ในวันที่ 29 พ.ค. 2567 เวลา 10.00 น. ศาลอาญา รัชดาฯ นัดอ่านคำพิพากษาในคดีของ “ไบรท์” ชินวัตร จันทร์กระจ่าง นักกิจกรรมในจังหวัดนนทบุรี ในข้อหามาตรา 112 สืบเนื่องมาจากการให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนที่บริเวณหน้าสำนักงานอัยการสูงสุด หลังอัยการมีคำสั่งฟ้องในคดีปราศรัยในม็อบ #2ธันวาไปห้าแยกลาดพร้าว และ #25พฤศจิกาไปSCB เมื่อวันที่ 19 พ.ย. 2564
สำหรับคดีนี้มี กัญจ์บงกช เมฆาประพัฒน์สกุล สมาชิกของกลุ่มศูนย์รวมประชาชนปกป้องสถาบัน (ศปปส.) เป็นผู้กล่าวหา ไว้ที่ สน.พหลโยธิน ก่อนอัยการมีคำสั่งฟ้องคดีเมื่อวันที่ 12 มี.ค. 2567 ในระหว่างที่ “ชินวัตร” ถูกคุมขังที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ หลังศาลอาญาได้พิพากษาจำคุกชินวัตร 3 ปี ในคดีมาตรา 112 อีกคดีหนึ่ง เมื่อวันที่ 29 ก.พ. 2567
หลังนัดสอบคำให้การเมื่อวันที่ 14 มี.ค. 2567 ชินวัตรได้ให้การรับสารภาพตามข้อกล่าวหา ศาลจึงมีคำสั่งให้สืบเสาะและพินิจพฤติการณ์ของจำเลย ก่อนนัดคำพิพากษาในวันที่ 29 พ.ค. 2567
.
อัยการฟ้องคดี ม.112 “ไบรท์” ระบุพฤติการณ์จำเลยเจตนาบิดเบือนใส่ร้ายรัชกาลที่ 10
วันที่ 12 มี.ค. 2567 สารสิทธิ์ พวงไพบูลย์ พนักงานอัยการ สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญา 7 ได้เป็นโจทก์ยื่นฟ้องชินวัตรในคดีนี้ โดยระบุพฤติการณ์โดยสรุปว่า ปัจจุบัน ประเทศไทยมีการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข มีพระมหากษัตริย์รัชกาลที่ 10 ทรงดํารงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้
ในส่วนต่อมา คำฟ้องระบุเกี่ยวกับพฤติการณ์ของคดีว่า เมื่อวันที่ 19 พ.ย. 2564 ชินวัตรได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนที่หน้าสำนักงานอัยการสูงสุด ถนนรัชดาภิเษก เกี่ยวกับคดีการปราศรัยในม็อบที่ห้าแยกลาดพร้าว และม็อบบริเวณหน้าธนาคารไทยพาณิยช์สำนักงานใหญ่ (SCB) เมื่อปี 2563
เนื้อหาคำให้สัมภาษณ์ของชินวัตร กล่าวถึงการบังคับใช้มาตรา 112 กับประชาชน ทั้ง ๆ ที่ในหลวงทรงมีพระราชโองการถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา แล้วว่าไม่ให้บังคับใช้มาตรา 112 กับประชาชน ซึ่งทางสำนักพระราชวังหรือสมาชิกในราชวงศ์จะต้องออกมาทำอะไรสักอย่าง เพื่อที่จะไม่ให้ประชาชนคิดไปว่า สถาบันกษัตริย์มีส่วนเกี่ยวข้องกับการใช้กฎหมายมาตรา 112
ข้อความดังกล่าวที่จำเลยให้สัมภาษณ์นั้น ไม่ใช่การกระทำตามมุ่งหมายแห่งรัฐธรรมนูญ หรือไม่ใช่เพื่อแสดงความคิดเห็นหรือติชมโดยสุจริต โดยจำเลยมีเจตนาบิดเบือนใส่ร้ายในหลวงรัชกาลที่ 10 ให้เสื่อมเสียพระเกียรติ ถูกดูถูกดูหมิ่น และถูกเกลียดชัง โดยจำเลยมีเจตนาอาฆาตมาดร้ายและทำลายสถาบันกษัตริย์ ซึ่งเป็นที่เคารพบูชาของประชาชนชาวไทย และทำให้ประชาชนเสื่อมศรัทธา ไม่เคารพสักการะต่อพระมหากษัตริย์ ซึ่งอยู่ในฐานะที่จะละเมิดไม่ได้
อัยการโจทก์ยังระบุในท้ายฟ้องว่า หากจำเลยยื่นคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราวในชั้นพิจารณา โจทก์ขอคัดค้าน เนื่องจากคดีนี้มีอัตราโทษสูง เกรงจะหลบหนี และขอให้นับโทษจำคุกของจำเลยต่อจากคดีอื่น
สำหรับชินวัตรถูกกล่าวหาในคดีตามมาตรา 112 รวม 8 คดี โดยมีจำนวน 5 คดีแล้ว ที่ศาลมีคำพิพากษาออกมา โดยเขาเปลี่ยนคำให้การเป็นรับสารภาพทั้งหมด โดยมี 1 คดีที่ศาลอาญากรุงเทพใต้พิพากษาให้รอลงอาญา แต่อีก 4 คดี ศาลอาญาพิพากษาลงโทษจำคุกโดยไม่รอลงอาญาทั้งหมด และให้นับโทษจำคุกต่อกัน รวมแล้วเขาถูกลงโทษจำคุกไปแล้ว 10 ปี 6 เดือน แต่ในแต่ละคดีอยู่ในระหว่างการอุทธรณ์คำพิพากษา ส่วนคดีที่ไบรท์ให้สัมภาษณ์หน้าอัยการสูงสุดนี้ จะเป็นคดีที่ 6 แล้ว ที่ศาลจะมีคำพิพากษา
.