ศาลอุทธรณ์ลดโทษคดี ม.112 “ปณิธาน” เหตุเมนต์ใต้รูป ร.10 จากคุก 2 ปี เหลือ 1 ปี 6 เดือน เห็นว่าอุปสมบทให้องค์ภาฯ เป็นเหตุรับฟังให้ลดโทษได้

วันที่ 6 ธ.ค. 2566 เวลา 09.00 น. ศาลอาญานัดฟังคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ ในคดี “หมิ่นประมาทกษัตริย์ฯ” ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14 (3) ของ “ปณิธาน” (นามสมมติ) พ่อลูกอ่อนวัย 27 ปี จากการใช้บัญชีเฟซบุ๊กส่วนตัว คอมเมนต์ข้อความใต้โพสต์ของ “Pavin Chachavalpongpun” ในกลุ่ม “รอยัลลิสต์มาร์เก็ตเพลส-ตลาดหลวง” ซึ่งโพสต์ดังกล่าวแนบภาพพระบรมฉายาลักษณ์ของรัชกาลที่ 10 เมื่อวันที่ 14 พ.ค. 2564

ในคดีนี้ ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 24 พ.ย. 2565 ศาลชั้นต้น (ศาลอาญา) ได้พิพากษาจำคุก 4 ปี แต่ลดโทษกึ่งหนึ่ง เหลือจำคุก 2 ปี เนื่องจากให้การรับสารภาพ โดยไม่รอลงอาญา แต่ครั้งนั้นศาลให้ประกันตัวปณิธานระหว่างอุทธรณ์ทันทีภายในวันที่พิพากษา โดยให้วางหลักทรัพย์ 100,000 บาท จากกองทุนราษฎรประสงค์ และจำเลยได้ยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาต่อมา

คำพิพากษา : ชี้การอุปสมบทให้องค์ภาฯ รับฟังได้ ศาลจึงให้ลดจำคุกเหลือ 1 ปี 6 เดือน แต่ไม่รอลงอาญา 

ปณิธานและภรรยา ออกเดินทางด้วยรถยนต์ส่วนตัวจากจังหวัดสระแก้ว ตั้งแต่เวลาประมาณตี 3 ของวันนี้ และมาถึงศาลอาญา กรุงเทพฯ เมื่อเวลาประมาณ 7 โมงเช้า รวมเวลาเดินทางประมาณ 4 ชั่วโมงเศษ โดยได้ฝาก “ลูกสาว” วัย 1 ขวบ 1 เดือน ไว้ให้คุณป้าดูแลที่บ้าน ภรรยาของปณิธานบอกว่าที่วันนี้ไม่ได้พาลูกมาด้วย เป็นเพราะลูกสาวหัดเดินได้ค่อนข้างคล่องแล้ว ตอนนี้เลยจะเดินคลานไปทั่ว จึงต้องระมัดระวังในการพาลูกมา

ที่ห้องพิจารณาคดีที่ 704 ศาลอ่านคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ มีใจความโดยสรุปว่า ตามคำร้องอุทธรณ์คำพิพากษาของจำเลยนั้น ศาลอุทธรณ์เห็นว่าจากรายงานการสืบเสาะและพินิจจำเลยของพนักงานคุมประพฤติ แม้ว่าจำเลยจะไม่เคยกระทำความผิดมาก่อนและเป็นหัวหน้าครอบครัว ประกอบอาชีพสุจริตเพื่อหารายได้เลี้ยงดูครอบครัว แต่ศาลเห็นว่าข้ออุทธรณ์นี้ไม่อาจเป็นเหตุให้บรรเทาโทษได้ จึงเห็นด้วยกับคำพิพากษาของศาลชั้นต้นที่ให้คงจำคุก 2 ปีแล้ว เพราะสิ่งที่จำเลยกระทำตามฟ้องและการให้รับสารภาพนั้นมีความร้ายแรง ทำให้พระมหากษัตริย์ได้รับความเสื่อมเสีย และทำให้ประชาชนเกิดความเกลียดชัง ไม่เคารพสักการะ

ส่วนข้ออุทธรณ์อีกข้อหนึ่งที่จำเลยได้ไปร่วมอุปสมบทหมู่เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภาฯ เป็นระยะเวลาหนึ่ง ที่วัดในจังหวัดสระแก้วนั้น ศาลเห็นว่าข้ออุทธรณ์นี้รับฟังได้ จึงสมควรลดโทษของศาลชั้นต้นจากจำคุก 2 ปี ให้เหลือจำคุก 1 ปี 6 เดือน โดยไม่รอลงอาญา

จากนั้นปณิธานถูกใส่กุญแจมือและถูกพาตัวไปคุมขังยังห้องใต้ถุนศาลระหว่างรอผลประกัน โดยทนายความและกองทุนราษฎรประสงค์ได้ยื่นประกันตัว ด้วยหลักทรัพย์เดิม จำนวน 100,000 บาท 

ต่อมา เวลา 17.46 น. ศาลอาญามีคำสั่งให้อนุญาตปล่อยตัวชั่วคราวด้วยหลักทรัพย์เดิม โดยไม่กำหนดเงื่อนไขใดเพิ่มเติมอีก ปณิธานจึงจะได้พาภรรยาเดินทางกลับไปหาลูกสาวที่บ้านในจังหวัดสระแก้วภายในค่ำวันนี้ทันที ทั้งนี้ คดีความของปณิธานยังคงไม่ถึงที่สุด โดยคดียังสามารถขึ้นสู่ศาลฎีกาได้เป็นลำดับต่อไป เมื่อถึงตอนนั้นหากศาลฎีกายังคงพิพากษายืนจำคุกในคดีนี้กับปณิธาน เขาจะต้องรับโทษจำคุกให้ครบตามอัตราโทษที่ศาลฎีกาพิพากษา

ระหว่างรอผลประกันตัวภรรยาของปณิธาน อายุ 25 ปี เล่าให้ฟังว่าปณิธานเป็นหัวหน้าครอบครัว ทำงานเลี้ยงดูทุกคนในครอบครัวเพียงคนเดียว ส่วนตัวเธอทำหน้าที่เลี้ยงดูลูกอยู่บ้าน โดยตอนนี้ปณิธานทำงานรับเหมาก่อสร้าง มีรายได้วันต่อวัน วันละ 500 บาท หากวันไหนหยุดงานก็จะไม่ได้เงิน อย่างเช่นวันนี้ที่ต้องหยุดงานเพื่อมาฟังคำพิพากษา

รายได้ของปณิธานมีไว้เลี้ยงดูทุกคนในครอบครัว โดยเฉพาะช่วงนี้ที่ลูกสาวกำลังโตวันโตคืน ต้องรายจ่ายเป็นค่านมผงและผ้าอ้อม รวมกันประมาณเดือนละ 8,000 บาทได้ ภรรยาปณิธานบอกว่าเพราะลูกสาวอยู่ในวัยกำลังซน กำลังหัดเดิน จึงใช้แรงมากตลอดทั้งวัน เวลากินก็เลยจะกินเยอะไปด้วย 

ภรรยาปณิธานเป็นกังวลกับภาวะตาอักเสบของผู้เป็นสามี ซึ่งเกิดจากการที่ดวงตาระคายเคืองต่อแสงในการทำงานเชื่อมโลหะ รวมถึงถูกแสงแดดแยงตาระหว่างขับรถเป็นเวลานาน จากการไปพบแพทย์ครั้งล่าสุด แพทย์จ่ายยาหยอดตาและยาฆ่าเชื้อให้ และนัดตรวจอีกครั้งช่วงกลางเดือน ม.ค. 2567 หากว่าอาการยังไม่ดีขึ้น แพทย์จะส่งไปตรวจว่าแท้จริงอาการอักเสบที่ตาเป็นภาวะต้อหรือไม่ต่อไป

สำหรับคดีนี้ เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม 2565 ปณิธานถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจประมาณ 5–10 นาย เข้าแสดงหมายจับถึงที่ทำงานในจังหวัดสระแก้ว จากนั้นจึงถูกนำตัวไปที่ บก.ปอท. เพื่อให้พนักงานสอบสวนสอบปากคำ โดยไม่มีทนายความอยู่ด้วย และเขาได้ให้การรับสารภาพทั้งในชั้นจับกุมและสอบสวน โดยตำรวจเกลี้ยกล่อมว่าจะช่วยตัดข้อความบางส่วนออกไปเพื่อให้คดีดูไม่ร้ายแรงเกินไป จะได้มีโอกาสรอการลงโทษ โดยเขายังได้รับการประกันตัวในชั้นสอบสวนและชั้นศาล

ก่อนการส่งฟ้องคดีในศาลชั้นต้น ครอบครัวของปณิธานได้ติดต่อขอความเหลือมาที่ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน และได้รับความช่วยเหลือในหลักทรัพย์การประกันตัวจากกองทุนราษฎรประสงค์ โดยการถูกดำเนินคดี ทำให้เขาต้องออกจากงานประจำที่เคยทำอยู่ด้วย

X