พยานคนที่สี่ คือ พนักงานสอบสวนทีมเดียวกับพยานคนที่สาม วัย 45 ปี พยานเล่าว่าได้แจ้งข้อหาจำเลย 2 คน คือนายโจ้และนายท็อป ในข้อหาสมคบกัน 2 คนขึ้นไปกระทำความผิดฐานค้ามนุษย์ แต่สามารถจับกุมนายโจ้ได้คนเดียว ในชั้นให้การนายโจ้ให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา อ้างว่าตัวเองก็ถูกนายท็อปจำเลยอีกคน หลอกให้ไปใช้แรงงานที่ประเทศกัมพูชาเช่นเดียวกัน ในขณะจับกุมไม่ได้มีหลักฐานอะไรเพิ่มเติมและไม่ได้ยึดโทรศัพท์ของนายโจ้ไว้เป็นของกลาง สถานที่ต่างๆที่อยู่ในคำให้การถึงแม้พยานจะไม่ได้ลงพื้นที่จริงแต่พยานหาข้อมูลว่ามีสถานที่จริงผ่านการค้นหาใน google map

การสืบพยานของฝ่ายโจทก์จึงจบเพียงเท่านี้ และศาลจึงให้จำเลยขึ้นมายังคอกพยานเพื่อสืบพยานในฝ่ายจำเลยเป็นลำดับถัดไป

จำเลยได้อ้างตัวเองเป็นพยาน ปัจจุบันอายุ 33 ปี ไม่ได้ประกอบอาชีพ ศาลให้จำเลยยืนยันคำให้การที่เคยให้ไว้ในชั้นสอบสวน จำเลยยืนยันตามคำให้การเดิม จำเลยไม่มีหลักฐานว่าตนนั้นถูกนายท็อปหลอกเนื่องจากหลักฐานอยู่ในโทรศัพท์ซึ่งนายท็อปยึดไป ในตอนแรกที่ทำงานกับนายท็อปจำเลยไม่ได้ถูกนายท็อปหลอก แต่นายท็อปเป็นผู้สอนงานให้กับจำเลย จำเลยเคยทำงานให้กับเว็บพนันถูกกฎหมายในประเทศฟิลิปปินส์และถูกซื้อตัวให้มาทำงานที่ อ.กำโพด ประเทศกัมพูชา 

จำเลยไม่ได้เป็นผู้ประกาศหางานในเฟซบุ๊กด้วยตนเอง เฟซบุ๊กดังกล่าวจำเลยใช้เพื่อติดต่อภรรยาและลูก แต่นายท็อปเป็นผู้ที่ถือโทรศัพท์และใช้แอคเคาท์ดังกล่าวในการโพสต์ข้อความเชิญชวน และมีการตอบข้อความผู้ที่สนใจทักเข้ามาบ้าง หรือบางกรณีถ้านายท็อปสั่งให้จำเลยตอบจำเลยก็จะทำหน้าที่ตอบข้อความ จำเลยและนายท็อปตกลงจะเปิดเว็บพนันออนไลน์ด้วยกันและมีเจ้าของโรงแรมแห่งหนึ่งในกัมพูชาเป็นหุ้นส่วนด้วย 

จำเลยไม่เคยคุยหรือรู้จักกับโจทก์ร่วมทั้งหมดมาก่อน เจอโจทก์ร่วมครั้งแรกตอนที่นายท็อปพามายังโรงแรมที่เป็นสถานที่จัดงานวันเกิดเจ้าของโรงแรมโดยทราบจากนายท็อปว่าเว็บพนันออนไลน์ที่จะเปิดนั้นจะมีกลุ่มโจทก์ร่วมทั้งหมดนี้เป็นพนักงาน ท้ายที่สุดเว็บพนันนั้นก็ไม่ได้ถูกเปิด เนื่องจากมีปัญหาในการซื้อขายหน้าเว็บพนัน นายท็อปได้เอาเงินที่เจ้าของโรงแรมชาวกัมพูชาให้ไว้สำหรับประกอบกิจการนี้ไปใช้ส่วนตัวและยังนำโจทก์ร่วม 3 ท่านไปขายต่อ

จำเลยและโจทก์ร่วมคนที่ 4 และ 5 จึงต้องไปอยู่ห้องเช่าใน อ.ไนซอ ประเทศกัมพูชาจนภายหลัง โจทก์ร่วมคนที่ 4 และ 5 ได้ข้ามฝั่งไปยังประเทศไทยเนื่องจากอ้างว่าต้องไปผ่าตัด ภายหลังจำเลยจึงได้เข้ามาในประเทศไทยผ่านช่องทางธรรมชาติโดยมีภรรยาเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายให้ทั้งหมด

ศาลได้ถามจำเลยว่าในช่วงระยะเวลาที่จำเลยอยู่กัมพูชาเคยได้กลับประเทศไทยบ้างหรือไม่ เนื่องจากจำเลยกล่าวว่าตอนไปครั้งแรกไม่ได้ถูกหลอก จำเลยกล่าวว่าตนไป – กลับ ประเทศไทยกับกัมพูชารวมประมาณ 3 ครั้ง ในช่วงปี 2565 จำเลยให้การวกไปวนมาและตอบว่าตนถูกหลอกสองครั้งในการไปกลับกัมพูชา จนครั้งสุดท้ายในช่วง ธันวาคม 2565 ถึง มกราคม 2566 เป็นครั้งที่ตนหลบหนีมายังประเทศไทยด้วยช่องทางธรรมชาติ

หลังการไต่สวนพยานฝ่ายจำเลยจบศาลได้สอบถามจำเลยเพิ่มเติมว่าต้องการให้มีการเรียกพยานเพิ่มหรือไม่ จำเลยตอบว่าไม่มีผู้ใดหรือใครสมัครใจมาเป็นพยานให้กับตนเอง ถ้าป็นไปได้ตนอยากให้ภรรยามาเป็นพยานให้ ศาลจึงกล่าวว่าภรรยานั้นมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับจำเลยการเรียกภรรยามาเป็นพยานอาจให้การเข้าข้างจำเลยได้

 สุดท้ายศาลจึงยกเลิกนัดสืบพยานของวันรุ่งขึ้น (26 พฤศจิกายน) และนัดฟังคำตัดสินในวันที่ 24 มิถุนายน 2567

ในมุมมองของผู้สังเกตการณ์เห็นว่าการพิจารณาคดีแบบไต่สวนเป็นการให้อำนาจศาลอย่างเต็มที่ ศาลได้ทำหน้าที่ซักถามและถามค้านด้วยตนเอง มีกรเปิดโอกาสให้ทนายทั้งสองฝ่ายถามบ้างเล็กน้อย แต่คำถามส่วนใหญ่ศาลได้ถามครอบคลุมไปหมดแล้ว สิ่งที่น่าสังเกตุคือความแตกต่างของพยานฝ่ายโจทก์และจำเลย ซึ่งพยานฝ่ายโจทก์และจำเลยมีความแตกต่างทั้งปริมาณและความน่าเชื่อถือ ในขณะที่จำเลยมีพยานเพียงคนเดียวคือตนเอง ผู้สังเกตการณ์จึงมีความเห็นว่าลักษณะพยานที่แตกต่างกนเช่นนี้อาจไม่สามารถทำให้จำเลยต่อสู้ได้อย่างเต็มที่

__________________________________________________________________

บทความชิ้นนี้เป็นส่วนหนึ่งของโปรเจค Day Breaker Network ซึ่งศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ได้ร่วมมือเพื่อสร้างพื้นที่ของคนที่สนใจการเริ่มต้นเป็นนักปกป้องสิทธิมนุษยชน (Human Rights Defenders) ผ่าน #หลักสูตรการสังเกตการณ์คดี (Trial Observation) ตลอดเดือนเมษายน พ.ศ.2567 ที่ผ่านมา เพื่อยืนหยัดความถูกต้องและตรวจสอบกระบวนการยุติธรรมไปพร้อม ๆ กับผู้ถูกดำเนินคดีทางการเมือง และเสริมสร้างประสบการณ์เขียนบันทึกเรื่องราวจากเหตุการณ์ละเมิดสิทธิที่เกิดขึ้นในกระบวนการยุติธรรมไทย

X