วันที่ 25 เม.ย. 2567 เวลา 09.00 น. ศาลจังหวัดนนทบุรีนัดฟังคำพิพากษาในคดีที่นักกิจกรรม 2 ราย “บุ้ง เนติพร” และ “อลิสา” (สงวนนามสกุล) นักศึกษาวัย 23 ปี ถูกฟ้องจากกรณีทำกิจกรรมเชิงสัญลักษณ์ โดยการสาดสี-พ่นสเปรย์บนรูปปั้นภายในกระทรวงสาธารณสุข ในช่วงกลางคืนวันที่ 13 ก.ค. 2564 เพื่อประท้วงเรื่องปัญหาการแจกจ่ายวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19
ในวันนี้ ศาลจังหวัดนนทบุรีได้มีคำพิพากษากับจำเลยที่ 2 หรืออลิสา เนื่องจากจำเลยกลับคำให้การรับสารภาพ โดยพิพากษาว่าจำเลยผิดฐานฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ลงโทษปรับ 5,000 บาท และกระทำการร่วมกันมากกว่า 2 คนให้เสียทรัพย์สิน และบุกรุกสถานที่ราชการในยามวิกาล ลงโทษจำคุก 1 ปี ปรับ 40,000 บาท รวมจำเลยต้องโทษจำคุก 1 ปี ปรับ 45,000 บาท แต่จำเลยรับสารภาพ มีเหตุบรรเทาโทษ จึงลดโทษให้เหลือจำคุก 6 เดือน ปรับ 22,500 บาท ทั้งนี้ จำเลยไม่เคยกระทำผิดมาก่อน โทษจำคุกจึงให้รอการลงโทษไว้ 2 ปี
คดีนี้ สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข ได้เป็นผู้กล่าวหาจำเลยทั้งสองคน ที่ สภ.เมืองนนทบุรี ใน 3 ข้อกล่าวหา ได้แก่ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ, ร่วมกันรบกวนการครอบครองอสังหาริมทรัพย์ในเวลากลางคืน และร่วมกันทำให้เสียทรัพย์
ต่อมาในวันที่ 18 ก.ค. 2565 พนักงานอัยการจังหวัดนนทบุรี ได้มีคำสั่งฟ้องกับนักกิจกรรมทั้ง 2 รายใน 3 ข้อกล่าวหาดังกล่าว โดยหลังการสั่งฟ้อง ศาลได้อนุญาตให้ประกันตัวอลิสา ให้วางหลักทรัพย์ 90,000 บาท ส่วนกรณีของบุ้ง ศาลไม่อนุญาตให้ประกันตัว เนื่องจากในขณะนั้นจำเลยได้ถูกต้องขังตามหมายขังในอีกคดีทำโพลขบวนเสด็จอยู่ ก่อนที่ภายหลังจะอนุญาตให้ประกันตัวพร้อมกับคดีดังกล่าวที่ศาลอาญากรุงเทพใต้ โดยให้วางหลักทรัพย์ 100,000 บาท
ในวันนี้ (25 เม.ย. 2567) เวลา 09.00 น. ที่ห้องพิจารณาคดีที่ 15 อลิสาได้เดินทางมาพร้อมกับทนายความ ส่วนบุ้ง ซึ่งถูกคุมขังอยู่ในคดีอื่น ทนายได้รับแจ้งจากเจ้าหน้าที่หน้าบัลลังก์ว่ายังไม่แน่ใจว่าราชทัณฑ์จะเบิกตัวมาให้ตามที่ศาลขอไปหรือไม่ จึงขอให้ทนายและจำเลยที่ 2 รอฟังผลการเบิกตัวก่อน
ในเวลา 10.30 น. เจ้าหน้าที่หน้าบัลลังก์ ได้แจ้งกับทนายความว่าในวันนี้บุ้งจะไม่ถูกเบิกตัวมาที่ศาล เนื่องจากมีอาการป่วยและต้องพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลราชทัณฑ์ รวมถึงจำเลยที่ 1 ก็ไม่ได้ให้การรับสารภาพ ทำให้ในวันนี้ศาลจะออกนั่งพิจารณาคดี โดยอ่านคำพิพากษาของจำเลยที่ 2 เพียงคนเดียว
เวลา 10.40 น. ศาลนั่งพิจารณาคดี โดยเรียกให้อลิสาลุกขึ้นแสดงตัว ก่อนเริ่มอ่านคำพิพากษาโดยสรุปว่า ศาลพิพากษาให้จำเลยที่ 2 มีความผิดตามฐานฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ลงโทษปรับ 5,000 บาท และกระทำการร่วมกันมากกว่า 2 คนให้เสียทรัพย์สิน และบุกรุกสถานที่ราชการในยามวิกาล ลงโทษจำคุก 1 ปี ปรับ 40,000 บาท รวมจำเลยต้องโทษจำคุก 1 ปี ปรับ 45,000 บาท
จำเลยให้การรับสารภาพ มีเหตุบรรเทาโทษ จึงลดโทษให้ เหลือจำคุก 6 เดือน ปรับ 22,500 บาท ทั้งนี้ จำเลยไม่เคยกระทำผิดมาก่อน โทษจำคุกจึงให้รอการลงโทษไว้ 2 ปี
ในส่วนของจำเลยที่ 1 ศาลมีคำสั่งให้โจทก์แยกฟ้องเป็นคดีใหม่เข้ามาภายใน 7 วันนับจากวันนี้ ให้ขังจำเลยที่ 1 ไว้จนกว่าโจทก์จะฟ้องเข้ามาใหม่ โดยให้จำหน่ายจากคดีนี้ชั่วคราว และให้จำหน่ายคดีไปโดยเด็ดขาดเมื่อโจทก์ฟ้องหรือไม่ฟ้องภายในเวลาที่กำหนด
ทั้งนี้ หลังการอ่านคำพิพากษา ศาลได้แจ้งต่อทนายและจำเลยที่ 2 ว่า ในคดีนี้ศาลเห็นว่าเป็นคดีร้ายแรง และข้อกล่าวหาก็มีอัตราโทษสูง จึงทำให้ลงโทษต่ำกว่านี้อีกไม่ได้ โดยหากจำเลยไม่มีเงินจ่ายค่าปรับ ก็ให้ไปทำงานบริการสังคมแทนได้
ในส่วนคดีของบุ้งจะถูกจำหน่ายคดีออก แยกกันจากสำนวนคดีนี้ ทางพนักงานอัยการยังระบุว่าในคดีนี้จะมีการฟ้องนักกิจกรรมเพิ่มอีก 3 ราย โดยบุ้งจะถูกพิจารณาฟ้องรวมกันในสำนวนคดีใหม่ต่อไป