บันทึกเยี่ยม “นารา”: ใน 1 ปี กระเทยแค่ขอจัดงานสงกรานต์ได้ไหม

4 เม.ย. 2567 ทนายความเดินทางไปที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ เพื่อเข้าเยี่ยม “นารา” หรือ อนิวัต ประทุมถิ่น คอนเทนต์ครีเอเตอร์ ซึ่งถูกพนักงานอัยการสั่งฟ้องคดีมาตรา 112 อีกเป็นคดีที่ 2 ภายหลังคดีแรกศาลยกฟ้อง โดยครั้งนี้มีเหตุสืบเนื่องจากการโพสต์เฟซบุ๊ก จำนวน 1 โพสต์ เมื่อวันที่ 16 ต.ค. 2563 ทำให้เธอคุมขังในคดีใหม่นี้ด้วย นอกจากคดีส่วนตัวที่ถูกคุมขังต่อเนื่องมา

นาราโบกไม้โบกมือพร้อมพูดว่า “มาได้จังหวะพอดี” เธอแต่งหน้าอ่อน ๆ คิ้วเป๊ะจนทนายแซวว่า “คิ้วโก่งมาเชียว” เธอบอกว่า “ต้องสวยไว้ก่อน” เธอมีแววตาตื่นเต้นเหมือนต้องการจะรีบบอกเรื่องสำคัญ

.

“คืออย่างนี้ค่ะแม่ ข้างในนี้จะมีการจัดงานสงกรานต์ หนูก็เสนอตัวเป็นแม่งาน เสนอให้มีรำวงสาวประเภท 2 ในแดน 4 ทางหัวหน้าฝ่ายก็อนุญาตให้จัด แต่ไม่สนับนุนการดำเนินงานเลยค่ะ หนูขอให้หัวหน้าช่วยทำเรื่องนำชุดแดนซ์เซอร์ วิกผมเข้ามา แต่เขาไม่อนุญาต ไม่ช่วยเหลือใด ๆ แล้วมันจะเป็นงานได้อย่างไร กลับกันถ้าเป็นคนมีเงิน คนจีนอะไรแบบนี้เอามาให้ได้ ตู้เย็น เอาสี เอาอุปกรณ์ก่อสร้างอะไรก็เอาเข้ามาได้ อย่างว่าแหละแม่ หนูไม่มีเงินให้เขา ไม่ใช่พวก ‘สมเด็จ’”

นาราอธิบายว่า ‘สมเด็จ’ คือสมญานามที่ใช้เรียกผู้มีอิทธิพล คนมีเงินที่สั่งเอาของ เอานั่นนี่เข้าไปข้างในได้ 

“หนูคิดนะแม่ คือ 1 ปี ขอกะเทยแค่นี้ไม่ได้เหรอ เราอยู่ในนี้ ผู้ชาย 500 คน มีกะเทย 30 คน เราทำตามกฎของผู้ชายทุกอย่าง เช่น การใช้ชีวิต การทำกิจกรรม เรื่องเสื้อผ้า ไม่ให้ใส่เสื้อใน เราก็ไม่ใส่ ให้ไว้ผมสั้นเราก็ไว้ คือเราปฏิบัติตามทุกอย่าง”

นาราเล่าว่า กีฬาในเรือนจำมีทั้งหมด 3 ประเภท ได้แก่ ตะกร้อ วอลเลย์บอล ฟุตบอล ในเรื่องชุดฟุตบอล ผู้ชายสามารถมีได้ รวมไปถึงอุปกรณ์กีฬาทั้งหมด แต่ของกะเทย นารามองว่าการขอชุดแดนซ์เซอร์กับวิกผม ไม่ได้เป็นเรื่องเหลือบ่ากว่าแรง และเธอมีสปอนเซอร์สนับสนุนจากการประสานงานไว้ ไม่ได้รับอนุญาตให้ทำเรื่องนำเข้ามา  

“1 ปี กะเทยไม่ได้ขออะไรมากเลย เราขอพื้นที่ให้เราได้แสดงออกว่าเรายังอยู่ตรงนี้ อยากให้ทุกคนรู้ว่ามีตัวตนและเราก็อยากสร้างสีสันให้กับงาน ขอแค่เดินเรื่องหรือช่วยพูดให้เราหน่อย เราไม่ได้ขออะไรที่เป็นไปไม่ได้เลย แดนอื่น ๆ คือได้หมด แดน 8 ที่เป็นแดนกะเทยก็คือมีอุปกรณ์ ได้ซ้อมรำแล้ว 

“เรื่องนี้ เมื่อประมาณเดือนมกราคม แต่ละแดนก็มีงาน ก็มีการนำวิกผม นำชุดเต้นเข้ามาได้ แดนอื่นมีโชว์ เหมือนหัวหน้าแดนเขาสนับสนุนทั้งเรื่องอุปกรณ์ เรื่องชุด แต่หัวหน้าแดนเราไม่มี เราไม่ได้ขอในเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ แต่เราอยากให้เขาช่วยทำเรื่องให้ ทั้งที่กิจกรรมนี้แดนอื่นก็จัด หัวหน้าแดนอื่นก็สนับสนุนทั้งหมด มันเป็นกิจกรรมที่ไม่ได้สร้างความเดือนร้อนให้ใคร” 

นาราบอกว่าที่เดือดร้อนขนาดนี้เพราะรู้สึกว่ากิจกรรมนี้ เป็นกิจกรรมที่จะให้พื้นที่กับ LGBTQ+ ให้คนอื่นรู้ว่าพวกเขามีตัวตนอยู่ตรงนี้

“เราน้อยใจ เราอยากบอกว่า เราพยายามที่จะให้คนอื่นเห็น เราอยากใช้เวลาสักช่วงหนึ่ง แม้มันจะแค่ 2 ชั่วโมงในการแสดงกิจกรรม แต่มันเป็น 2 ชั่วโมงที่มีค่ามาก ที่กะเทยจะได้ทำในสิ่งที่เป็นผู้หญิง ได้สร้างเสียงหัวเราะให้คนอื่น

“เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องของหนูคนเดียว แต่มันเป็นเรื่องสำหรับกะเทย 30 คน ที่อยู่ในแดน 4 เราก็อยากส่งเสียงเรียกร้องบ้างว่าเรามีตัวตน เราขอให้เรามีอุปกรณ์ เราอยากทำเต็มที่ แม้เวลากิจกรรมจะแค่ 2 ชั่วโมง แต่มันก็เป็น 2 ชั่วโมงที่ยืนยันว่าเรายังมีตัวตน เราขอพื้นที่ที่เราได้เป็นผู้หญิง ได้สร้างความสุขให้คนที่ได้ดูโชว์ของเรา”

นาราบอกเล่าเรื่องราวด้วยแววตาจริงจัง เธอเน้นย้ำว่าช่วยเป็นกระบอกเสียงให้เธอด้วย ครั้งก่อนที่เธอได้ฝากเรื่องราวออกไป มีเพื่อนเธอที่ก่อนหน้าหายไปเพราะเข้าใจผิดเรื่องมีคนมาช่วยเหลือเธอแล้ว บอกว่าได้อ่านเรื่องราวของเธอ จึงได้กลับมาปรับความเข้าใจกันได้

อีกเรื่องหนึ่งที่นารากังวลในช่วงนี้คือ มีเพื่อนที่เป็นหนี้เธอ ได้ฝากเงินกับเพื่อนอีกคนมาใช้หนี้ แต่เพื่อนคนนั้นกลับเงินเงินไปใช้ ไม่เอามาให้เธอ 

“พอแม่ไปทวงเขาก็ด่าแม่โดนว่าโดนตะคอกใส่ หนูไม่โอเครมากพี่” 

เงินจำนวนนี้นาราหวังว่าจะได้คืน เพื่อนำส่งไปจุนเจือครอบครัว เพราะเธอได้ทราบข่าวว่ายายของเธอเพิ่งเข้าโรงพยาบาลมือข้างซ้ายอ่อนแรงและชา ตอนนี้รอวันนัดผ่าตัด ซึ่งยายของเธออาจจะมีโอกาสพิการได้  

“หนูก็อยากได้เงินที่มันเป็นสิทธิ์ของหนู เพื่อส่งให้ยาย ให้ครอบครัว เพราะอีกหน่อยน้อง 2 คน โรงเรียนจะเปิดแล้ว แล้วไหนจะค่าเทอม ค่าชุด อุปกรณ์การเรียนต่าง ๆ อีก แต่ก่อนหนูเป็นเสาหลักของครอบครัว แต่ต้องมาอยู่ข้างใน เราก็ช่วยเหลือครอบครัวอะไรไม่ได้ มันก็ทำให้หนูเครียด แม่หนูต้องไปขายเครปแบบเดิม อุปกรณ์ก็อันเดิมที่หนูเคยใช้นั้นแหละค่ะ

“ช่วงนี้แม่ก็เครียด ไม่มีเงินมาเยี่ยม เลยไม่ค่อยได้มาเยี่ยม เพราะอยู่ไกล อยุธยาโน่น กว่าจะมาค่ารถค่าอะไรอีก จองเยี่ยมไลน์ก็ยากมาก เต็มตลอด ตอนนี้หนูก็เลยเครียดหลายอย่าง แต่ก่อนเป็นเสาหลักให้เขา ยายเข้าโรงบาลรัฐไปรอหาหมอตั้งแต่ 7 โมงเช้า ได้เข้าพบหมอ บ่ายสองแบบนี้ คือถ้าหนูอยู่ข้างนอก คงทำอะไรได้มากกว่านี้ ช่วยครอบครัวได้มากกว่านี้”

นาราเล่าว่าเรื่องอาหาร เธอสามารถหากินได้ ไม่ลำบากอะไร ส่วนเรื่องสุขภาพยังแข็งแรงดี แต่จะมีนอนไม่หลับบ้าง เพราะคิดหลาย ๆ เรื่อง ทั้งเรื่องยาย เรื่องครอบครัว 

“เรื่องงานสงกรานต์นี่ก็ทำให้เครียด ข้างในนี่ก็ร้อนมาก ถ้าดูกล้องจะเห็นเลยว่าตี 1 ตี 2 หนูจะลุกขึ้นมานั่ง หนูมีขอยาแก้แพ้กินบ้าง กินเพื่อให้หลับง่ายขึ้น หนูไม่อยากขอยานอนหลับ หรือยาแก้เครียด เพราะยาพวกนี้มันสำหรับกลุ่มนักโทษที่มีอาการจิตเวช  หนูไม่อยากถูกมองว่าบ้า เรามีสติครบถ้วนดี อยู่ในคุกมันก็ได้แต่นั่งมองฟ้า มองนกมันบิน มันก็เบื่อ หนูถึงขอเรื่องงานสงกรานต์ สัก 1 ปี ขอแค่ครั้งเดียว” 

นาราขอฝากอีกเรื่องที่อยากสื่อสารคือ “ในแดน 4 มี LGBTQ+ คนหนึ่งป่วยเป็นไข่ดัน

“คือนางคงใส่กางเกงในที่มันรัด เพราะกะเทยก็จะแต๊ปไว้ ทีนี้นางเป็นไข่ดัน ไข่ใหญ่มาก พอไปหา พ.บ. (นาราอธิบายว่าเหมือนเป็นสถานีอนามัยในเรือนจำ ส่วนโรงพยาบาลคือโรงพยาบาลราชทัณฑ์) ก็ให้แต่กินพาราฯ โกเฟ่น ยาแก้อักเสบแบบนี้ แต่คือกินแล้วก็ไม่หาย นางก็ปวด พอไปถามว่าจะให้พบหมอได้เมื่อไหร่ พ.บ. ก็มีแต่บอกว่ารอก่อน ๆ ซึ่งอาการไข่ดันนี่มันก่อให้เกิดโรคมะเร็งได้ ก็สงสารนาง” 

จนถึงปัจจุบัน (7 เม.ย. 2567) นาราถูกคุมขังระหว่างการพิจารณาคดีมาแล้วกว่า 24 วัน 

ย้อนดูคดีของนารา

X