ตั้งแต่ 18 พ.ค. 2565 ทนายความได้เข้าเยี่ยม คทาธร หรือ “ต๊ะ” วัย 26 ปี และคงเพชร หรือ “เพชร” วัย 18 ปี ซึ่งถูกคุมขังอยู่ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ เป็นวันที่ 38 ภายหลังถูกจับกุมขณะกำลังเดินทางจากย่านดินแดงไปยังแยกราชประสงค์ เพื่อร่วมงานรำลึก 12 ปี การสลายการชุมนุมคนเสื้อแดง 10 เมษา 2553 #ยุติธรรมไม่มี12ปีเราไม่ลืม เมื่อวันที่ 10 เม.ย. 2565 ในข้อหาหลักมีวัตถุระเบิดไว้ในครอบครอง ก่อนจะถูกนำตัวไปฝากขังที่ศาลอาญาตั้งแต่วันที่ 11 เม.ย. 2565
เช่นเดิมทนายความที่เข้าเยี่ยมไม่มีโอกาสได้เห็นหน้าของทั้งสอง ได้ยินก็แต่เพียงเสียงสนทนาของพวกเขาผ่านโทรศัพท์เท่านั้น
“ต๊ะ” คทาธร เล่าให้ทนายฟังว่า ในวันนั้นแดน 8 ที่เขาถูกคุมขังอยู่น้ำท่วมเช่นเดียวกับที่อื่นๆ ในกรุงเทพฯ เขาจึงไม่ได้ออกไปเดินเล่นที่ด้านล่าง โดยเจ้าหน้าที่ต้องกวาดน้ำให้น้ำระบายออกจากชั้นล่างของเรือนจำ
ทั้งต๊ะและเพชร ต่างเล่าว่าพวกเขาเริ่มปรับตัวกับเรือนจำได้บ้างแล้ว เพราะถูกฝากขังมาใกล้ครบ 4 ผัดแล้ว ต๊ะเล่าว่า เริ่มมีเพื่อนผู้ต้องขังในแดนชวนเขากินข้าวด้วยกันเพราะเห็นว่าทั้งเขาและเพชรไม่มีอาหารกิน เนื่องจากทั้งคู่ต่างก็ไม่สามารถกินอาหารของเรือนจำได้
“เรากินอาหารเรือนจำไม่ได้เลย จริงๆ ก็ไม่แตะเลย น้ำหนักลดเยอะ แต่ไม่ได้เจ็บป่วยอะไร ไม่มีอาการท้องเสียแล้ว เพราะไม่ได้กินข้าวเรือนจำเท่าไร”
ขณะที่เพชรบอกว่า เขาไปล้างจานหรือทำงานเล็กๆ น้อยๆ เช่น หยิบของต่างๆ ให้คนในเรือนจำ แลกกับการได้รับอาหาร เรียกว่าทำงานแลกข้าว เนื่องจากพี่สาวของเขาไม่ได้เยี่ยมทางออนไลน์และไม่มีของฝากมาถึงเขาเกือบ 2 อาทิตย์แล้ว เขาคิดว่าพี่สาวของเขาน่าจะต้องทำงาน เพชรบอกว่าบางครั้งก็มีของกินจากพรพจน์ซึ่งอยู่แดนเดียวกันแบ่งมาให้กินบ้าง
สำหรับสุขภาพของทั้งคู่ ต๊ะเล่าว่า “แดน 8 มีพื้นที่ให้เราได้ผ่อนคลายได้บ้าง ไม่อึดอัด เช้าๆ เราก็จะออกไปวิ่ง เล่นเวท ยกน้ำหนัก เล่นกล้าม อุปกรณ์ในนี้รุ่นพี่ในแดน 8 เขาทำขึ้นเอง เรือนจำไม่ได้มีสวัสดิการอะไรให้”
ขณะที่เพชรบอกว่ากิจวัตรประจำวันของเขาในช่วงนี้ คือการตื่นเช้ามาวิ่ง “ออกกำลังกายจากเครื่องออกกำลังกายที่พี่ๆ แดน 8 เขาทำขึ้นเอง แล้วก็ไปอาบน้ำ กินข้าว อยู่กับพี่ๆ แล้วก็ขึ้นเรือนนอน 15.00 น.”
เพชรยังบอกว่าอาการภูมิแพ้ของเขาดีขึ้นเพราะเริ่มกล้าขอยาจากเจ้าหน้าที่เรือนจำมากินแล้ว
เมื่อพูดถึงครอบครัว ต๊ะเล่าทนายให้ทนายฟังว่า “ช่วงนี้ไม่มีญาติมาเยี่ยม ไม่มีของเยี่ยมมาเยี่ยมแล้ว ไม่แน่ใจว่าพ่อทราบรึยัง ถ้าทนายติดต่อพ่อไม่ได้ เราก็ไม่มีญาติที่ไหนแล้ว”
ขณะที่เพชรบอกว่า ได้เขียนจดหมายไปหาแม่ 2 ฉบับและได้รับจดหมายตอบกลับจากแม่มา 1 ฉบับ ทำให้เขารู้ไม่เหงามากนัก
ทั้งต๊ะและเพชรยังบอกกับทนายความว่า หากศาลให้ประกันโดยมีเงื่อนไขให้ติด EM เขาก็ยอมรับได้
วันต่อมา (19 พ.ค. 2565) ทนายความยังได้เข้าเยี่ยมเวหา แสนชนชนะศึก ซึ่งถูกขังอยู่ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ เข้าสู่วันที่ 70 นับตั้งแต่ถูกจับกุมและศาลไม่ให้ประกันในชั้นฝากขังเมื่อวันที่ 11 มี.ค. 2565 ในคดีมาตรา 112 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ กรณีที่ถูกกล่าวหาว่าแชร์และโพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กจำนวน 2 โพสต์
เวหาเล่าถึงชีวิตความเป็นอยู่ของเขาในช่วงที่ผ่านมาว่าส้วมที่แดน 3 ที่เขาถูกคุมขังอยู่เเตกตั้งเเต่ 2 วันก่อน (17 พ.ค. 2565) แม้ว่าจะมีการซ่อมแซมเเล้วจนห้องข้างบนสามารถขับถ่ายได้ เเต่ด้านล่างยังคงมีน้ำรั่วซึมตลอดเวลา ทำให้พื้นของเเดน 3 เปียกไปด้วยน้ำจากส้วม ซึ่งยังไม่ได้รับการเเก้ปัญหา
นอกจากนี้เวหาอยากให้คนข้างนอกช่วยสื่อสารกับกรมราชทัณฑ์ให้ปรับปรุงเรื่องอาหารการกินของผู้ต้องขังให้ดีขึ้น เนื่องจากเวหาพยายามทำคำร้องส่งถึงผู้คุมจากภายในเเล้วเเต่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น เขาคิดว่าหากผู้คนด้านนอกช่วยส่งเสียงเรื่องความเป็นอยู่ของคนในเรือนจำมากขึ้น น่าจะเป็นประโยชน์ต่อคนที่ถูกขังอยู่ด้านใน
เขากล่าวกับทนายความว่า สิทธิขั้นพื้นฐานที่คนคนหนึ่งควรที่จะได้รับไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ตาม คือ
1. อาหารที่ดี เขาเห็นว่าเมื่อจับพวกเขามาเเล้วก็ควรต้องดูแลให้เหมาะสม อาหารต้องประกอบด้วยวัตถุดิบที่มีคุณภาพเเละมีปริมาณที่เพียงพอ
2. ข้าวของเครื่องใช้ เขาเล่าว่าไม่ได้รับอะไรที่เป็นข้าวของเครื่องใช้จากเรือนจำเลย นอกจากชุดออกศาล เขาเห็นว่าบางคนอยู่ข้างในไม่มีเงิน ไม่มีญาติคอยซื้อของให้หรือฝากเงินให้ ต้องขอเศษสบู่จากเพื่อน ซึ่ง สบู่ ยาสระผม แปรงสีฟัน ยาสีฟัน เป็นสิ่งพื้นฐานในการดำรงชีวิตที่รัฐควรจัดหาให้
3. ยา ในส่วนของเวหาเองนั้น เขาป่วยเป็นโรค PTSD (Post-traumatic stress disorder) ญาติได้เอายามาฝากไว้ให้ซึ่งเป็นยาส่วนตัวจากโรงพยาบาลข้างนอก เเต่เรือนจำไม่ได้จัดยาให้อย่างสม่ำเสมอต่อเนื่องทุกวัน ทำให้เขาไม่ได้รับยา เเละบางครั้งส่งผลให้ไม่สามารถนอนได้เลย
เวหายังได้ฝากข้อความถึง “ชาวทะลุเเก๊ส” ว่า “ไม่เคยท้อ ไม่เคยถอย กลิ่นเเก๊สน้ำตายังคงอบอวลอยู่ในหัวใจเสมอ ตอนนี้มีเเค่กำเเพงบางๆ กั้น เเต่อีกไม่นานเราจะไปยืนกอดคอพวกแก รักพวกแกมาก รักที่สุด”
นอกจากนี้เขายังกล่าวกับทนายความว่า “รู้สึกโกรธมากที่น้องๆ ผู้หญิงถูกจับไปขังในเรือนจำ” เขาบอกว่านี่เป็นสิ่งที่เขารับไม่ได้มากที่สุด
เมื่อทนายถามถึงเรื่องการประกันตัว เวหากล่าวว่า หากศาลให้ประกันโดยมีเงื่อนไขเขาก็ยอมรับได้ และหากเขาได้ประกัน สิ่งที่เขาอยากจะทำคือกลับไปดูเเลเเม่ ซึ่งอยู่ที่บ้านคนเดียวเเละอายุมากเเล้ว