แม้ต้องจองจำแต่ศิลปินยังอิสระ บทเพลงเพื่อราษฎรของ ‘อาเล็ก’ ผู้รอฟังคำพิพากษาคดี ‘112’  

วันที่ 9 พ.ค. 2567 “อาเล็ก” โชคดี ร่มพฤกษ์ ศิลปินอิสระ วัย 55 ปี จะเดินทางไปศาลอาญา เพื่อฟังคำพิพากษาในคดีที่ถูกฟ้องในข้อหา “หมิ่นประมาทกษัตริย์ฯ” ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ‘112’ กรณีถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้เล่นกีตาร์ให้ร้องเพลงของวงไฟเย็น บริเวณอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ในกิจกรรมเดินขับไล่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในโอกาสครบรอบ 8 ปี การดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 23 ส.ค. 2565 

คำฟ้องระบุว่าการร้องเพลง “โชคดีที่มีคนไทย” มีเนื้อหาใส่ร้ายป้ายสี หมิ่นประมาท แสดงความอาฆาตมาดร้ายต่อองค์พระมหากษัตริย์ คือ พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 และรัชกาลที่ 10 โดยในการสอบคำให้การในชั้นศาล อาเล็กตัดสินใจให้การรับสารภาพ 

นอกจากคดีนี้ อาเล็กยังถูกฟ้องเป็นคดี 112 จากกิจกรรมวันเดียวกัน หากเป็นกรณีร้องเพลงระหว่างกิจกรรมที่หน้ามหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล หลังจากกิจกรรมที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิเสร็จสิ้น เป็นอีกครั้งที่อาเล็กให้การรับสารภาพ และศาลอาญานัดฟังคำพิพากษาต่อเนื่องไปในวันที่ 13 พ.ค. 2567

“การใช้เสียงเพลงร้องถึงเขาเป็นการชี้ให้เห็นว่าเราสู้ในเรื่องปัญหาโครงสร้างของอำนาจ เราไม่ได้เกลียดชังสถาบันกษัตริย์ เราเกลียดชังโครงสร้างอำนาจ” ผู้แทนตนว่าศิลปินเพื่อราษฎรกล่าวไว้ตอนหนึ่ง

จากชีวิตบ้านเกิดที่ อ.ท่าศาลา จ.นครศรีธรรมราช ก่อนไปเติบโตที่ จ.สุราษฎร์ธานี อาเล็กมีความใฝ่ฝันตั้งแต่เด็กอยากจะเป็นศิลปินออกเทป  

หลังจากเห็น แสงสุรีย์ รุ่งโรจน์ มาเล่นคอนเสิร์ตในวัด เรามีความฝันว่า สักวันจะต้องโด่งดังและเอาวงดนตรีของตัวเองมาเล่นในวัดนี้ให้ได้”  จากนั้นจึงเริ่มฝึกเล่นกีต้าร์ ไม่นานก็เริ่มออกรับงานเล่นดนตรีเพราะไม่ได้ศึกษาต่อหลังจบประถมศึกษาปีที่ 6 ด้วยโรคต้อหิน ซึ่งติดตัวมาแต่กำเนิดส่งผลกระทบต่อการมองเห็น การเรียน เขียน อ่าน 

ก่อนในวัยหนุ่มที่ค่อย ๆ สร้างชื่อตัวตน จนมากพอที่จะเข้าสู่กรุงเทพมหานคร เพื่อวิ่งตามความฝัน อาเล็กเริ่มจากการเป็นนักดนตรีในผับกลางคืน ออกเทปใต้ดินด้วยความมุ่งหวังว่าจะมีชื่อเสียงในสักวัน ก่อนจะมีสัญญาจ้างระยะยาวกับค่ายเพลงยักษ์ใหญ่แห่งยุคสมัยอย่างบริษัท ‘RS’ ในช่วงปี 2547

ก่อนชีวิตพลิกผันด้วยอุดมการณ์ทางการเมืองที่เชื่อในความเป็นธรรม นำพาให้ ศิลปินนามว่า “อาเล็ก อาร์สยาม” ที่มีชื่อเสียงจากบทเพลง ‘อย่าลืมยากลาย’ หรือเพลงที่ประสบความสำเร็จสูงกับอัลบั้มที่สอง ‘คำสาบาน’ เปลี่ยนแปลงมาสู่ “อาเล็ก ศิลปินเพลงไพร่” เจ้าของเพลง ‘คนใต้เสื้อแดง’ ก่อนจะมาเป็น “อาเล็ก ศิลปินเพลงเพื่อราษฎร” ผู้ประพันธ์เพลง ‘กล้ามาก เก่งมาก ขอบใจ’ และในที่สุดก็กลายมาเป็น “อาเล็ก โชคร่มพฤกษ์” ผู้ต้องหาคดี 112 จากการเล่นและเปิดเพลง ‘โชคดีที่มีคนไทย’ ของวงไฟเย็น ใน 2 คดี

ช่วงชีวิตก่อนจะฟังคำพิพากษา อาเล็กยังคงแต่งเพลงสะท้อนการเมือง หวังบันทึกเหตุการณ์และความเป็นไปทางสังคม เพื่อเป็นอนุสาวรีย์อากาศ ให้ผู้คนจดจำหากวันหนึ่งเขาถูกจำกัดอิสรภาพให้ไม่สามารถร้องเล่นต่อไปได้ 

.

อย่าลืมยากลาย: บทเพลงสะท้อนตัวตนเมื่อครั้งเป็นศิลปินสังกัดค่ายเพลงยักษ์ใหญ่

อาเล็กเล่าว่าจากวันที่เข้ากรุงเทพฯ เมื่อปี 2534 เขาผ่านงานดนตรีมามากมาย หนึ่งในนั้นคือการได้พบเจอศิลปินดังจากปักษ์ใต้อย่าง ‘มาลีฮวนน่า’ ที่ต่อมาได้คลุกคลีจนเป็นผู้จัดการวงในช่วงที่มาลีฮวนน่าทัวร์คอนเสิร์ต ราว ๆ ปี 2537-2538 กับผลงานชุด ‘บุปฝาชน’ และ ‘คนเช็ดเงา’ ในปี 2539   “เมื่อมาลีฮวนน่าโตเกินไปก็เกินความสามารถของผมแล้ว ก็ส่งต่อข้อมูลที่จำเป็นให้กับผู้จัดการคนถัดไป” 

แล้วอาเล็กก็ออกมาเป็นศิลปินอีกครั้ง เข้าสังกัดค่ายอาร์สยามเมื่อปี 2547 เรียกได้ว่าเป็นช่วงที่คลายพยศ หลังใช้ชีวิตเล่นดนตรีตามผับไม่สังกัดค่ายเพลง ด้วยว่าต่อต้านในเรื่องของสัญญาจ้างที่ไม่เป็นธรรม จนสุดท้าย เพื่อความอยู่รอดในตอนนั้น อาเล็กทำสัญญา 8 ปี กับทางค่าย RS และได้ออกอัลบั้มแรกเมื่อปี 2548 ในอัลบั้มชื่อ ‘อย่าลืมสัญญา’

อาเล็กเล่าว่าช่วงนั้นเป็นยุคที่ค่าย RS รุ่งเรืองมาก ศิลปินรุ่นราวคราวเดียวกันก็มีหลวงไก่, บ่าววี, ต้อย หมวกแดง,หนู มิเตอร์ ซึ่งเข้ามาในระยะเวลาไล่เลี่ยกัน  

“ผมเป็นคนเรียบเรียงเสียงประสาน 100% อัดและทำเดโม่ทั้งหมด แล้วส่งไปให้โปรดิวเซอร์ขัดเกลา ผมตามใจโปรดิวเซอร์ทั้งหมด เพราะผมอยากออกเทป ไม่อยากขัดใจเขา ถ้าผมไม่ยอม มันก็จะกลายเป็นว่า ไม่ต้องทำ ก็ดองงานไว้ก่อน ผมก็เลยยอม แม้ว่าเพลงที่ออกมาจะไม่ได้ดั่งใจเราหรอก”  อาเล็กย้อนเล่าถึงบรรยากาศทำเพลงในตอนนั้น

ผลงานที่เด่น ๆ จากอัลบั้มแรกที่ยังคงความนิยมถึงวันนี้คือเพลง ‘อย่าลืมยากลาย’ อาเล็กอธิบายว่าพูดถึงวิถีชีวิตของคนลุ่มน้ำกลาย แม่น้ำสายสั้นที่ไหลเชี่ยวที่สุดในประเทศไทย ตั้งอยู่ที่ท่าศาลาซึ่งเป็นบ้านเกิด ไหลมาจากป่าต้นน้ำเขาหลวง เวลาฤดูน้ำหลากความเชี่ยวนั้นสามารถกระชากลงทะเลได้เลย และยังพูดถึงหนังตะลุง มโนราห์ และวิถีชีวิตชาวบ้าน ที่มีชีวิตควบคู่กับพื้นที่เขาหลวง

“มันเลยเป็นตัวตนของผม กลายเป็นเพลงพื้นถิ่นของตรงนั้น ตอนนั้นในเนื้อหาของเพลงก็ยังไม่มีการเมืองหรือทัศนะใดเด่นชัด ตามที่เขาอ่านเราและปั้นให้เป็น ‘ลูกทุ่งเพื่อชีวิต’ เป็นเพลงตลาดที่เข้าถึงผู้ฟังในยุคนั้นที่อยู่รุ่นราวคราวเดียวกับผมและย้อนหลังกันไปสักสิบปี” 

เทียบกับศิลปินในค่ายเดียวกันแม้อาเล็กจะไม่มีชื่อเสียงเท่า แต่ก็เล่าถึงผลงานตัวเองว่า  “เพลงเราก็จะดังข้ามไปยังมาเลเซีย ที่ลาว เวียดนาม จากที่เราเคยไปเล่นคอนเสิร์ตแล้วคนร้องตามกันได้ อัลบั้มที่สองจึงตามมาในชื่อ ‘คำสาบาน’ ก็ดังเปรี้ยงเลย”  

อาเล็กสะท้อนถึงงานเพลงชุดที่สองว่า ตราบใดที่โลกมนุษย์ยังมีปรากฏการณ์ธรรมชาติ เขาเชื่อว่าเพลงนี้ใช้ได้ตลอด พูดถึงคำสาบาน ถึงหญิงที่ผิดคำพูด หลังประสบความสำเร็จจากอัลบั้มที่สอง และอยู่ในระหว่างจะออกอัลบั้มที่ 3 ที่เตรียมจะใช้ชื่อ ‘ฟ้าเป็นใจให้โจร’ ก็เกิดรัฐประหารปี 2549 อันทำให้ชีวิตของศิลปินผู้นี้หันเหไปอีกด้าน 

.

คนใต้เสื้อแดง: เพลงสะท้อนตัวตนจากยุคเสื้อแดง นปช.

ในระหว่างเป็นศิลปินสังกัดอาร์สยาม ปี 2547-2549 เป็นช่วงที่การเมืองเริ่มร้อนแรงจากกลุ่มการเมืองเสื้อเหลือง จนนำมาสู่การที่รัฐประหารยึดอำนาจรัฐบาลทักษิณเมื่อกันยายนปี 2549 ตอนนั้นทางค่ายเขาบอก ‘อย่ายุ่งการเมือง’ เพราะถ้าไปขึ้นเวทีการเมืองก็ไม่สามารถอยู่ร่วมค่ายกันได้   

อาเล็กเล่าว่าหลังจากออกอัลบั้มสอง ก็จะวางมือจากค่ายแล้ว “ช่วงนั้นก็มีแอบ ๆ ไปชุมนุม ตอนนั้นยังไม่ทันเป็น นปช. ด้วยซ้ำ พออัลบั้มที่สาม ค่ายอาร์สยาม เขาก็นัดถ่าย MV อีก 10 กว่าวัน ผมไปขึ้นเวทีที่โบนันซ่า เขาใหญ่ ซึ่งจัดชุมนุมเสื้อแดงโดยทิ้งสัญญาที่จะถ่าย MV ของเพลงในอัลบั้มที่สาม”

อาเล็กย้อนเล่าถึงตอนนั้นว่า “ผมก็บอกไปว่า ‘พี่ครับ ผมขอโทษครับ ผมจะขึ้นเวทีเสื้อแดงแล้ว’ เขาบอกว่า ‘ก็แล้วแต่’ ที่ยอมทิ้งตรงนั้นเพื่อที่จะบอกว่า ‘ผมเลือกเส้นทางแล้ว’ ทางค่ายรับทราบ ไม่ว่าอะไร สัญญาก็ยกเลิกโดยปริยาย ต่างคนต่างแยก” 

ภาพจากประชาไท
ภาพจากประชาไท

.

กับเพลงแรกที่แต่งช่วงนั้น ‘คนใต้เสื้อแดง’ สะท้อนถึง คนใต้ที่จะมาเป็นเสื้อแดงสมัยนั้นมันหายาก ส่วนใหญ่เป็นประชาธิปัตย์ เป็นเสื้อเหลืองหมด แต่อยากจะสื่อสารออกไปว่า “ผมนี่ไง ที่เป็นคนใต้เสื้อแดง รักในความเป็นธรรม จึงออกมาเรียกร้องในนามคนเสื้อแดง เนื้อเพลงก็จะบอกเล่าถึงเหตุผลว่าทำไมคนใต้ที่ชื่อว่าอาเล็กถึงมาเป็น นปช.”  และยังมีอีกหลายเพลง เช่น ความหวังของไพร่, วันของเรา ที่ถูกแต่งขึ้นหลังจากเคลื่อนไหวทางการเมืองเต็มตัว พร้อมทั้งทำเพลงและแต่งเพลงให้คนอื่นด้วยเช่น แต่งให้แกนนำในขณะนั้นอย่าง ‘ตู่’ จตุพร และ ‘เต้น’ ณัฐวุฒิ

ตั้งแต่ช่วงปี 2551-2552 อดีตศิลปินมีสังกัดค่ายอย่างอาเล็กก็ไปร่วมชุมนุม โดยขายแผ่นซีดี ขายเสื้อ ขายบางอย่างที่พอจะเลี้ยงชีวิตได้ “ถ้าพูดให้เคลียร์ตรงนี้เลยคือ ผมไม่เคยได้สตางค์จากทักษิณ ชินวัตร ตามที่ใคร ๆ ชอบกล่าวอ้างกัน จะมีก็แต่น้ำจิตน้ำใจจากพี่ตู่ พี่เต้น ในฐานะพี่น้อง นปช. ที่เขาไม่ทิ้งเรา ช่วยเหลือกันตลอดเวลา สองคนนี้ไม่เคยทิ้งผม”

ก่อนชีวิตผ่านความเจ็บปวดช่วงสลายการชุมนุมเมื่อปี 2553 “ผมไปหลบอยู่ในวัดปทุมวนาราม อารมณ์ตอนนั้นคือคับแค้นมาก บอกได้เลยว่าถ้าใครไม่เคยเจอประสบการณ์ที่เขาล้อมยิงล้อมฆ่าแล้วต้องไปนอนกองในวัดปทุมฯ จะไม่รู้หรอกว่า จะรู้สึกโกรธเผด็จการขนาดไหน นี่เป็นเหตุผลที่ผมเลิกไม่ได้ เลิกสู้ไม่ได้ด้วยเหตุผลนี้” 

หลังเลือกตั้งปี 2554 ที่พรรคเพื่อไทยได้จัดตั้งรัฐบาล อาเล็กมีหน้าที่ในตำแหน่งกรรมการ นปช. เป็นฝ่ายดูแลศิลปินเพลง โดยได้รับเลือกเป็นประธาน ‘ศิลปินเพลงไพร่’  และยังร่วมทำรายการทีวีสังกัดช่อง Peace TV  ชื่อรายการ “ภาษาเพลง” เชิญศิลปินเช่น นิค นิรนาม, วงคันไถ, วงจ่าหลอย เฮนรี่ เล่าถึงที่มาที่ไปของตัวศิลปินสลับกับร้องเพลงเล่นกีต้าร์คุยกันเหมือนเป็นวงธรรมชาติ ซึ่งตอนนั้นสำนักงานอยู่แถวอิมพีเรียล ลาดพร้าว ก่อนจะต้องหยุดลงไปหลังรัฐประหาร 2557

.

กล้ามาก เก่งมาก ขอบใจ: ประกายความหวังเกิดขึ้นใหม่ หลังรัฐประหารปี 57 สู่ม็อบราษฎร 63 

“ก็ล้มลุกคลุกคลาน แม้จะยังเล่นดนตรีอยู่ก็ไม่เป็นกิจลักษณะ เหมือนทุกอย่างมันราบคาบ ก็ไปหาตู่ จตุพรบ้าง ไปหาเต้นบ้าง ไปอิมพีเรียลบ้าง ย้ายไปหลายจุด ไม่มีข่าว โซเชียลมีเดียก็ไม่ได้แพร่กระจายแบบทุกวันนี้  เหมือนอยู่อยู่ไปวัน ๆ แต่ว่าเราก็ ‘รอวันเอาคืน’ ”  อาเล็กย้อนเล่าถึงเหตุการณ์หลังรัฐประหารโดย คสช. ที่มีคนที่ถูกมองเป็นขั้วตรงข้ามกับรัฐขณะนั้นถูกเรียกเข้าค่ายปรับทัศนคติ บ้างถูกดำเนินคดีทางการเมือง และมีอีกหลายรายต้องลี้ภัยทางการเมืองเพราะกังวลความปลอดภัย 

แม้การชุมนุมเกาะกลุ่มได้ไม่เหมือนเดิม แต่เขายืนยันไม่ได้หยุดสู้ และยังคงแต่งเพลงอยู่  จนการมาถึงของม็อบราษฎรเมื่อปี 2563 ที่ศิลปินอิสระอย่างเขาไปเปิดหมวก “ก่อนหน้าไม่ค่อยอยากเปิดหมวกเท่าไหร่ด้วยศักดิ์ศรีศิลปินมันค้ำคอส่วนหนึ่ง แต่พอหลัง ๆ มาก็ต้องเปิด เพราะหนึ่งมันเป็นการใช้เพลงการเมืองของเราสื่อสารไปในตัว สองคือมันต้องเลี้ยงชีพ ต้องหารายได้จากการเปิดหมวก พร้อมกับถ่ายทอดสดทางยูทูปด้วย”

จากคนเคยต่อสู้ในนามคนเสื้อแดงมาร่วม 10 ปี อาเล็กยอมรับว่า ความหวังเกิดขึ้นอีกครั้งตรงที่ม็อบราษฎร ที่ยืนยันว่าสิ่งที่เคยสู้มาไม่เสียเปล่า “ผมจึงร่วมม็อบราษฎรในทุกครั้งที่มีโอกาส และวันที่ผมตื่นเต้นที่สุดคือวันที่ 3 ส.ค. 2563 วันนั้นมีม็อบแฮร์รี่ พ็อตเตอร์ ที่ อานนท์ นำภา ปราศรัยอยู่หน้าแมคโดนัลด์ อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ผมนั่งอยู่ใกล้ ๆ ปรบมือจนลืมตัวเลย “เฮ๊ย คนกล้าแบบนี้มีด้วยเหรอ?” ผมขนลุกขนชันไปทั้งตัวเลย เพราะอานนท์เป็นคนแรกที่เปิดเรื่องแบบนี้ และกล้าที่จะพูดเรื่องสถาบันกษัตริย์อย่างตรงไปตรงมา

วันนั้นเป็นวันที่ผมมีความหวังมากที่สุดว่า เมื่อคนทลายกำแพงแล้ว จะมีคนตามมา และมันเป็นอย่างนั้นจริง ๆ”

กับเพลง ‘กล้ามาก เก่งมาก ขอบใจ’ อาเล็กสะท้อนว่า  มันสั้น ๆ แต่ได้ใจความในประโยคนี้ในเนื้อหาที่ชื่นชมความกล้าของผู้ที่ออกมาร่วมเคลื่อนไหวทางการเมืองในม็อบราษฎรที่ผ่านมา ซึ่งจริง ๆ ก็มีอีกหลายเพลงเช่นกัน ‘อย่างปฏิวัติประชาชน’  เพลง ‘กำไล EM’ ซึ่งล้วนแล้วแต่บันทึกสถานการณ์ทางการเมืองที่เกิดขึ้นทุกขั้นตอน 

กับข้อแตกต่างระหว่างการเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดง กับ ม็อบราษฎร อาเล็กมองว่าว่าอยู่ที่ประเด็นการต่อสู้  เขามองว่าคนเสื้อแดงมาถึงในขั้นที่ 2 แต่ของราษฎรได้ขึ้นไปสู่ขั้นที่ 1 พูดถึงอีกเรื่องหนึ่งที่แหลมคมกว่าเก่า และเหมาะสมสอดคล้องกับเวลา  

“เพราะอย่าลืมว่าตอนเสื้อแดง ปี 52-53 คนเสื้อแดงพูดได้แค่ว่า อำมาตย์ฆ่าประชาชน ก็หรูแล้ว แต่สิ่งที่อานนท์ เปิดประเด็นขึ้นมา มันทำให้ชัดเจนถึงปัญหาที่ทำให้เกิดเรื่องราวทางการเมืองทั้งหมดมันมาจาก โครงสร้างทางอำนาจ ที่เป็นตัวปัญหา เมื่อเรารู้แล้ว เราก็มีความหวังว่า ถ้ามีคนกล้าพูด ต่อไปก็จะมีคนที่กล้าออกมาพูดถึงเรื่องนี้มากขึ้นเรื่อย ๆ เพื่อนำไปสู่การแก้ปัญหาได้ จนเกิดพรรคก้าวไกลอย่างที่เราเห็น เพราะความกล้าที่จะพูดถึงเรื่องที่ใครก็ไม่อยากพูด อย่าง 112”

ปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ จึงเป็นข้อเรียกร้องที่ตรงใจอาเล็กที่สุดในช่วงชุมนุม “วันที่มีการชุมนุมที่ธรรมศาสตร์ รังสิต ข้อเรียกร้อง 3 ข้อ และ 10 ประการ ผมมองว่า นั่นคือแก่นสารของการต่อสู้ทั้งหมดที่เราทำมาทั้งหมดตั้งแต่เริ่ม นปช. เราเริ่มเห็นผลจากการที่มีข้อเรียกร้องของราษฎรออกมา 

“ถึงวันนี้ เรื่องนี้ก็ยังคงเป็นเรื่องหลักเหมือนเดิม ไม่อย่างนั้นคือ ไร้สาระ การต่อสู้ทางการเมืองถ้าไม่รู้แก่นสารของปัญหาก็ไร้สาระ การที่ผมและใครหลาย ๆ คนที่ร่วมสู้และสั่งสมมามันไม่สูญเปล่า แต่มันตกผลึก และมีความหวัง และต่อไปอีกขั้นหนึ่ง”

.

โชคดีที่มีคนไทย: เพลงจากการชุมนุม 23 ส.ค. 65 นำมาสู่คดี 112 

อาเล็กย้อนไปในวันเกิดเหตุว่า “เป็นวันที่เราบอกว่า ประยุทธ์ จันทร์โอชา คุณอยู่มา 8 ปีแล้ว มันนานเกินไปแล้ว เราจะไปชุมนุมเพื่อบอกสิ่งนี้ เราไล่กันมานานแล้ว โดยตั้งที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิก่อนจะเดินไปที่ทำเนียบรัฐบาล ระหว่างตั้งเวทีที่จะเรียกคน ผมก็เปิดเพลงบ้าง ร้องเพลงกันบ้าง ก็มีเพื่อน ๆ มาแจมมาเต้นรำกันอะไรบ้าง แต่เพลงที่โดนนี้ คือเพลงที่ผมเปิดแค่อย่างเดียว แล้วยืนเล่นกีต้าร์ ไม่ได้ร้องเองด้วย แต่ว่าเนื้อหาของเพลงนี้ เพลงโชคดีที่มีคนไทย ของวงไฟเย็น ซึ่งเขาบอกว่ามันผิดประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112”

อาเล็กยืนยันว่า “ผมไม่ได้ร้องเอง ผมแค่ยืนเล่นกีต้าร์ เป็นจำเลยที่ 2 แล้วเหตุการณ์หลังจากนั้นไม่กี่ชั่วโมงเราก็เคลื่อนตัวไปที่ทำเนียบ ก็มีคนขอเพลงมานี้อีก เราก็เปิดให้อีก ก็เลยโดน 2 คดีในเรื่องเดียวกัน วันเดียวกัน ซึ่งถ้าเอาจริง ๆ นั้น มันไม่ได้พูดถึงพระมหากษัตริย์องค์ปัจจุบัน เพลงนั้นพูดถึงในหลวงรัชกาลที่ 9 แต่ความกำกวมในเรื่องขอบเขตของกฎหมายดังกล่าวก็เกิดขึ้น เมื่อขึ้นชื่อว่าเป็นการพูดถึงสถาบันกษัตริย์ หากพูดถึง ร.1 คุณก็อาจจะโดน 112 ได้เช่นกัน 

กับมาตรา 112 ที่เผชิญอยู่อาเล็กให้ความเห็นว่า “การใช้เสียงเพลงร้องสื่อสารถึงเขา เป็นการชี้ให้เห็นว่าเราสู้ในเรื่องปัญหาโครงสร้างของอำนาจ เราไม่ได้เกลียดชังสถาบันกษัตริย์ แต่เราเกลียดชังโครงสร้างอำนาจ เราไม่ได้ว่าต้องไปล้มล้าง ไม่ ! ด้วยเรารู้ว่ายุคสมัยนี้มันไม่มีทางทำเช่นนั้นได้” 

“แต่เขาหาว่าไปเยาะเย้ยให้สถาบันมีมลทินมัวหมอง นี่คือปัญหา แต่ถ้าเรารู้ตั้งแต่ตอนนั้นว่าถ้าเพลงนี้จะโดนนะ เราจะไม่ร้องตั้งแต่วันนั้นแล้ว แต่ว่าเมื่อโดนแล้ว ก็ว่ากันไป  แล้วผมคิดว่าเราไม่ได้เป็นคนล้มล้างสถาบันหรอก เราแค่อยากให้ประเทศพัฒนาถูกจุดมากกว่า” อาเล็กกล่าวไว้อีกตอนหนึ่ง

เมื่อถามถึงสิ่งทกังวลที่สุดกับการฟังคำพิพากษาครั้งนี้ ศิลปินอิสระตอบอย่างไม่ลังเลเลยว่า “กังวลเรื่องสุขภาพ คอบ่าไหล่เสื่อมเพราะสะพายกีต้าร์นานเกินไป เราไม่ระมัดระวังตัว ทำให้กังวลว่าถ้าได้เข้าไปอยู่ในคุกคิดว่าจะมีปัญหาเรื่องนี้” 

ส่วนเรื่องความเป็นอยู่ “ผมไม่กังวล เพราะผมปรับตัวปรับใจได้ และจะภูมิใจด้วย แต่เราต้องทำหนักให้เป็นเบา ถึงอย่างไรผมก็ต้องพร้อมที่จะยืดอกรับสิ่งที่จะตามมา การผ่อนหนักให้เป็นเบาจากการรับสารภาพของเรา เราก็เลือกเองและทำลงไปแล้ว แต่ถามว่ายังสู้ไหม ก็ยังสู้ สู้ในทางที่ยังสู้ได้ ในเพดานที่สู้ได้”

.

X